Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล
9h ·
[6 ข้อวิจารณ์คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “คดีล้มล้างการปกครอง”]
.
ไม่เปิดโอกาสชี้แจง - นำการกระทำอื่นมาพิจารณา - ไม่ตรงประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญ-อ้างหลักเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพอย่างย้อนแย้ง - ไม่สมเหตุสมผล - ออกข้อบังคับเกินอำนาจ
.
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “คดีล้มล้างการปกครอง” ฉบับเต็มได้เผยแพร่ลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ผมได้อ่านทั้งหมดโดยละเอียดแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าวในหลายประเด็น มีข้อวิจารณ์และข้อสังเกตในหลายประเด็น ในฐานะเป็นนักวิชาการด้านนิติศาสตร์และเคยเป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้บรรยายวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ และวิชากฎหมายศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ ทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ผมจึงจำเป็นต้องใช้เสรีภาพในการวิจารณ์คำวินิจฉัยโดยสุจริต เพื่อประโยชน์ในทางวิชาการ และเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลกับการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนี้
.
1.การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องได้ชี้แจงแสดงพยานหลักฐานอย่างเพียงพอ
.
2.การนำการกระทำอื่นที่มิใช่ “วัตถุแห่งคดี” มาวินิจฉัย
.
3.การเขียนคำวินิจฉัยที่ไม่ตรงตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญ
.
4.การอ้างหลักเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ อย่างไม่ถูกต้อง
.
5.การให้เหตุผลอย่างไม่สมเหตุสมผลว่าข้อเสนอบางข้อนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
.
6.การออกคำบังคับเกินอำนาจ
.
ด้วยเหตุผลทั้ง 6 ข้อ ผมจึงเห็นว่าคำวิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับนี้ น่าจะมีความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนั้น มาตรา 211 วรรค 4 ที่ว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันทุกองค์กรนั้น จะต้องเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญด้วย ถ้าไม่ชอบ มันจะไม่มีผลผูกพันทุกองค์กร ซึ่งหากบอกว่า คำวินิจฉัยที่ไม่ชอบให้ผูกพันนั่นจะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถวินิจฉัยเกินรัฐธรรมนูญแล้วมีผลบังคับทุกคนได้ และหากเป็นอย่างนี้จะเป็นการที่ศาลรัฐธรรมนูญขยายอำนาจเกินรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญจะอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ และนานวันเข้าจะผูกขาดการตีความรัฐธรรมนูญแต่เพียงผู้เดียว หากวันหนึ่งเกิดเขียนให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกและตกทางทิศตะวันออก แบบผิดธรรมชาติ มันจะต้องมีผลผูกพันทุกองค์กรอย่างนั้นหรือ ?
.
#ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ #ศาลรัฐธรรมนูญ #คดีล้มล้างการปกครอง #เสรีภาพในการแสดงออก
ข้อวิจารณ์คำวินิจฉัยข้อที่ 1 คือ การดำเนินกระบวนการพิจารณาที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องได้ชี้แจงแสดงพยานหลักฐานอย่างเพียงพอ
.
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นหนึ่งในศาลระบบกฎหมายมหาชน ใช้วิธีพิจารณาความแบบไต่สวนเป็นหลัก เป็นผู้เล่นหลักในกระบวนการพิจารณา มีอำนาจออกมาตรการ แสวงหาข้อเท็จจริง สั่งปิดกระบวนการพิจารณาได้ถ้าเห็นว่าพยานหลักฐานสมบูรณ์พร้อมตัดสินแล้ว แต่ระบบไต่สวนนี้ก็จำเป็นต้องเคารพหลักการพื้นฐานวิธีการพิจารณาความด้วย และหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดก็คือหลักการรับฟังการต่อสู้โต้แย้งของคู่ความ ต้องเปิดโอกาสให้คู่ความได้ชี้แจงเต็มที่ แต่คดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญนำข้อเท็จริงหลากหลายเรื่องราวมาวินิจฉัยไปทางไม่เป็นคุณต่อผู้ถูกร้อง นำข้อเท็จจริงเรื่องอื่นที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ 10 สิงหาคม 63 มาอ้างหลายครั้ง และกรณีนี้ผู้ถูกร้องไม่มีโอกาสชี้แจงอย่างเพียงพอว่าการกระทำหมายความว่าอย่างไร มุ่งหมายปฏิรูปอย่างไร
ข้อวิจารณ์ข้อที่ 2 คือ ศาลรัฐธรรนูญได้นำการกระทำอื่นที่ไม่ใช่วัตถุแห่งคดีมาวินิจฉัย
.
คดีนี้จะต้องเริ่มต้นว่าการกระทำใดเป็นการกระทำที่ถูกร้อง การกระทำใดเป็นวัตถุแห่งคดีที่จะนำมาพิจารณา ซึ่งในตัวคำวินิจฉัยก็ยืนยันเอาไว้ว่า รับคำร้องเฉพาะการกระทำในการชุมนุมปราศรัยของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ซึ่งพูดชัดว่าเฉพาะแค่นี้เท่านั้น ไม่สามารถนำการกระทำในวันอื่น เวลาอื่น ของบุคคลอื่นมาเป็นข้อเท็จจริงเพื่อใช้พิจารณาได้ แต่เมื่อพิจารณาคำวินิจฉัยพบว่า ศาลนำข้อเท็จจริงอื่นมาพิจารณา เช่นไม่ใช่ข้อเท็จจริงวันนั้น และบางเหตุการณ์ก็เป็นการกระทำของบุคคลอื่น ซึ่งหากระบุว่าผู้ร้องใช้เป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อแสดงเจตนาแบบนี้ก็ไม่ได้ เพราะการกระทำของผู้ถูกร้องนั้นจำกัดเฉพาะวันที่ 10 สิงหาคม 2563
ข้อวิจารณ์ข้อที่ 3 คือ การเขียนคำวินิจฉัยที่ไม่ตรงตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญ
.
ศาลอธิบายการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี 2475 แล้วสรุปว่าคณะราษฎรเรียกรูปแบบการปกครองระบอบนี้ว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งไม่ตรงตามประวัติศาสตร์ คือ คณะราษฎรไม่เคยเรียกแบบนี้เพราะถ้าไปดูรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับแรก ไม่เคยมีถ้อยคำว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพิ่งมามีปรากฏครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ ปี 2492 และเชื่อมด้วยคำว่า "อัน" ในรัฐธรรมนูญ 2534 และถ้าอย่างนั้น ในช่วงคณะทหารยึดอำนาหลายครั้ง ห้วงเวลาคณะรัฐประหารปกครองหลายๆ ช่วง คงไม่มีใครพูดกันว่าการปกครองภายใต้ทหารจะเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ศาลบรรยายความมาผิด ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เสมือนศาลรัฐธรรมนูญได้เขียนประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้างเสียใหม่
ข้อวิจารณ์ข้อที่ 4 คือ ศาลรัฐธรรมนูญได้อ้างหลัก เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพอย่างไม่ถูกต้อง
.
คำนี้เกิดจากการปฏิวัติฝรั่งเศส เมื่อประเทศเข้าสู่ระบอบสาธารณรัฐก็นำหลักการนี้มารับรองในรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ และต่อมาก็รับรองว่าเป็นคำขวัญของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งต้นกำเนิดคำนี้เป็นเรื่องของสาธารณรัฐ เป็นหลักการที่เกิดขึ้นของสาธารณรัฐ จึงเป็นส่วนที่ย้อนแย้งมากในการเอามาใช้อธิบายของศาลรัฐธรรมนูญ กลายเป็นว่าศาลรัฐธรรมนูญที่ตัดสินในพระปรมาภิไธย ซึ่งบรรยายความเกี่ยวพระมหากษัตริย์มากมาย แต่กลับนำหลักการพื้นฐานสาธารณรัฐมาใช้ปกป้องระอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และก็ใช้ไม่ถูกต้องด้วย เพราะคำว่า "ภราดรภาพ" ไม่ได้หมายความสามัคคี แต่หมายถึงการเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ การร่วมทุกข์ร่วมสุขของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ข้อวิจารณ์ข้อที่ 5 คือ การให้เหตุผลอย่างไม่สมเหตุสมผลว่าข้อเสนอบางข้อนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
.
ในคำวินิจฉ้ยศาลพูดบ่อยว่า การใช้สิทธิเสรีภาพเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยสถานะพระมหากษัตริย์ มาตรา 6 และให้มีการยกเลิกกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ส่งผลให้สถาบันกษัตริย์ไม่อยู่ในความเคารพ อันนำไปสู่ความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ต่อความสงบเรียบร้อยศีลธรรมอันดี และบ่อนทำลายการปกครอง ซึ่งตรงนี้ผิดข้อเท็จจริงอย่างยิ่ง เพราะการอ้างว่ามาตรา6 เป็นส่วนหนึ่งของประเพณีปกครองที่ยึดถือตลอดมา ถ้าไปดูในรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับแรกพบว่าไม่ใช่ หรือการอ้างเรื่องการบริจาคและรับบริจาคของพระมหากษัตริย์นั้น ก็ไม่เกี่ยวข้องกับประเพณีการปกครองเลย
.
การเรียกร้องยกเลิกแสดงความเห็นต่อสาธารณะ ก็ไม่เกี่ยวข้องกับประเพณี และจะยิ่งทำให้สถานะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางทางการเมือง ในตำราของ อาจารย์หยุด แสงอุทัย ปรมาจารย์ทางด้านกฎหมายและเป็นอาจารย์ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายคนเวลานี้ก็บอกชัดว่า การแสดงความคิดเห็นของพระมหากษัตริย์ จำเป็นต้องให้รัฐมนตรีรับรู้รับทราบ พระมหากษัตริย์ไม่ควรแสดงความเห็นอย่างเปิดเผยเพราะกระทบความเป็นกลางทางการเมือง และกระทบสถานะเรื่องเป็นที่เคารพสักการะใครจะละเมิดมิได้ และนอกจากนี้ การยกเลิกหรือแก้ไข มาตรา 6 หรือ การยกเลิกหรือแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็ไม่ได้ทำให้สถานะพระมหากษัตริย์เปลี่ยนไป ตรงกันข้ามจะยิ่งทำให้ได้รับการเคารพมากยิ่งขึ้นอีก ถ้ามีการระบุไปให้ชัดว่ารัฐมนตรีจะเป็นผู้รับผิดชอบ
.
ผมเห็นว่าหลายท่อนหลายตอนที่ศาลรัฐธรรมนูญอ้างเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ อ้างเรื่องการแก้มาตรา 112 แล้วมาเชื่อมโยงว่าจะนำมาไปสู่การบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ จะเป็นการล้มล้างการปกครองประชาธิปไตยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นั้นเห็นว่าเชื่อมโยงไปไกลเกินกว่าเหตุมาก การเชื่อมโยงในการวินิจฉัยต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลที่ใกล้ชิดกัน ไม่ใช่ไกลกันราวเด็ดดอกฟ้าสะเทือนถึงดวงดาวแบบนี้ และการเอาข้อเรียกร้องบางข้อจาก 10 ข้อมาแล้วบอกว่าล้มล้าง ประเด็นคือนี่เป็นเพียงข้อเรียกร้อง นี่เป็นเพียงข้อเสนอ เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นจริงเสมอไป เรามีข้อเสนออีกร้อยแปดพันประการที่ไม่ไดรับการตอบสนองจากสภา นี่คือข้อเสนอ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะบุกก่อการยึดอำนาจแล้วปฏิวัติ คือผู้มีอำนาจจะทำตามข้อเสนอหรือไม่ทำก็ได้ แต่ไม่ใช่อย่างที่ศาลเอามาปะติดปะต่อและหาว่าล้มล้างแบบนี้
ข้อวิจารณ์ข้อที่ 6 การออกคำบังคับเกินอำนาจ
.
ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าการกระทำใดเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างฯ ศาลก็มีอำนาจออกคำบังคับคือวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้ คดีนี้หากศาลเห็นว่าการกระทำในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ของผู้ร้องทั้ง 3 เป็นการล้มล้างก็สั่งเลิกการกระทำนั้น แต่กลายเป็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 รวมทั้งองค์กรเครือข่ายเลิกการกระทำดังกล่าวรวมถึงการกระทำในอนาคตด้วย กรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญออกคำสั่งเกินกว่าอำนาจ 2 ข้อ คือ
.
1.สั่งไปถึงกลุ่มองค์กรเครือข่าย เป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ถูกร้องทั้งสามคน
.
2. สั่งการให้เลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดในอนาคต ซึ่งเกินขอบเขต ไม่เฉพาะการกระทำเมื่อ 10 สิงหาคม 2563 ซึ่งหากถือปฏิบัติตามคำบังคับนี้ จะสับสนอลหม่านมาก เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดชัดเจนว่ากลุ่มองค์กรเครือข่ายคือใครบ้าง สั่งเลิกการกระทำในอนาคตเป็นการกระทำแบบไหนบ้างก็ไม่ได้บอก และคำว่าต่อไปในอนาคตคือจนถึงเมื่อไหร่ นิจนิรันด์เลยหรือไม่ ?
.....