โล่งใจไปอีกเปลาะ ดับไฟ ‘กิ่งแก้ว’ ได้แล้ว โดยที่ ‘ทีมโดรน’ การเกษตร สามารถหาตำแหน่งให้หน่วยผจญเพลิงเข้าไปปิดได้ แต่ก็หลังจากไฟไหม้สารเคมี ‘สไตรีน โมโนเมอร์’ ทิ้งไอพิษอยู่ในชั้นบรรยากาศแล้วตลอด ๒๗ ชั่วโมง
“โรคซ้ำ กรรมซัด วิบัติเป็น” เหตุร้ายครั้งนี้ อย่างน้อยทำให้ชาวสมุทรปราการในรัศมี ๑๐ กิโลเมตร เจอกับความล้มเหลวของรัฐบาล ทับถมอีกครั้งทางด้านสาธารณสุขและสภาพแวดล้อม ด้วยอากาศพิษ แสบตา แสบจมูก และเจ็บคอกันจำนวนมาก
นอกเหนือจากชาวบ้านร้านช่องหลายแห่งถูกแรงสะเทือนขนาดหนัก จากการระเบิดของสารเคมีที่โรงงาน หมิงตี้เคมมิคอลใช้ผลิตพล้าสติกเม็ด ได้รับความเสียหาย กระจกหน้าต่างประตูแตกระนาว เปิดแผลเหวอะของการใช้นโยบายเอาใจนายทุนอุตสาหกรรม
แล้วยังมีแรงสั่นทางการเมืองแถมให้ไม่มากก็น้อย เมื่อท้องที่สมุทรปราการ มี ส.ส.พลังประชารัฐ ๖ คน ก้าวไกล ๑ คน แต่คณะของก้าวไกลนำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคลงพื้นที่ทันใด เยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียหาย รับทราบความต้องการนำไปจัดหาทางช่วย
ตัวแทน พปชร.มีแต่ ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคคนใหม่ ไปถึงเมื่อไฟใกล้มอดเกือบหมดแล้ว คุยโวอวดความรอบรู้ต่างๆ ของตน จนสื่อสังคมเอาไปแซวแต่ว่า แป้ง แป้ง แป้ง ต่อสภาพขาวโพลนไปทั่วบริเวณ จากการฉีดโฟมดับเพลิงสยบไฟ
สำหรับนายกรัฐมนตรีนั้น เสียทีที่ไม่ได้ลงไปดูแลทุกข์สุขของประชากรด้วยตนเอง เนื่องจากต้องเก็บตัว ๗ วันตามมาตรการโควิด ทำงานอยู่กับบ้าน เพราะตอนไปฉลองเปิด ‘ปราสาททราย’ ที่ภูเก็ต สรวลเสเฮฮา กินเบียร์ไวน์ชมวิวกันกับรัฐมนตรีและข้าราชการชั้นสูงนั้น
นายวีรศักดิ์ พิษณุวงศ์ ประธานหอการค้า จ.สุรินทร์ ซึ่งไปร่วมงานและยืนถ่ายรูปกับนายกฯ โพสต์เฟชบุ๊คแจ้งว่าตนติดเชื้อโควิดหลังกลับไปจากร่วมงาน ถึงอย่างนั้นประยุทธ์ก็แข็งขันสั่งการโน่นนี่ แม้แต่การประชุมผ่านซูมยังใส่ชุดราชปะแตน (ข่าวพีอาร์ ‘วาสนา’)
เพราะความที่นายกฯ เป็นคน ‘ปากไว’ สั่งได้สั่งเอา จนเกือบไปแล้วไหมล่ะ อุตริสั่งให้เอาฝนหลวงรัชกาลในโกศไปดับไฟสารเคมี เดชะบุญเกิดปาฏิหาริย์หรืออย่างไรไม่ทราบได้ มีคนเห็นพระบรมสาทิศลักษณ์ในเปลวไฟ ด้วยญานวิเศษ ‘ตู่’ ฉุกคิดได้ว่าถ้าใช้ฝนจะไปกันใหญ่
วิศวกรปิโตรเคมีคนหนึ่งให้ความรู้เรื่องนี้ไว้ทางเฟชบุ๊ค “การฉีดน้ำทำได้เพียงการฉีดไปบริเวณโครงสร้างของถัง” เพื่อช่วยลดอุณหภูมิบ้างเท่านั้น Senee Kasemvud เน้นว่าสารเคมี Styrene มี “ความหนาแน่นของมัน (Density 0.9xx) เบากว่าน้ำ
ทำให้มันยังคงติดไฟได้ต่อ เพราะจะลอยอยู่เหนือผิวน้ำ” ดังนั้น “ฝนหลวงไม่ได้ช่วยเชี่ยอะไรทั้งนั้น โง่ก็แค่อยู่เฉยๆ ขอร้อง” เขายังอธิบายถึง “แนวคิดที่ให้ เฮลิคอปเตอร์โปรยโฟมลงมาจากท้องฟ้า มีข้อจำกัดเยอะเกินไป” เพราะไม่มีความแม่นยำพอ
เหตุที่ตู่เปลี่ยนใจไม่รบกวนพระอริยบท ร.๙ ก็เพราะมีพลายกระซิบว่า ฝนเทียมจะชะเอาสารเคมีจากการระเบิดและเผาไหม้ที่อยู่ในบรรยากาศ ลงไปสู่ระบบนิเวศแล้วเกิดความเสียหายมากเข้าไปใหญ่ เรื่องนี้ Songkan Khamkhom มีข้อมูล
สไตรีนโมโนเมอร์...สามารถกลายเป็นไอระเหยและลุกติดไฟได้...เมื่อสารนี้เกิดการเผาไหม้จะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนมอน็อกไซต์... #เมื่อหายใจหรือสูดดมเข้าไป จะทำให้เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ” และก่ออาการปวดเวียนศีรษะ ง่วงซึม
นอกนั้นยัง “เป็นพิษเรื้อรัง ทำให้เกิดความผิดปกติของโครโมโซมในคน อาจจะทำให้เกิดมะเร็งในคนและสัตว์ เพิ่มการแท้งในสตรีมีครรภ์ที่สัมผัสกับสารนี้ ทำให้ระดับฮอร์โมนผิดปกติ...ต่อมน้ำเหลืองผิดปกติ...อ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย”
ช่วงเย็นของวันที่เพลิงยังไหม้มีรายงานว่าลมเปลี่ยนเส้นทาง ตลบเอาควันพิษกระจายออกไปในรัศมีถึง ๑๐ กิโลเมตร แน่นอนว่าละอองเคมีพิษยังคงตกค้างอยู่ตามอาคารบ้านเรือนและบนพื้นดินทั่วบริเวณ เป็นปัญหาระยะต่อสุขภาพของผู้อาศัยในละแวก
ประยุทธ์จะด้านทนยื้ออำนาจต่อไปอีกนานเท่าไร มันคงตราตรึงในประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัยไม่เท่ากับที่ฝังอยู่ในความคิดจิตใจประชากรกรุงเทพฯ ว่ายุคตู่ครองเมืองนี้เจอหมดทั้งฝุ่นละอองพิษ โรคห่าโควิด-๑๙ลง แล้วยังควันพิษสารเคมีนี่อีก
(https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1486303935039217&id=100009788746270, https://www.facebook.com/seangcolz/posts/10224055988941651 และ https://www.pptvhd36.com/.../%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0.../150889)