จากการที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นยะลายิงตัวเองเพราะถูกกดดันให้ตัดสินคดีตามสั่งของอธิบดี
ย้อนไปถึงการที่ ‘จอมฟ้อง’ ตัวแทน
กอ.รมน.แจ้งความระดับหัวหน้าพรรคการเมือง นักวิชาการและสื่อ กราวรูด ๑๒ คน
ข้อหาก่อความไม่สงบ มาตรา ๑๑๖ เนื่องจากวิจารณ์รัฐธรรมนูญ
แสดงถึงกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย ‘ไม่เที่ยงธรรม’ หนักข้อยิ่งนักแล้วในทุกวันนี้
การใช้กฎหมายบังคับให้เป็นไปตามต้องการของรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหาร
ด้วยข้ออ้าง ‘ความมั่นคง’ สุดโต่ง
ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายเสื่อมทรามลงไปเรื่อยๆ
เมื่อสองสามวันก่อนเห็นข่าว โดย @TichilaThaipbs เสนอคลิปรายงาน “ภาพวินาทีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเเย่งชิงผู้ต้องหาเเละของกลาง
หลัง จนท.ประมง จ.นครศรีธรรมราช จับกุมเรือคราดหอยที่อ่าวปากนครเขตสร้างกระโจมบ้านปลา
ที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์ของชุมชน
โดยจับกุมผู้ต้องหา ๑ คนเเละเรือ ๑ ลำ
เเต่ถูกกลุ่มคนแย่งชิงผู้ต้องหา” ไป แสดงว่าชาวบ้านไม่เชื่อฟังอำนาจทางการกันแล้ว
หรือมิฉะนั้นอาจเห็นว่าหากยินยอมตามกระบวนการของเจ้าหน้าที่ก็จะไม่ได้รับความเป็นธรรม
จึงกล้าแย่งชิงตัวผู้ถูกจับกุม
สะท้อนไปถึงการประพฤติเป็นนิจสินของ
พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ เที่ยวไล่ฟ้องข้อหาร้ายแรงด้านความมั่นคงต่อนักกิจกรรมนับเป็นร้อยๆ
ราย ฟ้องแล้ว “เบี้ยวนัดศาลหรือไม่ส่งตัวแทนไปให้การ”
เป็นชั้นเชิงวิชามารทหารการเมือง ‘แช่ดอง’ คดี เป็นชนักปักหลังเอาไว้
เพื่อไม่ให้คนเหล่านั้นส่งเสียงคัดค้านต่อต้านการครองอำนาจของ คสช.กันอีก
ทำนองเดียวกับการไปยื่นฟ้อง ๑๒ ผู้ร่วมอภิปรายหัวข้อ “พลวัฒแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่” ที่จังหวัดปัตตานี
ข้อหาในคำฟ้องที่ว่า “ได้มีการพูดนำเสนอข้อมูลในลักษณะมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง
ให้ประชาชนทั่วไปหลงเชื่อ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระทั่งกระเดื่องต่อประชาชน
ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบภายในราชอาณาจักร
หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินนั้น”
เป็นข้อหาโคมลอย
และกล่าวหาโดยไม่คำนึงถึงหลักเหตุผลและข้อเท็จจริง สมควรที่จะ ‘ฟ้องกลับ’ ดังที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาฯ สกสส.ชี้ว่าการกระทำของบุรินทร์และ
กอ.รมน. “ใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือปิดปาก คุกคาม ข่มขู่ประชาชนเกินเหตุ”
(https://www.khaosod.co.th/politics/news_2944797
และ https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_2944496)
นอกเหนือจากนั้น การที่นายปิยบุตร
แสงกนกกุล ในฐานะประธานกรรมาธิการกฎหมายฯ ของสภาผู้แทนฯ ดำริจะเรียกตัว
พล.ต.บุรินทร์เข้าให้การ
ก็จะช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงอย่างไร้ขอบข่ายของ
กอ.รมน.ชลอและเพลาลงได้บ้าง
การที่ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังธรรมใหม่แสดงความเห็นคัดค้านต่อปิยบุตรว่า
การเรียกตัวบุรินทร์เป็นการใช้อำนาจสภาฯ แทรกแซงการดำเนินการทางกฎหมาย
เป็นเพียงการ สำคัญผิด ของ ส.ส.ที่สยบยอมต่อการสืบทอดอำนาจของทหารคนหนึ่งเท่านั้น
คำชี้แจงของปิยบุตรว่า “มีกลุ่มนักศึกษาประชาชนที่เคยถูก
พล.ต.บุรินทร์แจ้งความ ไม่ว่าจะเป็นคดี ป.อาญา ม.๑๑๖ คดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์”
ได้ร้องเรียนเข้าไปยังกรรมาธิการกฎหมายเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการสอบข้อเท็จจริง
“และหนีไม่พ้นเรียกบุคคลเกี่ยวข้องมาชี้แจง
เป็นอำนาจของของ กมธ.กฎหมายฯ ตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เกินกว่าขอบเขต” แต่อย่างใด
น่าจะทำให้ 'หมอระวี'
หันกลับไปสำรวจบทบาทของตนในเรื่องนี้ โดยเฉพาะที่บอกว่าพล.ต.บุรินทร์เองควรจะเลือกฟ้องเฉพาะผู้ที่มีความผิดจริง
ไม่ใช่ ‘หว่านแห’
นั่น 'หมอระวี' คงจะพูดเพื่อให้ตนเป็นข่าวและมีบทบาทกับเขาบ้างเท่านั้น หรือเพียงต้องการแนะว่าผู้ที่ควรถูกฟ้องคือ
อจ.ชลิตา บัณฑุวงศ์ คณะสังคมศาสตร์ ม.เกษตรฯ และผู้ที่เห็นด้วยกับข้อเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา
๑
ประเด็นดังกล่าวถูกจุดกระแสโดย นสพ.ไทยโพสต์ที่กล่าวหาเป็นข้อเสนอ
“ให้ไทยเลิกเป็นราชอาณาจักร” และอ้างว่าเป็นพวกเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่ม ต้านบิ๊กตู่
ซึ่งได้ อจ.เกษียร เตชะพีระ ช่วยสอนวิชารัฐศาสตร์เบื้องต้นให้กับสื่อเสี้ยมฉบับนั้น
ว่าไทยโพสต์สับสนมั่วซั่วเรื่อง ‘สหพันธรัฐ’ กับ ‘ราชอาณาจักร’
หรือ Federal State กับ Kingdom นั้น “เป็นคนละเรื่องกันและมิได้ขัดแย้งกัน” โดย อจ.เกษียรยกตัวอย่าง ราชอาณาจักรที่เป็นสหพันธรัฐอย่างชัดเจนได้แก่
ราชอาณาจักรเบลเยียม (Kingdom of Belgium)...
ส่วนสหราชอาณาจักร (The
United Kingdom) ก็มีแนวโน้มการปรับเปลี่ยนรูปแบบรัฐไปเป็นสหพันธรัฐมากขึ้นตามลำดับนับแต่มีการโอนอำนาจของส่วนกลางให้แก่ท้องถิ่น
(devolution)...ในสมัยรัฐบาลนายกฯ โทนี แบลร์ เป็นต้นมา
จนมีการวิเคราะห์โต้แย้งทางวิชาการกันเรื่องนี้
และโดยทั่วไปพิจารณาว่าสหราชอาณาจักรเป็น "กึ่งสหพันธรัฐ" (quasi-federal
state)...
ข้อเสนอต่าง ๆ
เพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงยืดเยื้อในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงควรได้รับการพินิจพิเคราะห์อย่างถูกต้องเที่ยงตรงตามหลักวิชาการ
แทนที่จะฉวยมาบิดเบือนกล่าวหากันอย่างมักง่าย”