
“ไม่เสียใจที่เคยออกมาชุมนุม” พรีม–ฉัตรรพี เมื่อ ม.112 ไม่อาจปิดปากหรือทำให้หมดหวัง
20/11/2025
iLaw
“กระด้างกระเดื่อง” คำวิเศษณ์ที่พจนานุกรมบัณฑิตยสถานแปลว่า ไม่อ่อนน้อม เอาใจออกหากไม่ยอมอ่อนน้อมอย่างเคยกลายเป็นคำที่อัยการสั่งฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 ของพรีม-ฉัตรรพี อาจสมบูรณ์ จากการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนีเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 โดยกล่าวหาว่าเธอและนักกิจกรรมอีกสองคนอ่านแถลงการณ์ที่ชักชวนให้ประชาชนออกมาต่อต้าน ชี้นำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าถูกลิดรอนอำนาจโดยพระมหากษัตริย์ เป็นการยั่วยุให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่อง
พรีมยืนยันว่า ในวันดังกล่าวเธอเป็นแค่ผู้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองที่ใช้สิทธิของตนตามระบอบประชาธิปไตย และการกระทำของเธอและนักกิจกรรมคนอื่นๆ ในวันนั้น ไม่ได้หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์และไม่อาจสร้างความปั่นป่วนหรือถึงขั้นสร้างความกระด้างกระเดื่องได้
เช็คบิลนักกิจกรรม หลังการชุมนุมจบไปแล้วกว่า 2 ปี
ปัจจุบันพรีมทำงานเป็นพนักงานในบริษัทเอกชน ในช่วงเกิดเหตุในคดีเธอเป็นนักศึกษาอยู่ประมาณชั้นปีที่ 3-4 ของมหาวิทยาลัยมหิดลและเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มภาคีนักศึกษาศาลายา ในวันชุมนุมไม่ได้เป็นผู้จัดการชุมนุมหรือเป็นแกนนำแต่อย่างใด เป็นเพียงผู้เข้าร่วมชุมนุมคนหนึ่งเท่านั้น


“จริงๆ วันนั้นเราไม่ได้ขึ้นปราศรัย เราเป็นผู้ร่วมชุมนุมคนหนึ่ง ซึ่งการชุมนุมนี้ เป็นผลมาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยว่าการปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบ10สิงหา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ว่า เป็นการล้มล้างการปกครองตอนแรกเราไปร่วมม็อบที่หน้าหอศิลป์ (แยกปทุมวัน) ก่อนเขาจะประกาศให้เดินเท้าไป แล้วตอนนั้นมีเหตุวุ่นวายมาก เราเข้าใจว่ามีคนถูกยิงด้วยกระสุนยาง หรืออะไรเราก็ไม่แน่ใจเลย เพราะตอนอยู่ในม็อบมันก็เช็คเหตุการณ์อะไรไม่ได้ และก็เดินไปถึงสถานทูตเยอรมนี ซึ่งตอนนั้นเขาต้องการคนเข้าไปยื่นหนังสือต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตถึงเหตุการณ์ที่มีผู้ชุมนุม 3 คนถูกยิงหน้าโรงพยาบาลตำรวจ เราก็เข้าไปพูดให้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วพอออกมาเราก็ไม่ได้ปราศรัย แต่เป็นการเล่าว่าเข้าไปพูดอะไร และมีคนบอกให้พูดเป็นภาษาอังกฤษด้วย เพราะมีสื่อต่างชาติที่อยู่ตรงนั้นด้วย”


พรีมยังคงยืนยันว่า สิ่งที่เธอทำในวันนั้นไม่ได้สร้างความกระด้างกระเดื่องให้กับประชาชน หรือเป็นการชักชวนประชาชนให้ออกมาต่อต้าน หรือเข้าใจพระมหากษัตริย์ในทางที่ผิด ทั้งมองว่าเธอเพียงแค่ใช้สิทธิในการเป็นผู้เข้าร่วมชุมนุมเท่านั้น เธอระบุว่า คดีนี้มีความผิดปกติในระยะเวลาการดำเนินคดีและสั่งฟ้อง เพราะการชุมนุมนี้เกิดขึ้นในปี 2564 แต่เธอ และนักกิจกรรมอีก 2 คนคือ บอย-ธัชพงศ์ แกดำและแอมป์-ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา ได้รับหมายเรียกให้มาพบกับพนักงานสอบสวนในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 หรือ 2 ปี 3 เดือนหลังการชุมนุม
“จริงๆ ในวันนั้น เราก็ไม่คิดว่าเราจะโดนคดี เพราะเราคิดว่าเราไปชุมนุม แต่ก็คิดว่าอาจจะมีความเสี่ยง ถึงอย่างนั้นเราไปชี้แจงต่อสถานทูตเยอรมนี ซึ่งเป็นสถานที่ปิด และเราไม่ได้เข้าไปบุกรุก หรือทำร้าย ก็เลยคิดว่าไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย แต่พอผ่านไป 3 ปี กลับโดนคดีขึ้นมา ซึ่งตอนที่ทิ้งช่วงไป เราก็คิดว่าเราจะไม่โดนอะไรแล้ว”

เมื่อถามความรู้สึกของเธอ ในวันที่รับรู้ว่าตัวเองถูกฟ้อง เธอบอกว่า มากกว่าความตกใจนั่นคือความหงุดหงิด
“เราหงุดหงิดที่เหตุการณ์มันผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้ว เรียกได้ว่าผ่านมาจนเราไม่สามารถจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราต้องไปเปิดแมปดูชื่อถนน เส้นทางเดินผ่าน เพราะเราจำไม่ได้แล้วจริงๆ ทั้งตอนที่เราโดนสั่งฟ้อง คือช่วงรัฐบาลเพื่อไทย ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว ก็ยังโดนได้ แปลว่าไม่ว่ารัฐบาลไหน หากยังมีกฎหมายนี้ก็คงไม่ปลอดภัย”
วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษา ซึ่งพรีมเองก็ได้เตรียมตัวในกรณีที่คำตัดสินอาจจะออกมาในทางที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว
“มันก็เป็นไปได้ใน 3 ทางคือ ยกฟ้อง รอลงอาญา หรือเราโดนตัดสินว่าผิด เข้าเรือนจำเลย เราก็เตรียมตัวไว้หมดแล้ว ว่าถ้ากรณีเลวร้ายที่ต้องถูกขัง จะมีใครจัดการทรัพย์สินเรายังไง ถ้าเราไม่ได้กลับหอ ใครจะดูแลแมวเรา ทั้งจะสิ้นเดือนแล้ว ถ้าเงินเดือนออก จะต้องจ่ายหนี้ใครจะจัดการ หรือเราก็คุยกับที่ทำงานด้วยว่ากรณีที่หากเราไม่สามารถมาทำงานในวันจันทร์ได้จะทำอย่างไร ก็เรียกว่าเตรียมไว้หมดแล้ว
จริงๆ เราอาจจะโชคดีที่ครอบครัวเราเข้าใจเราในเรื่องนี้ ที่บ้านเราก็สนใจการเมือง เลยเข้าใจว่าทำไมเราถึงถูกคดีนี้ รวมไปถึงที่ทำงานเราเองก็เข้าใจเราเช่นกัน เราโชคดีในส่วนนี้ แต่ถามว่ากลัวไหม เราไม่ได้กลัวคำตัดสิน แต่มันก็มีความกลัวในแง่ที่ว่าเรารู้ว่าสภาพในเรือนจำ แตกต่างจากความเป็นอยู่ของเรา ถ้าป่วย หรือมีเหตุสุขลักษณะอะไรขึ้นมา เราจะไม่ได้รับการดูแลข้างนอก และอาจจะป่วยยาว”
ปัญหาของมาตรา 112 การให้ใครร้องทุกข์ก็ได้ เครื่องมือทำลายผู้เห็นต่าง

มาตรา 112 เป็นกฎหมายที่โทษร้ายแรง พรีมเองก็ถูกคดีทางการเมืองในวัยหลังเรียนจบไม่นาน และอยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เคยมอง หรือตั้งคำถามว่า ทำไมสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นกับตัวเอง “เราก็ไม่เคยเสียใจที่ออกไปชุมนุม เพราะคิดว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ในประเทศนี้ ถ้ายังมีกฎหมายแบบนี้อยู่”
“คือเราคิดว่ามันมีโอกาสที่เป็นไปได้ ที่กฎหมายนี้จะยังอยู่ เพราะในหลายประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์ก็มีกฎหมายคล้ายๆ กันแต่ส่วนที่มันเป็นปัญหาของไทย ของ ม.112 คือมันเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ประสงค์ดี หรืออาจจะประสงค์ดีในทางที่มันก่อปัญหา ไประรานคนอื่นใช้มาเป็นอาวุธในการที่จะโจมตีฝั่งตรงข้ามของเขา หรือว่าคนที่เขาคิดว่าเป็นฝั่งตรงข้าม
คือคดีของเรามันถูกแจ้งความโดยคุณอานนท์ กลิ่นแก้ว (แกนนำศปปส.) ซึ่งในการพิจารณาคดี เราจำไม่ได้ว่าฝั่งทนาย หรืออัยการ ได้สอบถามคุณอานนท์ว่า เขาได้แจ้งความนักกิจกรรมมาเกิน 100 กว่าคดีแล้วใช่ไหม แล้วเขาตอบว่า เขาจำตัวเลขไม่ได้ว่าแจ้งความไปปกี่คดีแล้ว พอเราได้ยินเราก็ยิ่งรู้สึกว่าอันนี้มันเกินไปไหมนะ ถ้ามันเป็นตัวเลขที่เยอะขนาดที่เขายังจำไม่ได้ แปลว่าเขาก็แจ้งความไปเรื่อย ๆ ระรานไปจนกระทั่งเขาเองยังไม่รู้ว่ามันมากหรือน้อยแค่ไหนแล้ว” ซึ่งเธอมองว่า หากถูกนำมาใช้ในลักษณะดังกล่าวมาตรา 112 ก็ถือเป็นเครื่องมือในการทำลายผู้อื่นได้เช่นกัน
สำหรับสิ่งที่กระทบชีวิตของเธอจากการต้องสู้คดีนี้ พรีมเล่าว่า “ใน 1 ปี เรามีวันลา 12วัน แต่เราต้องใช้ไปกับการขึ้นศาลหมดเลย สิทธิที่จะพักผ่อนของเราหายไปเลย ทั้งคดีนี้เป็นคดีอาญา เราโดนยึดพาสปอร์ต เราไม่สามารถไปต่างประเทศได้เลย ซึ่งเราอาจจะต้นทุนดีกว่าหลายๆ คน ไม่ได้มีอะไรต้องสูญเสียมาก ทั้งเราไม่ได้เป็นคนที่วางแผนชีวิตยาว หรือมีเป้าหมายแต่มันก็กระทบกับชีวิต…สิทธิขั้นพื้นฐานที่เราควรจะได้รับเหมือนกัน”

นอกจากปัญหานี้แล้ว อีกประเด็นหนึ่งของคดีทางการเมืองคือการที่จำเลยไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวแม้คดียังไม่ถึงที่สุด หรือต้องเผชิญกับโทษหนักเช่น จำเลยร่วมในคดีนี้อย่างแอมป์ที่อยู่ระหว่างการรับโทษในคดีมาตรา 112 จากการปราศรัยเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564
“ได้เจอพี่บอยกับแอมป์ทุกครั้ง เราก็มีพูดกับแอมป์ เวลาเจอกันที่ศาลก็ได้ทักทาย ถามไถ่กันตลอด และเราก็เจอแม่ของแอมป์ทุกครั้ง เราอยากทักทาย อยากให้กำลังใจเขา เรารู้สึกใจหายมากนะที่มีนักกิจกรรมอีกมากที่โดนคดีในตอนนี้และไม่ได้รับการประกันตัว และมันดูเหมือนมากขึ้นเรื่อย ๆ”
พรีมเติบโตในต่างประเทศและมีศักยภาพในการประกอบอาชีพที่ต่างประเทศ แต่เธอยืนยันว่า ไม่ลี้ภัยทางการเมือง เธอรักประเทศไทย และย้ำว่าตัดสินใจอยู่สู้คดีเพราะที่นี่มีคนที่เธอรักอยู่ ทั้งยังมีภาพความหวังว่าจะเห็นประเทศไทยที่คนไม่โดนละเมิดสิทธิ และสามารถมีปากเสียงเรียกร้องถึงเรื่องต่างๆ ได้
“เรายืนยันว่ามันจะเป็นภาพที่เราอยู่โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วเรา [ประชาชน] ก็ยังสามารถแสดงออกถึงสิทธิของเราได้ว่าเรามีปัญหากับกฎหมาย หรือมีปัญหากับระบบแบบไหน เพราะว่ามันก็เป็นสิทธิ เพราะว่าเป็นหน้าที่พลเมืองด้วยซ้ำที่จะต้องคอยเช็คว่าสิทธิของตัวเองโดนละเมิดรึเปล่า ไม่ว่าจะเป็นการกระทำจากฝ่ายไหนของรัฐบาล หรือเป็นการกระทำของกลไกไหนก็ตามในประเทศ ซึ่งเราคิดว่ามันค่อนข้างสำคัญที่ประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกร้องว่าเราไม่พอใจกับระบบตรงไหน”
เดินหน้าสู่วันพิพากษา ขออย่าหยุดพูดถึงเพื่อนเรือนจำ
จากช่วงที่การชุมนุมเฟื่องฟูมาสู่การกระแสการเรียกร้อง พูดคุยทางการเมืองที่อาจจะลดน้อยลง ความหวังของการนิรโทษกรรมที่จะรวมมาตรา 112 ที่ดูจะเป็นเส้นทางที่ยากลำบาก และถูกกระแสต่อต้านไม่น้อย พรีม ในฐานะผู้ที่ถูกฟ้องด้วยกฎหมายมาตรานี้มองว่า เธอไม่ได้อยากได้แสงหรือต้องการให้ใครมาช่วย แต่ก็คิดว่าอยากให้สังคมยังพูดถึงนักกิจกรรมที่อยู่ในเรือนจำและติดตามประเด็นนี้ต่อไป
“เราก็ไม่ได้อยากให้ใครมาช่วยเรา หรือมาสนใจที่ตัวเราขนาดนั้น เราเข้าใจว่าในสภาอาจจะมีหลายเรื่องที่ถูกมองว่าเร่งด่วนกว่า จำเป็นกว่า ไม่ว่าจะเรื่องชายแดนหรือปากท้อง ที่หลายคนอาจจะมองว่าไม่ได้เร่งเท่าเรื่องนี้ แต่เราอยากให้คนสนใจเรื่องของกลไกและผลลัพธ์ที่จะออกมาจากกลไกเช่นนั้นที่ยังมีคนถูกคุมขังไว้อยู่….ส่วนการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถ้าสมมติว่ามีการประชาสัมพันธ์ว่ากำลังมีการผลักดันเรื่องนี้ มันก็พอจะปลุกกระแสขึ้นมาได้ ซึ่งพรีมคิดว่ามันก็เป็นโอกาสของแต่ละประเด็นไปว่าช่วงไหนใครจะสนใจเรื่องไหน แต่เราก็ไม่อยากให้คนหยุดพูดเรื่องคนในเรือนจำ”
เธอทิ้งท้ายว่า “[คดีม.112]มันไม่ได้ทำให้เราหมดกำลังใจ คือในอนาคตอันนี้ก็พูดไม่ได้เหมือนกันว่า คดีของเราจะไปสิ้นสุดตรงไหน แล้วเราจะไม่มีสิทธิในการเข้าถึงแบบคนทั่วไปขนาดไหน แต่ถ้าเราโดนเข้าเรือนจำขึ้นมา ถ้าได้ออกมาเราก็คงออกมาพูดเรื่องสุขลักษณะคุณภาพชีวิตในเรือนจำ เราก็คงเป็นกระบอกเสียงเรื่องนี้ และมันก็ไม่สามารถทำให้เราหยุดพูดเรื่องการเมืองในเรื่อง 112 คดีที่เราโดนด้วย เราไม่คิดว่ามันเป็นการปิดปากเราได้แน่นอน”
https://www.ilaw.or.th/articles/55963
