วันอังคาร, พฤศจิกายน 25, 2568

การประกาศอพยพของเมืองหาดใหญ่เกิดขึ้นขณะที่ประชาชนหลายพื้นที่ต้องพยายามลอยคอเกาะสิ่งของที่ลอยน้ำได้ออกมาจากบ้านและขอความช่วยเหลือทางโซเชียลมีเดีย บีบีซีไทยพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสาธารณภัยว่า หาดใหญ่กำลังเผชิญวิกฤตแค่ไหน และภาครัฐควรต้องขยับอย่างไรบ้าง


สถานการณ์น้ำท่วมตัวเมืองหาดใหญ่เริ่มเข้าสู่ระดับวิกฤตระลอกสอง ช่วงเช้ามืดวันนี้ (24 พ.ย.) จากการมีมวลน้ำจาก อ.สะเดา ไหลมาท่วมเพิ่มเติม ทำให้ผู้ว่าฯ สงขลา ประกาศอพยพประชาชนในเขตเทศบางนครหาดใหญ่ บริเวณชั้นในทั้งหมด

ผู้เชี่ยวชาญแนะ 5 เรื่องที่รัฐบาลอาจทำได้ เพื่อบรรเทาสถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่

เมื่อ 5 ชั่วโมงที่แล้ว
บีบีซีไทย

ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา สั่งอพยพประชาชนในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ ทั้งเมือง หลังจากสถานการณ์อุทกภัยเข้าขั้นวิกฤตอีกครั้งเมื่อช่วงเช้ามืดของวันนี้ (24 พ.ย.) จากมวลน้ำที่มาสมทบเพิ่มเติมจาก อ.สะเดา ซึ่งเป็นการเผชิญน้ำท่วมใหญ่ที่กำลังจะเข้าสู่วันที่สี่ ขณะที่ประชาชนจำนวนมากขอความช่วยเหลือผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย สะท้อนสถานการณ์ความช่วยเหลือที่ยังเข้าไปไม่ถึงในหลายพื้นที่

นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ระบุเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. ที่ผ่านมาว่า มวลน้ำจาก อ.สะเดา เริ่มไหลเข้าท่วมพื้นที่หาดใหญ่ ผ่านคลองระบายน้ำ ร.1 และคลองอู่ตะเภา เมื่อเวลา 03.00 น. โดยปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนมีระดับสูงกว่าครั้งที่ผ่านมา

"ตอนนี้มากกว่าครั้งที่ผ่านมาแล้ว เพราะฉะนั้น ช่วงเช้ามีการประเมินสถานการณ์และมีการประชุมที่ศูนย์บัญชาการ มณฑลทหารบกที่ 42 (มทบ.42) ผมได้สั่งการให้อพยพทั้งหมดออกมาที่ศูนย์พักพิง" นายรัฐศาสตร์กล่าววันนี้

ผู้ว่าฯ สงขลา เปิดเผยว่า ศูนย์พักพิงหลักตั้งอยู่ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ รองรับประชาชนได้ประมาณ 5,000 คน ส่วนศูนย์สำรองที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา รองรับได้ประมาณ 2,000 คน นอกจากนี้ยังมีศูนย์สำรองเพิ่มเติมจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การประกาศของพ่อเมืองสงขลาเกิดขึ้นขณะที่ปรากฏภาพของประชาชนผู้ประสบภัยในหลายพื้นที่ต้องพยายามลอยคอเกาะสิ่งของที่ลอยน้ำได้ออกมาจากบ้านเรือนตามถนนต่าง ๆ หลายจุดไม่มีรถบรรทุกขนาดใหญ่หรือเรือเข้าไปลำเลียงอพยพ บีบีซีไทยพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสาธารณภัยว่า หาดใหญ่กำลังเผชิญวิกฤตแค่ไหน และภาครัฐควรต้องขยับอย่างไรบ้าง

ภัยพิบัติใหญ่เกินกว่าเมืองหาดใหญ่รับมือ

ผศ.ดร.กานต์รวี วิชัยปะ อาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสาธารณภัย กล่าวกับบีบีซีไทยว่า ภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากพายุหมุนเขตร้อนเหมือนอย่างเคย แต่มีปัจจัยที่ซับซ้อนและรุนแรงกว่าที่คาดว่าจะเป็น จากฝนที่ตกจากหย่อมความกดอากาศมวลใหญ่ที่แช่นานจนเกิดสภาพฝนที่เรียกว่า "เรนบอมบ์" (rain bomb)

ผศ.ดร.กานต์รวี อธิบายว่า นี่ไม่ใช่ "ฝนแบบเดิม" ที่เป็นสาเหตุทำให้น้ำท่วมหาดใหญ่ในอดีต ที่การเตือนภัยและการเตรียมความพร้อมจากเส้นทางอุทกภัยแบบเดิม กว่าน้ำจะถึงตัวเมืองหาดใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ซึ่งทำให้สามารถติดตามระบบจัดการน้ำได้ แต่ครั้งนี้เป็นรูปแบบของฝนและน้ำที่หาดใหญ่ไม่เคยเผชิญมาก่อน เป็นมวลน้ำที่ไหลจากพื้นที่ อ.นาหม่อม และเขาคอหงส์ "ไหลลงสู่แอ่งกระทะลงมาสู่ใจกลางเมืองหาดใหญ่โดยตรง" ทำให้เหลือเวลาไม่มากในการเตรียมอพยพ

"แต่คราวนี้การเตือนภัย เมื่อมวลน้ำเป็นน้ำที่รอไม่ได้ เหมือนน้ำรูปแบบเดิม ครั้งนี้คือน้ำที่ไหลเร็วแล้วก็แรง มีเวลาให้เตรียมตัวเพียง 2 ชั่วโมง และสองชั่วโมงนั้นเกิดขึ้นตอน 02.00 น. ทำให้การเตรียมความพร้อมการอพยพ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย"



ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสาธารณภัย กล่าวต่อด้วยว่า ที่จริงแล้วหาดใหญ่เป็นเมืองที่มีลักษณะเป็น resilient city ซึ่งหมายถึงเมืองที่มีความสามารถในการปรับตัว ซึ่งเป็นผลจากที่เผชิญการท่วมใหญ่หลายครั้งในอดีต เมืองหาดใหญ่จึงมีกลไกในการรับมือ อย่างเช่น คลอง 6 สายที่รับน้ำ คลองระบายน้ำ ร.1 ที่เบี่ยงน้ำลงสู่ทะเลสาบสงขลา มีระบบการเตือนภัยชักธงสีเขียว สีเหลือง สีแดง ประชาชนในพื้นที่รู้ว่าตัวเองต้องทำอันไหน คนไหนเป็นบ้านพี่เลี้ยง และมีระบบซีซีทีวีที่ดูมอนิเตอร์น้ำอยู่ตลอดเวลา แต่สถานการณ์น้ำรอบนี้เป็นเหมือนวิกฤตซ้อนวิกฤต จากน้ำแบบใหม่ และมีมวลน้ำจาก อ.สะเดา มาเพิ่มเติมวันนี้ ทำให้ต้องรับมือทั้งสองทิศทางพร้อมกัน "แม้ว่าต่อให้จะมีศักยภาพเพียงไหน ระบบป้องกันทั้งหมดของเมือง ก็อาจจะถูกล่มสลายโดยสมบูรณ์"

"หาดใหญ่จริง ๆ เป็นเมืองที่พร้อมรับมือ เป็นเมืองที่มีความสามารถในการปรับตัวสูงสุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ จากการมีระบบป้องกันน้ำท่วมที่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง แล้วเคยพิสูจน์มาตั้งแต่ปี 2565 ว่าน้ำมายังไงหาดใหญ่ก็เอาอยู่… แต่ปีนี้เป็นวิกฤตที่คาดไม่ถึง แล้วมันใหญ่ไป เลยทำให้ไม่สามารถจัดการได้ คือภัยครั้งนี้ใหญ่เกินที่หาดใหญ่จะรับไหว" ผศ.ดร.กานต์รวี กล่าวกับบีบีซีไทย

ผศ.ดร.กานต์รวี กล่าวว่าการสื่อสารเตือนภัยเอง แม้มีการแจ้งเตือนจากระบบเซลล์บรอดคาสต์ (cell broadcast) จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ราว 7-8 ครั้ง แต่มีข้อสังเกตว่า ข้อความเตือนภัย เตือนว่าเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ จึงอาจทำให้ประชาชนคิดว่าไม่ใช่พายุ จึงประเมินความเสี่ยงต่ำ อีกทั้งความยาวของข้อความเตือนภัยอาจส่งผลต่อการสื่อสารได้เช่นกัน

"ระบบเซลล์บรอดคาสต์ที่ยังไม่ 100% อาจต้องคุยกันว่าจะมีมาตรฐานการเตือนภัยอย่างไรเพื่อให้คนตระหนักว่า ฉันต้องอพยพแล้ว" ผศ.ดร.กานต์รวี ระบุ พร้อมบอกว่าการอพยพที่ล้มเหลวส่วนหนึ่งมีปัจจัยด้านสังคมด้วย

"พอเมืองหาดใหญ่มีความสามารถในการรับมือเพิ่มขึ้น คนที่อยู่อาศัยไม่คิดว่าจะเอาไม่อยู่ ความเชื่อมั่นและความปลอดภัยต่อสิ่งที่เป็นจุดแข็งของหาดใหญ่ ตอนนี้จึงกลายเป็นกับดัก"

5 ขั้นที่รัฐอาจขยับได้ เมื่อประกาศอพยพ

การสั่งอพยพด้วยอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้บัญชาการณ์สถานการณ์ในพื้นที่ถือเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ดังนั้น คำสั่งอพยพจึงเปรียบเสมือนกฎหมาย ผศ.ดร.กานต์รวี อธิบายว่าเมื่อมีคำสั่งแบบนี้ รัฐให้ออกจากบ้านต้องออก

ทว่าสถานการณ์ที่ปรากฏในตอนนี้คือ ผู้ประสบภัยไม่สามารถอพยพออกมาได้จากระดับน้ำที่ท่วมสูง ผศ.ดร.กานต์รวี ชี้ว่ารัฐสามารถปรับการทำงานในระยะต่าง ๆ ได้ดังนี้
  • อพยพกลุ่มเปราะบางก่อน
ราชการในระดับต่าง ๆ อาจเริ่มจากการสำรวจข้อมูลว่า แต่ละพื้นที่มีกลุ่มเปราะบาง เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย ตรงไหนบ้าง และลำดับการช่วยเหลือให้กลุ่มนี้ได้รับการช่วยออกมาก่อน
  • ท้องถิ่นควรสร้างระบบช่วยเหลือเอง
เจ้าหน้าที่รัฐ อย่าง ปภ. และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ในท้องถิ่น เช่น เทศบาล อบต. สามารถให้ความช่วยเหลือโดย "สร้างระบบของตัวเองขึ้นมาได้" เพื่อเป็นข้อต่อที่เชื่อมให้ประชาชนผู้ประสบภัยได้รับความช่วยเหลืออพยพออกไปยังศูนย์พักพิงโดยเร็ว

"ท้ายที่สุดแล้วคนที่จะรู้ว่าคนของเราอยู่ตรงไหน และคนที่จะรู้ว่าพื้นที่ไหน ในพื้นที่นั้นมันปลอดภัย มันวิ่งไปได้หรือเปล่า คือคนในชุมชนเอง" ผศ.ดร.กานต์รวี ย้ำ
  • ศูนย์อพยพ/ ศูนย์พักพิง ต้องจัดการตามหลักมนุษยธรรม
ผศ.ดร.กานต์รวี กล่าวว่าหลักในการช่วยต้องมีการช่วยแบบมนุษยธรรม การบอกให้ประชาชนไปอยู่ศูนย์อพยพหรือศูนย์พักพิง รัฐจะต้องสร้างความเชื่อใจให้กับประชาชนว่าออกแล้วบ้านเรือนจะไม่มีขโมย ทรัพย์สินของพวกเขาจะปลอดภัย

นักวิชาการด้านการจัดการภัยพิบัติจาก มศว กล่าวด้วยว่า การจัดตั้งศูนย์อพยพต้องดำเนินการโดยเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน จะต้องมีการให้บริการพื้นที่ที่เพียงพอต่อการอยู่อาศัยเป็นครอบครัว แยกคนแยกสัตว์เลี้ยง มีห้องน้ำ มีอาหาร มีเสื้อผ้า ที่เพียงพอ และคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ว่าทำไปตามมีตามเกิดเท่านั้น
  • ประสานระดมทรัพยากรช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่น
ผศ.ดร.กานต์รวี กล่าวว่า จ.สงขลา เป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรที่มีศักยภาพสูง จากการเป็นที่ตั้งของหน่วยทหาร และกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (ส่วนหน้า) จ.สงขลา การประสานใช้ทรัพยากรในการช่วยเหลือ เช่น ยานพาหนะรถยกสูง เรือ เครื่องจักรกลต่าง ๆ จากหน่วยเหล่านี้ จะยิ่งเสริมให้การช่วยเหลือทำได้ดีขึ้น
  • ยกระดับการจัดการสาธารณภัย
ผศ.ดร.กานต์รวี ชี้ว่า จากสถานการณ์ทั้งในหาดใหญ่ ตลอดจนหลายจังหวัดภาคใต้ รัฐควรยกระดับการจัดการสาธารณภัยให้เป็นการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ (ระดับ 3) กรณีภัยพิบัติข้ามจังหวัดหรือกระทบหลายพื้นที่ ซึ่งนายกฯ หรือรองนายกฯ ในฐานะ "ผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ" จะนั่งเป็นประธานในการสั่งการ เพื่อเปิดทางให้สามารถประสานการจัดการทรัพยากรในประเทศ ตลอดจนประสานความช่วยเหลือจากต่างประเทศได้โดยสะดวก ทั้งนี้ ในขั้นนี้สามารถให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ระดับพื้นที่ได้

"อำนาจในการสั่งการจะง่ายขึ้น เพราะว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของการจัดการตอนนี้ คือช่วยเหลือคนให้ได้มากที่สุด เนื่องจากชีวิตคน ประเมินมูลค่าความเสียหายไม่ได้" ผศ.ดร.กานต์รวี กล่าว

ความคืบหน้าจากจังหวัดและรัฐบาล

นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการอพยพประชาชนออกมาอย่างเร่งด่วนจากเขตเทศบาลนครหาดใหญ่บริเวณชั้นใน เนื่องจากปริมาณน้ำอาจสูงกว่าปี 2553

"การอพยพจะให้สามารถบริหารจัดการให้ความปลอดภัยกับพี่น้องประชาชนได้ดีกว่าการอยู่ในบ้าน เพราะว่าถ้าน้ำสูงขึ้นเรื่อย ๆ รถ และเรือจะเข้าไม่ได้ แล้วไฟฟ้าก็ตัด จะลำบากกับพี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้น ขอเรียนว่าในการอพยพ พื้นที่ชั้นในต้องออกทั้งหมด"

ผู้ว่าฯ สงขลา ระบุว่ามีการระดมกำลังจากหน่วยทหารกว่า 100 คัน พร้อมเรือ ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่โดยเฉพาะในพื้นที่เขต 4 และเขต 8 ทางหน่วยทหารพัฒนา กองทัพเรือ และมูลนิธิร่วมกตัญญูเข้าไปช่วย โดยจะให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชม.

ส่วนในบางเขตของหาดใหญ่ที่น้ำท่วมสูงขึ้นเรื่อย ๆ นายรัฐศาสตร์กล่าวว่า ผู้บริหารท้องถิ่นที่น้ำท่วมสูงให้แจ้งมาที่ศูนย์บัญชาการที่ มทบ.42 ว่าจุดไหนมีพี่น้องประชาชนเดือดร้อน เนื่องจากศูนย์บัญชาการไม่อาจทราบได้ว่าจุดใดมีผู้ประสบภัยตกค้างอยู่

"ถ้าท่านไม่แจ้ง เราไม่รู้ว่าพี่น้องประชาชนอยู่ตรงไหน แต่ตอนนี้พยายามเก็บตกทั้งหมด ที่แจ้งผ่านเฟซบุ๊ก ผ่านไลน์ ผ่านโทรศัพท์ เพราะบางทีโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ ก็ต้องให้ผู้นำท้องถิ่น สมาชิก สท. สมาชิก อบต. ผู้นำชุมชนแจ้งมา เราจะได้ลงไปช่วย เพราะว่าตอนนี้ทหารก็ลงคลุมพื้นที่หาดใหญ่ ตอนนี้แม่ทัพภาคที่ 4 ก็มาช่วยบัญชาการและให้กำลังทหารลงช่วยพี่น้องประชาชน" ผู้ว่าฯ สงขลา กล่าว



ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.กระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ได้ลงนามจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.) โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และ รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ เพื่อบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและช่วยเหลือประชาชน

นายสิริพงศ์ เปิดเผยว่าสถานการณ์น้ำท่วมใน จ.สงขลา และจังหวัดใกล้เคียง รัฐบาลได้เร่งดำเนินมาตรการรองรับและแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยได้มอบให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (ส่วนหน้า) จ.สงขลา เป็นศูนย์บัญชาการส่วนหน้าสำหรับการช่วยเหลือประชาชนในภาคใต้ตอนล่าง 5 จังหวัด ได้แก่ สตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เป็นจุดรวมการประสานและสั่งการทรัพยากรเข้าพื้นที่ประสบภัยทันที

"[ปภ. ส่วนหน้า] มีภารกิจหลักในการประสานความต้องการสนับสนุนในพื้นที่ พร้อมจัดส่งทรัพยากรด้านเครื่องจักรกลสาธารณภัยช่วยประชาชนใน 5 จังหวัดภาคใต้ เช่น เรือเล็ก เรือท้องแบนพร้อมเครื่องยนต์ เครื่องสูบน้ำ รถยกสูง รถผลิตน้ำดื่ม รถประกอบอาหาร สะพานเบลีย์ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างเต็มศักยภาพ" นายสิริพงศ์ กล่าว

อย่างไรก็ดี การตั้งศูนย์ ศนภ. โดยมี ร.อ.ธรรมนัส เป็นผู้อำนวยการศูนย์ ผศ.ดร.กานต์รวี ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเลือกใช้กฎหมายผิดฉบับ เพราะการตั้ง ศนภ. เป็นการใช้ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 เพื่อจัดตั้งกลไกเฉพาะกิจ (ad hoc) ในการจัดการสถานการณ์ แทนที่จะใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (พ.ร.บ.ปภ.) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาโดยตรงสำหรับการจัดการภัยพิบัติ

"การจัดตั้งกลไกเฉพาะกิจส่งผลให้อำนาจการตัดสินใจสูงสุดย้ายจากผู้บัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่ (ผู้ว่าราชการจังหวัด) ไปรวมศูนย์อยู่ที่นายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดความสับสนและทับซ้อนในการสั่งการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ ทั้งฝ่ายปกครองและกองทัพ" ผศ.ดร.กานต์รวี กล่าว

https://www.bbc.com/thai/articles/cqxqrx0q491o