.jpeg)
The MATTER
November 19
·
“ความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจริงๆ ควรเป็นหลักการพื้นฐานที่จะการันตีว่า ใครก็ตามที่เข้ามาที่สู้เพื่อตัวเองในกระบวนการยุติธรรมนี้จะได้รับความเป็นธรรมอย่างเสมอภาค แต่ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า การสู้คดีของจำเลยที่ผ่านมานั้นเป็นธรรม”
.
ย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ท่ามกลางสังคมที่กำลังตื่นตัวเรื่องสิทธิเสรีภาพ มีการชุมนุมปราศรัยไม่เว้นแต่ละวัน กระนั้น ได้มีแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 โดย ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใจความว่า จะมีการบังคับใช้กฎหมาย ‘ทุกฉบับ ทุกมาตรา’ ที่มีอยู่ต่อผู้ชุมนุม ซึ่งถือจุดสำคัญในการกลับมาบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
.
การใช้กฎหมายปราบปรามประชาชนอย่างเข้มข้น เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้กระแสการชุมนุมซบเซาลง แต่คดีความที่เกิดขึ้นยังดำเนินอยู่ในชั้นศาล พร้อมความน่ากังวลเรื่อง ‘ความโปร่งใส’ ของกระบวนการยุติธรรม
.
โดยเฉพาะระยะหลังที่มีการจำกัดการเผยแพร่เนื้อหาในชั้นศาลและการกีดกันไม่ให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดี บางคดีที่ยกฟ้องในศาลชั้นต้นก็ถูกกลับพิพากษาลงโทษในชั้นอุทธรณ์ จากการขยายความมาตรา 112 การตีความเจตนาของจำเลย พร้อมให้น้ำหนักต่อบริบทแวดล้อม เพื่อวินิจฉัยว่าจำเลยมีเจตนาดูหมิ่นสถาบันฯ ทางอ้อม
.
The MATTER ได้รวบรวมและวิเคราะห์สถิติสำคัญของการพิจารณาคดีการเมืองในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและผลกระทบของการพิจารณาคดีการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
.
อ่านบทความเต็มได้ที่: https://thematter.co/.../political-case-5-years.../252626

นอกจากการสั่งพิจารณาลับแล้ว ยังมีกรณีที่ ‘ศาลอาญา’ สั่งห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี โดยเฉพาะคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ และมีความเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 โดยระบุว่า ห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี และในศาลอาญาถ่ายทอดสู่สาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต
.
จากรายงานของศูนย์ทนายฯ พบว่า การสั่งห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีเพิ่งเกิดขึ้นในปี 2568 โดยสามารถแบ่งประเภทของคดีได้ดังนี้
.
คดีจากการแสดงออกในพื้นที่สาธารณะหรือการชุมนุม เป็นคดีจากการชุมนุมในปี 2563 ทั้งหมด ได้แก่ คดีที่อานนท์ปราศรัยประเด็นปฏิรูปสถาบันฯ หน้า สน.บางเขน, คดีปราศรัยปลดอาวุธศักดินาไทย และคดีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ที่สนามหลวง ซึ่งมีนักกิจกรรมเป็นจำเลยในคดีนี้ถึง 22 คน
.
คดีละเมิดอำนาจศาล ในวันที่ 28 มีนาคมของอานนท์ที่สืบเนื่องจากการถอดเสื้อประท้วง ซึ่งนอกจากถูกห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาแล้ว คดีนี้ก็เหมือนเป็นการพิจารณาลับ ‘โดยอ้อม’ เนื่องจากศาลไม่เบิกตัวอานนท์ไปที่ห้องพิจารณาคดี พร้อมเรียกทนายไปฟังคำสั่งที่ ‘ห้องเวรชี้’ ซึ่งเป็นห้องขนาดเล็กและให้เพียงทนายเข้าไปเท่านั้น
.
คดีจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ โดยเป็นคดีจากการโพสต์ข้อความหรือเผยแพร่เนื้อหา 3 คดี ได้แก่ คดีไลฟ์สดก่อนขบวนเสด็จหน้า UN ของ ตะวัน, คดีโพสต์วิจารณ์ตำรวจที่สลายการชุมนุมและพาดพิงกษัตริย์ของ โตโต้ ปิยรัฐ และการโพสต์ข้อความสืบเนื่องกับการสลายการชุมนุมแยกปทุมวันของ นารา
.
ขณะที่อีก 3 คดี เป็นข้อกล่าวหา ‘แอดมินเพจเฟซบุ๊ก’ ได้แก่ นรินทร์ - เพจกูKult, จิรวัฒน์ - เพจคนกลมคนเหลี่ยม, บี๋ นิราภร - เพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม
.
นอกจากนั้น ยังมีการสร้างมาตรการที่ซ้ำซ้อนหรือกีดกันการเข้าถึง-เผยแพร่การพิจารณาคดี เช่น การตรวจบัตรประชาชนก่อนเข้าห้องพิจารณาคดีอีกครั้ง ทั้งที่มีการตรวจก่อนเข้าอาคารศาลแล้ว, การสั่งห้ามจดบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดี
.
พูนสุขมองว่า เหตุการณ์เหล่านี้ขัดกับ ‘หลักการพิจารณาคดีอาญาโดยเปิดเผย’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม และหลักสิทธิมนุษยชนที่เรียกร้องให้รัฐกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อคุ้มครองสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมของผู้ต้องหาและจำเลย
.
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาว่า “กระบวนพิจารณาในคดีนั้นเป็นไปโดยบริสุทธ์ยุติธรรมหรือไม่?” ซึ่งสามารถสร้างความเชื่อถือและศรัทธาต่อองค์กรตุลาการ เพราะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ประชาชนจะสามารถใช้ในการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายตุลาการซึ่งใช้อำนาจรัฐว่าโปร่งใสหรือเป็นที่พึ่งให้เขาได้หรือไม่

สถานการณ์คดีการเมืองตอนนี้ยังมีอีกประเด็นที่น่าจับตามอง คือ การที่ศาลอุทธรณ์แก้หรือกลับคำพิพากษาจากศาลชั้นต้น โดยข้อมูลจากศูนย์ทนายฯ พบว่า ในช่วงปี 2567-2568 มีคดีที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องทั้งหมด แต่ศาลอุทธรณ์กลับลงโทษทุกกระทง 7 คดี โดยให้เหตุผล ดังนี้
.
การให้น้ำหนักพยานหลักฐาน ได้แก่ พชร คดีโพสต์ข้อความในกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส ซึ่งเป็นการกลับแม้หลักฐานทางเทคนิคไม่ชัดเจน และ ฉัตรมงคล คดีคอมเมนต์ในโพสต์เพจศรีสุริโยไท ที่กลับไปเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้
.
การตีความ ‘เจตนา’ โดยอ้อม ได้แก่ คดีโพสต์ภาพสวมเสื้อ “เราหมดศรัทธาฯ” ของ ทิวากร และ คดีวางป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” ใต้รูปร.10 ของ แซน สุปรียา ซึ่งศาลตีความจากการกล่าวอ้างโดยอ้อมและใช้บริบทแวดล้อมทางกายภาพมาพิจารณา
.
การตีความ ‘การกระทำ’ ได้แก่ ณัฐชนน ไพโรจน์ ถูกกล่าวหาเป็นผู้ผลิต ‘หนังสือปกแดง’ กลับด้วยเหตุผลที่ณัฐชนนนั่งหน้ารถบรรทุกหนังสือ ถือเป็นการช่วยเหลือและส่งเสริมให้ดูถูกเหยียดหยามกษัตริย์
.
คดีโพสต์ภาพถือป้ายข้อความในการชุมนุม #บ๊ายบายไดโนเสาร์ ของ ตี้ วรรณวลี และพวกอีก 2 คน ซึ่งตอนแรกศาลชั้นต้นยกฟ้องทุกคนยกเว้นตี้ ศาลอุทธรณ์กลับเป็นลงโทษทุกคน เนื่องจากข้อความทั้งสามป้ายรวมกัน ย่อมสื่อความหมายถึงกษัตริย์
.
สุดท้ายคือคดีขัดขวางขบวนเสด็จพระราชินีฯ ซึ่งมีจำเลย 5 คน ถูกกลับฟ้องมาตรา 110 จำคุกคนละ 16 ปี ยกเว้น เอกชัย หงส์กังวาล จำคุก 21 ปี 4 เดือน โดยศาลเชื่อว่าจำเลยมีเจตนาขัดขวางขบวนเสด็จฯ
.
พูนสุข อธิบายว่า ในทางทฤษฎีการแก้หรือกลับคำพิพากษาสามารถเกิดขึ้นได้ไหม หากมองแต่ละคดีแยกกันอย่างปัจเจก แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ เหมือนกลายเป็น ‘เทรนด์’ ที่พอคดี 112 ขึ้นสู่ศาลสูงแล้ว ศาลมักจะพิพากษาลงโทษ

ข้อมูลจากศูนย์ทนายฯ ระบุ กรณีที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง 112 แต่ให้ผิดในข้อหาอื่น แล้วศาลอุทธรณ์แก้ลงโทษ 112 ด้วย ทั้งหมด 6 คดี ดังนี้
.
จากลงเฉพาะ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แก้ลง 112 ด้วย คือ คดีของ จรัส และ วุฒิภัทร จากกรณีคอมเมนต์วิจารณ์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง และคอมเมนต์กรณีสวรรคต ร.8 ตามลำดับ โดยศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลในการแก้คำพิพากษา ผ่านการขยายความมาตรา 112 คุ้มครองถึงกษัตริย์องค์ก่อน
.
จากลงเฉพาะข้อหาทำลายทรัพย์สินสาธารณะ แก้ลง 112 ด้วย ใน 4 คดี ของ สมพล (นามสมมติ) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าปาสีแดงใส่พระบรมฉายาลักษณ์ตามสถานที่ต่างๆ โดยศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลในการแก้คำพิพากษาว่า จำเลยมุ่งประสงค์กระทำต่อพระบรมฉายาลักษณ์ ร.10 เป็นการเฉพาะ
.
ถึงกระนั้น ยังมี 1 คดีที่ศาลชั้นต้นลงโทษ 112 แต่ศาลอุทธรณ์กลับยกฟ้อง คือ นรินทร์ คดีแปะสติกเกอร์ “กูkult” คาดตาบนพระบรมฉายาลักษณ์ เนื่องจากไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าจำเลยเป็นผู้สวมเสื้อผ้าขณะผู้ก่อเหตุติดสติกเกอร์
.
สุดท้ายนี้หากสังเกตศาลชั้นที่ยกฟ้องคดีต่างๆ ในสถิติคดีศาลอุทธรณ์ ‘แก้-กลับ’ คำพิพากษา ทั้ง 3 กรณี จะพบว่า การยกฟ้องดังกล่าวมาจากจากศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลต่างจังหวัดถึง 12 คดี จาก 14 คดี
.
โดยพูนสุขวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดูเหมือนจะมี ‘ความเป็นอิสระ’ หรือ ‘ความเท่าทันสังคม’ มากกว่า โดยเฉพาะศาลในต่างจังหวัด
.
ทั้งนี้ โครงสร้างขององค์กรศาลยุติธรรมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ เพราะยิ่งขึ้นศาลสูงยิ่งเป็นการกระชับอำนาจเข้าระบบศูนย์กลาง คือ ‘ศาลชั้นต้น’ จะกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ‘ศาลอุทธรณ์’ จะแยกเป็นภาค 1-9 และ ‘ศาลฎีกา’ มีเพียง 1 ศาล
.
นอกจากนั้น การพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นยังมีลักษณะที่ศาลนั่งพิจารณาและสืบพยานหลักฐานด้วยตัวเอง หากมีข้อสงสัยก็สามารถซักถามโจทก์และจำเลยได้ทันที ขณะที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจะเป็นการพิจารณาคดีผ่านสำนวนคดี
.
“อันนี้เป็นความแตกต่างของการสู้คดีในศาลสูง ทําให้เวลาสู้กันในศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา เหมือนสู้ กันผ่านเอกสารอย่างเดียว รอบเดียวเท่านั้น โอกาสในการสู้คดีเลยค่อนข้างจํากัดมากกว่าศาลชั้นต้นอยู่ด้วย” พูนสุข กล่าว

การพิจารณาคดีลับ’ คือ การที่ศาลไม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเข้าห้องพิจารณาคดี จะมีเพียงโจทก์ จำเลย ทนาย เจ้าหน้าที่ต่างๆ และผู้ได้รับอนุญาตจากศาลเท่านั้น
.
โดยศาลจะใช้อำนาจตามป.วิอาญา มาตรา 177 ซึ่งบัญญัติหลักเกณฑ์การพิจารณาคดีอาญาเป็นการลับว่า สามารถทำได้เมื่อศาลเห็นสมควรโดยพลการหรือโดยคำร้องขอของคู่ความฝ่ายใด โดยมีเงื่อนไขภายใต้ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม หรือความมั่นคงของชาติ
.
จากรายงานของศูนย์ทนายฯ เกี่ยวกับการพิจารณาคดีลับหลังปี 2563 มีคดีที่ถูกสั่งให้พิจารณาลับ 2 ประเภท ซึ่งเป็นคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ทั้งหมด ดังนี้
.
ถูกสั่งให้ลับในนัดตรวจพยานหลักฐานหรือการสืบพยาน จากกรณี ‘สั่งตามคำขอของอัยการ’ 2 คดี คือ ศิระพัทธ์ คดีลักรูป ร.10, ต่อ คดีเผาป้ายรูป ร.10 และกรณี ‘ศาลสั่งพิจารณาลับเอง’ 3 คดี คือ บัสบาส รวมคดีโพสต์เฟซบุ๊ก 2 คดี และ ทักษิณ ชินวัตร คดีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้
.
กรณีของ อานนท์ นำภา คดีปราศรัยม็อบแฮร์รี่พ็อตเตอร์ ถูกศาลสั่งให้ลับจากการที่อานนท์ ‘ถอดเสื้อประท้วง’ ที่ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญ ซึ่งศาลเห็นว่าเป็นการก่อความวุ่นวาย ไม่เคารพการพิจารณาคดี จึงให้เป็นการพิจาณาลับ พร้อมตั้งข้อหาละเมิดอำนาจศาล
.
ถูกสั่งให้ลับในตลอดการพิจารณาคดี คือ คดีโพสต์เฟซบุ๊กของ บุปผา (นามสมมติ) ซึ่งเป็นคดีสืบเนื่องจากศาลทหารในยุคคสช. แม้จะย้ายมาศาลพลเรือนแล้วก็ยังสั่งให้ลับอยู่ ขณะที่คดีแชร์โพสต์เฟซบุ๊กของ นายทหารคนหนึ่ง ก็เป็นคดีภายใต้ศาลทหารเช่นกัน โดยอัยการทหารอ้างเรื่องความมั่นคง
.
นอกจากการสั่งพิจารณาลับแล้ว ยังมีการจำกัดการเข้าถึงของประชาชนผ่านกลไกอื่นๆ ในทางปฏิบัติ ยกตัวอย่าง การเลือกใช้ห้องพิจารณาคดีที่คับแคบและมีที่นั่งจำกัด โดยอ้างเหตุผลว่า ‘ที่นั่งเต็ม’ หรือกรณีการโยกย้ายจำเลยไปยังห้องเวรชี้เพื่อหลีกเลี่ยงการสังเกตการณ์ (กรณีของอานนท์)
·
“ความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจริงๆ ควรเป็นหลักการพื้นฐานที่จะการันตีว่า ใครก็ตามที่เข้ามาที่สู้เพื่อตัวเองในกระบวนการยุติธรรมนี้จะได้รับความเป็นธรรมอย่างเสมอภาค แต่ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า การสู้คดีของจำเลยที่ผ่านมานั้นเป็นธรรม”
.
ย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ท่ามกลางสังคมที่กำลังตื่นตัวเรื่องสิทธิเสรีภาพ มีการชุมนุมปราศรัยไม่เว้นแต่ละวัน กระนั้น ได้มีแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 โดย ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใจความว่า จะมีการบังคับใช้กฎหมาย ‘ทุกฉบับ ทุกมาตรา’ ที่มีอยู่ต่อผู้ชุมนุม ซึ่งถือจุดสำคัญในการกลับมาบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
.
การใช้กฎหมายปราบปรามประชาชนอย่างเข้มข้น เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้กระแสการชุมนุมซบเซาลง แต่คดีความที่เกิดขึ้นยังดำเนินอยู่ในชั้นศาล พร้อมความน่ากังวลเรื่อง ‘ความโปร่งใส’ ของกระบวนการยุติธรรม
.
โดยเฉพาะระยะหลังที่มีการจำกัดการเผยแพร่เนื้อหาในชั้นศาลและการกีดกันไม่ให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดี บางคดีที่ยกฟ้องในศาลชั้นต้นก็ถูกกลับพิพากษาลงโทษในชั้นอุทธรณ์ จากการขยายความมาตรา 112 การตีความเจตนาของจำเลย พร้อมให้น้ำหนักต่อบริบทแวดล้อม เพื่อวินิจฉัยว่าจำเลยมีเจตนาดูหมิ่นสถาบันฯ ทางอ้อม
.
The MATTER ได้รวบรวมและวิเคราะห์สถิติสำคัญของการพิจารณาคดีการเมืองในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและผลกระทบของการพิจารณาคดีการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
.
อ่านบทความเต็มได้ที่: https://thematter.co/.../political-case-5-years.../252626

นอกจากการสั่งพิจารณาลับแล้ว ยังมีกรณีที่ ‘ศาลอาญา’ สั่งห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี โดยเฉพาะคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ และมีความเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 โดยระบุว่า ห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี และในศาลอาญาถ่ายทอดสู่สาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต
.
จากรายงานของศูนย์ทนายฯ พบว่า การสั่งห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีเพิ่งเกิดขึ้นในปี 2568 โดยสามารถแบ่งประเภทของคดีได้ดังนี้
.
คดีจากการแสดงออกในพื้นที่สาธารณะหรือการชุมนุม เป็นคดีจากการชุมนุมในปี 2563 ทั้งหมด ได้แก่ คดีที่อานนท์ปราศรัยประเด็นปฏิรูปสถาบันฯ หน้า สน.บางเขน, คดีปราศรัยปลดอาวุธศักดินาไทย และคดีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ที่สนามหลวง ซึ่งมีนักกิจกรรมเป็นจำเลยในคดีนี้ถึง 22 คน
.
คดีละเมิดอำนาจศาล ในวันที่ 28 มีนาคมของอานนท์ที่สืบเนื่องจากการถอดเสื้อประท้วง ซึ่งนอกจากถูกห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาแล้ว คดีนี้ก็เหมือนเป็นการพิจารณาลับ ‘โดยอ้อม’ เนื่องจากศาลไม่เบิกตัวอานนท์ไปที่ห้องพิจารณาคดี พร้อมเรียกทนายไปฟังคำสั่งที่ ‘ห้องเวรชี้’ ซึ่งเป็นห้องขนาดเล็กและให้เพียงทนายเข้าไปเท่านั้น
.
คดีจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ โดยเป็นคดีจากการโพสต์ข้อความหรือเผยแพร่เนื้อหา 3 คดี ได้แก่ คดีไลฟ์สดก่อนขบวนเสด็จหน้า UN ของ ตะวัน, คดีโพสต์วิจารณ์ตำรวจที่สลายการชุมนุมและพาดพิงกษัตริย์ของ โตโต้ ปิยรัฐ และการโพสต์ข้อความสืบเนื่องกับการสลายการชุมนุมแยกปทุมวันของ นารา
.
ขณะที่อีก 3 คดี เป็นข้อกล่าวหา ‘แอดมินเพจเฟซบุ๊ก’ ได้แก่ นรินทร์ - เพจกูKult, จิรวัฒน์ - เพจคนกลมคนเหลี่ยม, บี๋ นิราภร - เพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม
.
นอกจากนั้น ยังมีการสร้างมาตรการที่ซ้ำซ้อนหรือกีดกันการเข้าถึง-เผยแพร่การพิจารณาคดี เช่น การตรวจบัตรประชาชนก่อนเข้าห้องพิจารณาคดีอีกครั้ง ทั้งที่มีการตรวจก่อนเข้าอาคารศาลแล้ว, การสั่งห้ามจดบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดี
.
พูนสุขมองว่า เหตุการณ์เหล่านี้ขัดกับ ‘หลักการพิจารณาคดีอาญาโดยเปิดเผย’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม และหลักสิทธิมนุษยชนที่เรียกร้องให้รัฐกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อคุ้มครองสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมของผู้ต้องหาและจำเลย
.
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาว่า “กระบวนพิจารณาในคดีนั้นเป็นไปโดยบริสุทธ์ยุติธรรมหรือไม่?” ซึ่งสามารถสร้างความเชื่อถือและศรัทธาต่อองค์กรตุลาการ เพราะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ประชาชนจะสามารถใช้ในการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายตุลาการซึ่งใช้อำนาจรัฐว่าโปร่งใสหรือเป็นที่พึ่งให้เขาได้หรือไม่

สถานการณ์คดีการเมืองตอนนี้ยังมีอีกประเด็นที่น่าจับตามอง คือ การที่ศาลอุทธรณ์แก้หรือกลับคำพิพากษาจากศาลชั้นต้น โดยข้อมูลจากศูนย์ทนายฯ พบว่า ในช่วงปี 2567-2568 มีคดีที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องทั้งหมด แต่ศาลอุทธรณ์กลับลงโทษทุกกระทง 7 คดี โดยให้เหตุผล ดังนี้
.
การให้น้ำหนักพยานหลักฐาน ได้แก่ พชร คดีโพสต์ข้อความในกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส ซึ่งเป็นการกลับแม้หลักฐานทางเทคนิคไม่ชัดเจน และ ฉัตรมงคล คดีคอมเมนต์ในโพสต์เพจศรีสุริโยไท ที่กลับไปเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้
.
การตีความ ‘เจตนา’ โดยอ้อม ได้แก่ คดีโพสต์ภาพสวมเสื้อ “เราหมดศรัทธาฯ” ของ ทิวากร และ คดีวางป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” ใต้รูปร.10 ของ แซน สุปรียา ซึ่งศาลตีความจากการกล่าวอ้างโดยอ้อมและใช้บริบทแวดล้อมทางกายภาพมาพิจารณา
.
การตีความ ‘การกระทำ’ ได้แก่ ณัฐชนน ไพโรจน์ ถูกกล่าวหาเป็นผู้ผลิต ‘หนังสือปกแดง’ กลับด้วยเหตุผลที่ณัฐชนนนั่งหน้ารถบรรทุกหนังสือ ถือเป็นการช่วยเหลือและส่งเสริมให้ดูถูกเหยียดหยามกษัตริย์
.
คดีโพสต์ภาพถือป้ายข้อความในการชุมนุม #บ๊ายบายไดโนเสาร์ ของ ตี้ วรรณวลี และพวกอีก 2 คน ซึ่งตอนแรกศาลชั้นต้นยกฟ้องทุกคนยกเว้นตี้ ศาลอุทธรณ์กลับเป็นลงโทษทุกคน เนื่องจากข้อความทั้งสามป้ายรวมกัน ย่อมสื่อความหมายถึงกษัตริย์
.
สุดท้ายคือคดีขัดขวางขบวนเสด็จพระราชินีฯ ซึ่งมีจำเลย 5 คน ถูกกลับฟ้องมาตรา 110 จำคุกคนละ 16 ปี ยกเว้น เอกชัย หงส์กังวาล จำคุก 21 ปี 4 เดือน โดยศาลเชื่อว่าจำเลยมีเจตนาขัดขวางขบวนเสด็จฯ
.
พูนสุข อธิบายว่า ในทางทฤษฎีการแก้หรือกลับคำพิพากษาสามารถเกิดขึ้นได้ไหม หากมองแต่ละคดีแยกกันอย่างปัจเจก แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ เหมือนกลายเป็น ‘เทรนด์’ ที่พอคดี 112 ขึ้นสู่ศาลสูงแล้ว ศาลมักจะพิพากษาลงโทษ

ข้อมูลจากศูนย์ทนายฯ ระบุ กรณีที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง 112 แต่ให้ผิดในข้อหาอื่น แล้วศาลอุทธรณ์แก้ลงโทษ 112 ด้วย ทั้งหมด 6 คดี ดังนี้
.
จากลงเฉพาะ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แก้ลง 112 ด้วย คือ คดีของ จรัส และ วุฒิภัทร จากกรณีคอมเมนต์วิจารณ์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง และคอมเมนต์กรณีสวรรคต ร.8 ตามลำดับ โดยศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลในการแก้คำพิพากษา ผ่านการขยายความมาตรา 112 คุ้มครองถึงกษัตริย์องค์ก่อน
.
จากลงเฉพาะข้อหาทำลายทรัพย์สินสาธารณะ แก้ลง 112 ด้วย ใน 4 คดี ของ สมพล (นามสมมติ) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าปาสีแดงใส่พระบรมฉายาลักษณ์ตามสถานที่ต่างๆ โดยศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลในการแก้คำพิพากษาว่า จำเลยมุ่งประสงค์กระทำต่อพระบรมฉายาลักษณ์ ร.10 เป็นการเฉพาะ
.
ถึงกระนั้น ยังมี 1 คดีที่ศาลชั้นต้นลงโทษ 112 แต่ศาลอุทธรณ์กลับยกฟ้อง คือ นรินทร์ คดีแปะสติกเกอร์ “กูkult” คาดตาบนพระบรมฉายาลักษณ์ เนื่องจากไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าจำเลยเป็นผู้สวมเสื้อผ้าขณะผู้ก่อเหตุติดสติกเกอร์
.
สุดท้ายนี้หากสังเกตศาลชั้นที่ยกฟ้องคดีต่างๆ ในสถิติคดีศาลอุทธรณ์ ‘แก้-กลับ’ คำพิพากษา ทั้ง 3 กรณี จะพบว่า การยกฟ้องดังกล่าวมาจากจากศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลต่างจังหวัดถึง 12 คดี จาก 14 คดี
.
โดยพูนสุขวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดูเหมือนจะมี ‘ความเป็นอิสระ’ หรือ ‘ความเท่าทันสังคม’ มากกว่า โดยเฉพาะศาลในต่างจังหวัด
.
ทั้งนี้ โครงสร้างขององค์กรศาลยุติธรรมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ เพราะยิ่งขึ้นศาลสูงยิ่งเป็นการกระชับอำนาจเข้าระบบศูนย์กลาง คือ ‘ศาลชั้นต้น’ จะกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ‘ศาลอุทธรณ์’ จะแยกเป็นภาค 1-9 และ ‘ศาลฎีกา’ มีเพียง 1 ศาล
.
นอกจากนั้น การพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นยังมีลักษณะที่ศาลนั่งพิจารณาและสืบพยานหลักฐานด้วยตัวเอง หากมีข้อสงสัยก็สามารถซักถามโจทก์และจำเลยได้ทันที ขณะที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจะเป็นการพิจารณาคดีผ่านสำนวนคดี
.
“อันนี้เป็นความแตกต่างของการสู้คดีในศาลสูง ทําให้เวลาสู้กันในศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา เหมือนสู้ กันผ่านเอกสารอย่างเดียว รอบเดียวเท่านั้น โอกาสในการสู้คดีเลยค่อนข้างจํากัดมากกว่าศาลชั้นต้นอยู่ด้วย” พูนสุข กล่าว

การพิจารณาคดีลับ’ คือ การที่ศาลไม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเข้าห้องพิจารณาคดี จะมีเพียงโจทก์ จำเลย ทนาย เจ้าหน้าที่ต่างๆ และผู้ได้รับอนุญาตจากศาลเท่านั้น
.
โดยศาลจะใช้อำนาจตามป.วิอาญา มาตรา 177 ซึ่งบัญญัติหลักเกณฑ์การพิจารณาคดีอาญาเป็นการลับว่า สามารถทำได้เมื่อศาลเห็นสมควรโดยพลการหรือโดยคำร้องขอของคู่ความฝ่ายใด โดยมีเงื่อนไขภายใต้ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม หรือความมั่นคงของชาติ
.
จากรายงานของศูนย์ทนายฯ เกี่ยวกับการพิจารณาคดีลับหลังปี 2563 มีคดีที่ถูกสั่งให้พิจารณาลับ 2 ประเภท ซึ่งเป็นคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ทั้งหมด ดังนี้
.
ถูกสั่งให้ลับในนัดตรวจพยานหลักฐานหรือการสืบพยาน จากกรณี ‘สั่งตามคำขอของอัยการ’ 2 คดี คือ ศิระพัทธ์ คดีลักรูป ร.10, ต่อ คดีเผาป้ายรูป ร.10 และกรณี ‘ศาลสั่งพิจารณาลับเอง’ 3 คดี คือ บัสบาส รวมคดีโพสต์เฟซบุ๊ก 2 คดี และ ทักษิณ ชินวัตร คดีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้
.
กรณีของ อานนท์ นำภา คดีปราศรัยม็อบแฮร์รี่พ็อตเตอร์ ถูกศาลสั่งให้ลับจากการที่อานนท์ ‘ถอดเสื้อประท้วง’ ที่ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญ ซึ่งศาลเห็นว่าเป็นการก่อความวุ่นวาย ไม่เคารพการพิจารณาคดี จึงให้เป็นการพิจาณาลับ พร้อมตั้งข้อหาละเมิดอำนาจศาล
.
ถูกสั่งให้ลับในตลอดการพิจารณาคดี คือ คดีโพสต์เฟซบุ๊กของ บุปผา (นามสมมติ) ซึ่งเป็นคดีสืบเนื่องจากศาลทหารในยุคคสช. แม้จะย้ายมาศาลพลเรือนแล้วก็ยังสั่งให้ลับอยู่ ขณะที่คดีแชร์โพสต์เฟซบุ๊กของ นายทหารคนหนึ่ง ก็เป็นคดีภายใต้ศาลทหารเช่นกัน โดยอัยการทหารอ้างเรื่องความมั่นคง
.
นอกจากการสั่งพิจารณาลับแล้ว ยังมีการจำกัดการเข้าถึงของประชาชนผ่านกลไกอื่นๆ ในทางปฏิบัติ ยกตัวอย่าง การเลือกใช้ห้องพิจารณาคดีที่คับแคบและมีที่นั่งจำกัด โดยอ้างเหตุผลว่า ‘ที่นั่งเต็ม’ หรือกรณีการโยกย้ายจำเลยไปยังห้องเวรชี้เพื่อหลีกเลี่ยงการสังเกตการณ์ (กรณีของอานนท์)
https://thematter.co/social/political-case-5-years-statistic/252626