วันเสาร์, พฤศจิกายน 22, 2568

"มั่วสุมห้องใต้บันได – จ้างนางแบบสาวมาคุก" ข้อสงสัยนักโทษจีนเทามีอภิสิทธิ์ในเรือนจำไทย เรารู้อะไรแล้วบ้าง


นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ถูกสั่งย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกรม กรมราชทัณฑ์ ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. หลังมีการจู่โจมตรวจค้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และพบการกระทำผิดของผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ภายในเรือนจำ

"มั่วสุมห้องใต้บันได – จ้างนางแบบสาวมาคุก" ข้อสงสัยนักโทษจีนเทามีอภิสิทธิ์ในเรือนจำไทย เรารู้อะไรแล้วบ้าง ?

21 พฤศจิกายน 2025
บีบีซีไทย

เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ปล่อยให้นักโทษกลุ่มทุนจีนเทาอยู่สุขสบาย ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเหนือชั้นกว่านักโทษทั่วไป และพานางแบบสาวเข้าไปมีสัมพันธ์ได้ถึงในเรือนจำจริงหรือไม่ ?

นี่คือข้อสงสัยที่กำลังถูกขุดคุ้ย หลังกระทรวงยุติธรรมสั่งเด้งผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปปฏิบัติราชการที่กรมราชทัณฑ์เมื่อ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา หลังชุดปฏิบัติการพิเศษของกรมราชทัณฑ์บุกเข้าตรวจค้นภายในเรือนจำแล้วพบสิ่งของต้องห้ามหลายรายการ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ยืนยันว่ากรณีนี้ "ต้องสั่งการให้เป็นไปตามกฎระเบียบ ใครทำผิดก็ว่ากันไปตามผิด" โดยจะไม่มีการยกเว้น ขณะที่กรมราชทัณฑ์สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีนี้แล้ว และเตรียมสอบปากคำอดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง


ผ่านมา 5 วันหลังการตรวจค้น มีข้อกล่าวหาอะไรบ้าง และข้อกล่าวหาใดที่ได้รับการยืนยันแล้ว บีบีซีไทยรวบรวมไว้ ณ ที่นี้

เด้ง ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ สู่การเปิดปมเรือนจำให้อภิสิทธิ์ทุนจีน

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (18 พ.ย.) สื่อไทยหลายสำนัก อาทิ "มติชน" รายงานว่า นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ลงนามคำสั่งย้ายนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกรม กรมราชทัณฑ์ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 พ.ย. โดยระบุในคำสั่งย้ายว่า "มีความจำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีสืบเนื่องจากการจู่โจมตรวจค้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและพบการกระทำผิด"

กรมราชทัณฑ์ได้ออกเอกสารข่าวถึงสื่อมวลชนในวันรุ่งขึ้น ยืนยันว่ามีการเข้าจู่โจมและตรวจค้นจริง โดยพบว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในการควบคุมและปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ซึ่งกรมราชทัณฑ์ได้ย้ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้บัญชาการเรือนจำฯ ไปปฏิบัติหน้าที่ยังกรมราชทัณฑ์แล้ว

เอกสารดังกล่าวยังระบุต่อไปว่า กรมราชทัณฑ์ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกรม เจ้าหน้าที่กองทัณฑวิทยา เจ้าหน้าที่กองบริหารทรัพยากรบุคคล กลุ่มงานวินัยเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงทุกประเด็นโดยละเอียด ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีผู้ต้องขังชาวจีนบางรายที่มีอิทธิพลเหนือผู้ต้องขังรายอื่นภายในเรือนจำฯ จนสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ต้องขังชาวไทย จึงมีผู้แจ้งเบาะแสมายังกรมราชทัณฑ์ให้ทราบถึงพฤติการณ์ดังกล่าว

วานนี้ (20 พ.ย.) กรมราชทัณฑ์ได้ออกเอกสารข่าวอีกฉบับต่อกรณีนี้ ระบุว่าจากการตรวจค้นเรือนจำดังกล่าว พบเพิ่มเติมว่ามีสิ่งของต้องห้าม และสิ่งของที่ไม่อนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ในเรือนจำ ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 72 และมาตรา 73 และพบสิ่งของเกินความจำเป็น อาทิ ตู้เย็น ไมโครเวฟ แอร์เคลื่อนที่ และอีกหลายรายการ นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ต้องขังบางรายครอบครองสิ่งของแบรนด์เนม และตรวจพบกาแฟซองจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ใช้แทนการพนันของผู้ต้องขังชาวจีนบางรายในเรือนจำอีกด้วย

กรมราชทัณฑ์ยังระบุด้วยว่า ได้ดำเนินการย้ายผู้ต้องขังชาวจีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องไปยังเรือนจำที่เหมาะสม เพื่อความมั่นคง ปลอดภัย และจะเร่งรัดดำเนินการสอบสวนต่อไป



พฤติกรรมนักโทษชาวจีน

สื่อไทยหลายสำนัก อาทิ "ไทยพีบีเอส" รายงานอ้างอิงรายงานข่าวจากกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า ปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องจากผู้ต้องขังชาวไทยร้องเรียนมาว่าผู้ต้องขังชาวจีนในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้รับสิทธิพิเศษที่แตกต่างจากนักโทษทั่วไป อาทิ มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ดังที่กรมราชทัณฑ์ตรวจพบ และยังมี "สาวสวยระดับนางแบบ" เข้าเยี่ยมได้เป็นประจำ เมื่อกรมราชทัณฑ์ได้รับเบาะแสจึงได้ส่งชุดปฏิบัติการเข้าตรวจสอบ แต่ก็คว้าน้ำเหลว กระทั่งวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา ชุดเฉพาะกิจของกรมราชทัณฑ์เข้าจู่โจมตรวจค้นเรือนจำอีกครั้ง และนำมาสู่คำสั่งย้ายผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และผู้คุมมากกว่า 14 คน ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมผู้ต้องขังในแดนคุมขังนักโทษชาวจีน

รายงานข่าวของไทยพีบีเอสยังระบุอีกว่า นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ถูกระบุในเอกสารข่าวของกรมราชทัณฑ์ การตรวจค้นยังพบของมีคม เช่น มีด และยังพบไฟแช็ค ซึ่งเป็นของต้องห้ามในเรือนจำ

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลว่านักโทษจีนมีการใช้เงินจ้างนักโทษชาวไทยที่พอสื่อสารภาษาจีนได้บ้างให้มาดูแล อีกทั้งยังมีการแบ่งแดนคุมขังระหว่างชาวจีนให้หัวหน้ากลุ่มพักอยู่ในแดนเดียวกัน ส่วนลูกน้องพักแยกคนละแดน

นอกจากนี้ สำนักข่าว "เดลินิวส์" รายงานอ้างอิงรายงานข่าวภายในกระทรวงยุติธรรมเช่นกัน แต่ระบุเพิ่มเติมว่าจากการตรวจค้นวันที่ 16 พ.ย. นั้น ชุดปฏิบัติการพิเศษพบว่ากลุ่มผู้ต้องขังอยู่ในสภาพแก้ผ้าล่อนจ้อน โดยเจ้าหน้าที่ยังสามารถเก็บหลักฐานถุงยางอนามัยใช้แล้ว และกระดาษทิชชู่ซึ่งถูกทิ้งไว้ในห้องลับใต้บันไดไปตรวจดีเอ็นเอด้วย

เดลินิวส์ยังอ้างอิงข้อมูลของชุดจู่โจมด้วยว่า กลุ่มผู้ต้องขังชาวจีนมีการจ้างนางแบบ "ตัวท็อป" เดินทางมาจากประเทศจีน โดยใช้เงินหลักล้านบาท โดยนางแบบสาวสามารถเข้าไปในเรือนจำผ่านห้องทำงานของ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปรอที่ห้องใต้บันได ก่อนจะมีการเบิกตัวผู้ต้องขังชาวจีนมาที่ห้องดังกล่าว

สื่อไทยหลายสำนักยังรายงานด้วยว่า อธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีนี้ โดยให้นายไพฑูรย์ มงคลหัตถี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม เป็นประธาน และเตรียมนำเจ้าหน้าที่เข้าสอบสวนข้อมูลกับเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ในวันจันทร์ที่ 24 พ.ย. ที่จะถึงนี้


รมว.ยุติธรรม และโฆษกกรมราชทัณฑ์ ยืนยันว่าในการตรวจค้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อ 16 พ.ย. พบ "ผู้หญิง" เข้าไปภายในเรือนจำ

กระทรวงยุติธรรมยืนยัน มี "ผู้หญิง" เข้าไปในเรือนจำจริง

วันนี้ (21 พ.ย.) พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม ยืนยันกับสื่อมวลชนว่าเขา "ได้รับรายงาน" กรณีที่กลุ่มผู้ต้องขังชาวจีนได้ใช้ห้องใต้บันได และการตรวจค้นพบถุงยางอนามัยใช้แล้ว แต่เขา "ขอดูรายละเอียดอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน" อย่างไรก็ตาม เขาระบุว่ายังไม่ทราบว่าสิ่งที่ได้รับรายงานมาเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะเป็นเพียงการรายงานด้วยวาจา

ส่วนกรณีที่มีรายงานว่ามีนางแบบสาวสวยเข้าไปภายในเรือนจำนั้น พล.ต.ท.รุทธพล ระบุว่า "เป็นเรื่องจริงตามที่มีการรายงาน" โดยอธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้รายงานให้เขาทราบก่อนถึงวันเปิดปฏิบัติการจู่โจมแล้ว และในวันปฏิบัติการก็มีการวางแผนอย่างรอบคอบโดยนำชุดเจ้าหน้าที่จากที่อื่นมาเสริมด้วย

รมว.ยุติธรรม ยังเปิดเผยด้วยว่า เขาได้นัดหมายปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง มาพูดคุยติดตามความคืบหน้าในช่วงบ่ายวันนี้ เพราะนับว่าผ่านมา 5 วันแล้วหลังจากที่ชุดปฏิบัติการพิเศษจู่โจมตรวจค้นในเรือนจำ ซึ่งเขาได้ทำหนังสือคำสั่งแจ้งให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ดำเนินการให้เสร็จภายในวันศุกร์ที่ 28 พ.ย.

"พูดตรง ๆ เลย ผมมองว่าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ นี่คือการเหยียบย่ำกระบวนการยุติธรรม" พล.ต.ท.รุทธพล กล่าว เขาเปิดเผยว่าในวันพรุ่งนี้ (22 พ.ย.) เวลา 9.00 น. ตนจะพาคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อไปดูรายละเอียดข้อเท็จจริงในกรณีนี้ พร้อมยืนยันว่าหากพบว่า ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มีส่วนละเว้นหรือเพิกเฉยให้เกิดการกระทำผิดนั้น เขาจะ "ขอให้เอา[ผิด]แบบเต็มที่ที่สุด"

"มันเป็นเรื่องที่เรารับไม่ได้จริง ๆ ผมรับราชการมาจนเกษียณอายุมาขนาดนี้แล้ว จนมาอยู่จุดนี้ก็เพิ่งเคยเห็นแบบนี้ ก็จะร่วมกันแก้ไข ใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด เพราะผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนก็รับไม่ได้กับเรื่องนี้" พล.ต.ท.รุทธพล ระบุ

ล่าสุด สำนักข่าวเนชั่น รายงานว่าเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายยุทธนา นาคเรืองศรี รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์ ได้เตรียมนำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษเข้าจู่โจมตรวจค้นแดน 8 ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันถูกปิดร้าง และถูกใช้เป็นที่พักให้นักโทษกลุ่มจีนเทาไปอยู่รวมกัน จึงอาจมีการซุกซ่อนสิ่งของต้องห้าม

สำนักข่าวเนชั่นยังรายงานการให้สัมภาษณ์ของนายยุทธนา ยืนยันว่าจากการตรวจค้นเมื่อวันที่ 16 พ.ย. เจ้าหน้าที่ไม่พบถุงยางอนามัย แต่พบกล่องถุงยางอนามัย พบผู้หญิง กลุ่มนักโทษจีน พร้อมของต้องห้าม อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า แอร์เคลื่อนที่ ไฟแช็คจำนวนมาก ซึ่งหลังจากนี้คณะตรวจสอบข้อเท็จจริงจะเริ่มสอบปากคำ นายมานพ ชมชื่น อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และเจ้าหน้าที่ที่ถูกย้ายอีก 14 คน รวมทั้งสิ้น 15 คน

อนุทินยัน "ใครผิดไม่เว้น"

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ย้ำกับสื่อมวลชนว่ากรณีนี้ "ต้องสั่งการให้เป็นไปตามกฎระเบียบ ใครทำผิดก็ว่ากันไปตามผิด" โดยต้องรอให้สำนวนออกมา หากใครทำผิดเขาจะก็ไม่เว้น

"ความผิดไปถึงไหน คนนั้นต้องถูกลงโทษ ชัดเจนอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เป็นการจงใจเลี่ยงกฎระเบียบ รมว.ยุติธรรม ดำเนินการอยู่แล้วไม่ต้องกังวล" เขาเน้นย้ำเมื่อถูกถามว่าจะเอาผิดผู้บัญชาการเรือนจำฯ และผู้เกี่ยวข้องหรือไม่

นายอนุทิน ยังยืนยันด้วยว่า หลังจากกลุ่มจีนเทาแทรกซึมไปในส่วนราชการ "เราได้ส่งพวกหัวโจก กลับไปรับโทษยังประเทศต้นทางของเขาหลายรายแล้ว พร้อมทั้งยึดทรัพย์ ถอนสัญชาติ และดำเนินการทุกอย่าง"

ย้อนข้อร้องเรียนในอดีต นักโทษจีนเทามีอภิสิทธิ์แค่ไหนในเรือนจำไทย ?

นายเอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมืองที่เคยถูกจับกุมและคุมขังในเรือนจำหลายครั้ง จากคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และมาตรา 110 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เคยโพสต์เฟซบุ๊กไว้เมื่อ 29 ม.ค. 2568 เล่าเรื่องราวขณะที่เขาถูกคุมขังอยู่ในแดน 4 ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อปี 2566

เขาเล่าว่าในขณะนั้น ณ แดน 4 มีนาย "เฉอ จื้อเจียง" (ในโพสต์เขาสะกดว่า "เสอจื้อเจียง") ชาวกัมพูชาเชื้อสายจีนที่ทำธุรกิจกาสิโนถูกคุมขังอยู่ด้วย โดยนายเฉอเป็นผู้มีอิทธิพลอันดับต้น ๆ ในเรือนจำ เสมือนเป็นหัวหน้าผู้ต้องขังจีนในนั้น

ในโพสต์ดังกล่าว นายเอกชัยเล่าถึง "อภิสิทธิ์" ที่นายเฉอและกลุ่มของเขาได้รับการปฏิบัติที่เหนือกว่าผู้ต้องขังทั่วไป อาทิ เขาบอกว่านายเฉอไม่ต้องตัดผมเกรียน ไม่เคยต้องเข้าแถวเพลงชาติ นับยอดผู้ต้องขัง หรือเข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ อีกทั้งกลุ่มของนายเฉอยังมักนั่งสุมหัวข้าง ๆ ร้านสวัสดิการ จ้างผู้ต้องขังชาวไทยไปรับใช้ และบางครั้งเปิดลำโพงเพลงจีนเสียงดัง

นักกิจกรรมทางการเมืองรายนี้ ยังเล่ายกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งที่กลุ่มชาวจีนมีเรื่องกับผู้ต้องขังชาวไทย ปรากฏว่ากลุ่มชาวไทยถูกย้ายไปแดนอื่น ขณะที่กลุ่มชาวจีนรอด จากนั้นนายเฉอก็ยิ่งได้ใจ โดยเคยสั่งให้คนนอกซื้อกาแฟยี่ห้อหนึ่งกว่า 100 แพ็ค ซึ่งสามารถใช้จ่ายแทนเงินสดในเรือนจำ แจกผู้ต้องขังที่เข้าข้างกลุ่มของเขา

โพสต์ของนายเอกชัย เกิดขึ้นหลังจากที่กรมราชทัณฑ์เผยแพร่ข้อมูลว่าได้ย้ายตัวนายเฉอ จื้อเจียง จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปยังเรือนจำกลางคลองเปรม ตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค. 2567 เนื่องจาก "เป็นผู้ต้องขังที่มีพฤติกรรมและพฤติการณ์ไม่น่าไว้วางใจและมีอิทธิพลทางการเงินสูง" ตลอดจนอยู่ในระหว่างรอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน

ก่อนหน้านี้ในปี 2566 สำนักข่าวอิศรารายงานว่า นายเฉอ จื้อเจียง เคยอัดวิดีโอจากเรือนจำแล้วส่งให้กับสื่อเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงในเคเค พาร์ค เมืองซึ่งเป็นที่ตั้งศูนย์สแกมเมอร์ในเมียนมา โดยเขาเพียงประกอบอาชีพเป็นนักธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และจัดการที่ดินในประเทศเมียนมาเท่านั้น

สำนักข่าวอิศรารายงานด้วยว่า การอัดวิดีโอจากในเรือนจำเช่นนี้ถือว่าเป็นการละเมิดระเบียบการเยี่ยมนักโทษของกรมราชทัณฑ์ ทำให้ทางกรมราชทัณฑ์ต้องรีบออกแถลงการณ์ว่าจะดำเนินการตรวจสอบทันที

ทั้งนี้ นายเฉอ จื้อเจียง ถูกทางการไทยส่งตัวกลับประเทศจีนไปเมื่อวันที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา หลังศาลรัฐธรรมนูญไทยวินิจฉัยว่ากฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนฯ ที่ใช้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ส่งตัวนายเฉอกลับจีน

ทั้งนี้ นายสัญญา เอียดจงดี ทีมกฎหมายของนายเฉอ จื้อเจียง เปิดเผยกับบีบีซีไทยในขณะนั้น ตั้งข้อสังเกตว่า การส่งตัวนายเฉอกลับไปยังจีน มีกระบวนการที่ "ผิดปกติ" ทั้งขั้นตอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก ต่างจากกระบวนการปกติที่จะต้องมีการแจ้งทนายความคู่ความล่วงหน้าอย่างน้อย 30-45 วัน และศาลอุทธรณ์ยังอ่านคำพิพากษาทางวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์มายังศาลอาญาโดยไม่มีทนายเข้าร่วมฟัง


นายเฉอ จื้อเจียง ถูกทางการไทยส่งตัวกลับประเทศจีนไปเมื่อวันที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา

ก่อนหน้าที่นายเอกชัยจะเปิดเผยกรณีของนายเฉอ จื้อเจียง ไม่นาน เขายังเคยโพสต์เล่าความเป็นอยู่ของตัวเองในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ช่วงปี 2565 – 2566 ว่าผู้ต้องขังชาวจีนในคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ในเรือนจำอย่างสุขสบาย ไม่ต้องทำงาน มีอาหารพิเศษกิน ทั้งปลาแซลมอนตัวใหญ่แช่แข็งทอดกินสด ๆ มีซิการ์มวนละ 15,000 บาทสูบ และมีเครื่องเสียงส่วนตัว

โดยกรมราชทัณฑ์ชี้แจงในขณะนั้นว่า ได้สั่งการให้เรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่กระบวนการรับตัว กระบวนการปฏิบัติตัวในเรือนจำ จนกระทั่งกระบวนการปล่อยตัว ซึ่งเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้ยึดถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และมาตรฐานการปฏิบัติงานที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด

คำชี้แจงของกรมราชทัณฑ์ยังระบุต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ความจริงปรากฏ กรมราชทัณฑ์จะเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวให้ได้ข้อยุติ หากมีเจ้าหน้าที่รายใดเข้าไปเกี่ยวข้องหรือกระทำความผิดตามข้อกล่าวหาจะถูกดำเนินการลงโทษทางวินัยอย่างเด็ดขาดต่อไป

https://www.bbc.com/thai/articles/c4g9dx717d1o