วันเสาร์, พฤศจิกายน 22, 2568

⭕“จิตใจที่ไม่มีใครจองจำได้” เรื่องราวของ “ฟรานซิส” ท่ามกลางโทษ 16 ปี ระหว่าง ความเชื่อในความยุติธรรม กับความหวังของคนที่รออยู่ข้างนอก


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
7 hours ago
·
“จิตใจที่ไม่มีใครจองจำได้” เรื่องราวของ “ฟรานซิส” ท่ามกลางโทษ 16 ปี ระหว่าง ความเชื่อในความยุติธรรม กับความหวังของคนที่รออยู่ข้างนอก
.
.
วันที่ 18 พ.ย. 2568 ทนายความเข้าเยี่ยม “ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน เป้าทอง บัณฑิตสาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศฯ จากมหาวิทยาลัยมหิดล ที่เรือนจำกลางคลองเปรม เขาถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 2568 หลังจากศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ในคดีที่เขาและผู้ร่วมคดีอีก 4 คน โดยถูกกล่าวหากรณีขัดขวางขบวนเสด็จของพระราชินี จากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 โดยให้ลงโทษจำคุกฟรานซิสถึง 16 ปี ก่อนทั้งหมดไม่ได้รับการประกันตัวในระหว่างฎีกา
.
ท่ามกลางกำแพงสูงที่กั้นเสรีภาพทางกาย ฟรานซิสพบว่าสิ่งที่ไม่มีใครสามารถจองจำได้ คือจิตใจที่ยังเสรี เขาใช้เวลาในเรือนจำกับการอ่านหนังสือนานาประเภท คุยกับเพื่อนผู้ต้องขัง และเล่นเกม Warewolf ที่เกิดจากความสร้างสรรค์ท่ามกลางข้อจำกัด แม้เพื่อนร่วมคดีถูกย้ายกระจายไปคนละแดนจนต้องอยู่คนเดียว แต่เขากลับพบว่าตัวเองสามารถบริหารจิตใจที่มีขึ้นมีลงตามเหตุการณ์ได้แล้ว จนทำให้ยิ้มได้ในรอบหลายเดือน
.
เขายังคงเชื่อว่าโชคชะตาไม่ได้จบเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว และบทลงโทษไม่ได้จบสิ้นชีวิต น้ำแรงน้ำใจของทุกคนที่ยังมีความหวัง และมุ่งมั่นอยากเห็นเขาเดินออกจากเรือนจำ คือสิ่งที่ค้ำจุนใจฟรานซิสไว้ ในเมื่อเขามีความหวังอยู่ ทำไมฟรานซิสจะมีไม่ได้
.
ในภาพรวมฟรานซิสยังเป็นคนที่มองโลกด้วยเฉดสีเทา เชื่อว่าทุกคนมีความดีและความชั่วปนกันไป และที่สำคัญเขายังเชื่อในมนุษย์ เชื่อในความยุติธรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น พร้อมกับฝากข้อความสั้น ๆ ว่าไม่ว่าใครจะมองเขาอย่างไร เขาก็ไม่โกรธไม่เกลียด เพราะนี่คือทางที่เขาจะเดินและไม่เปลี่ยนแปลง บุญเกื้อหนุน คือบุญเกื้อหนุน

__________________________________

เมื่อเพื่อนร่วมคดีถูกย้ายกระจายไปคนละแดน บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยมหิดล เล่าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่าการไม่มีเพื่อนร่วมคดี ทำให้ยากในการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับคดีความ แต่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด เพราะยังมีเพื่อนผู้ต้องขังคนอื่น ๆ ที่คุยด้วยได้อยู่ มีกิจกรรมที่สามารถเข้าร่วมได้ ถึงแม้เขาจะคิดว่าดีกว่าถ้าคู่คดีอยู่ด้วยกัน แต่บางทีเมื่อต่างคนต่างมาจากที่แตกต่างกัน ก็ส่งผลให้แต่ละคนรองรับความกดดัน และแสดงออกกับการรับมือต่างกันไป
.
ทุกวันนี้หลังจากได้รับยา สุขภาพจิตของเขาดีขึ้น รวมทั้งสุขภาพกายก็ดีขึ้น ที่ก่อนหน้านี้เขาก็มีอาการไออย่างหนัก น่าจะติดไข้หวัดใหญ่ในเรือนจำ รวมทั้งเขายังมีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน
.
ฟรานซิสเชื่อมโยงว่าการติดอยู่ในนี้มาสักพัก หลายอย่างได้ปลดล็อคตัวเองจากข้อจำกัด ไม่ได้พะวงว่าจะถูกมองยังไงในแง่ไหน และตอนนี้แม้อยู่เพียงลำพังในแดน 6 ในทางจิตใจก็มีขึ้นมีลงตามเหตุการณ์ แต่เขาพบว่าสามารถบริหารจัดการได้ดีขึ้น สิ่งนี้ทำให้เขายิ้มได้ในรอบหลายเดือนตั้งแต่อยู่ในนี้เลย
.
จากคำพูดที่เคยกล่าวไว้ว่า “เสรีภาพไม่มีเป็นมนุษย์ทำไม การรอมันทรมานมาก” เขาก็หวนนึกไปถึงประโยคที่คุณพ่อจากโบสถ์คาทอลิคแห่งหนึ่งฝากเป็นข้อความมาบอกว่า “เขาขังเราได้แค่ตัว จิตใจเราเสรีเสมอ”
.
คำพูดนั้นเหมือนเตือนสติฟรานซิสว่า ถึงแม้อยู่ในเรือนจำคลองเปรมแห่งนี้ มีทั้งความทุกข์ การตั้งคำถาม ทั้งสูญเสียเสรีภาพ แต่จิตใจไม่ถูกจองจำ ยังคิดได้อย่างเสรี จึงไม่ต้องกังวลว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้ เพราะถ้าใจเสรี ก็มีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นเสมอ
.
เมื่อเล่าถึงวันเวลาในเรือนจำ ฟรานซิสเริ่มกิจวัตรของเขาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาและถูกปล่อยตัวลงมาข้างล่าง ด้วยการนั่งอ่านหนังสือเป็นส่วนใหญ่ เพราะชอบอ่านมาก ทั้งประเภท นวนิยาย ประวัติศาสตร์ และอื่น ๆ อีกมากที่สนใจ นอกจากนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจนัก
.
แต่ส่วนหนึ่งเวลานั่งเล่นก็นั่งคิดเรื่องคดีและการต่อสู้ อยากเป็นอิสระจากที่นี่และเรื่องเหล่านี้ ก็มีปรึกษาเพื่อนที่มีประสบการณ์กับชีวิตข้างในบ้าง นอกจากนั้นยังมีการเล่นจำลองบอร์ดเกมกัน เนื่องจากในเรือนจำมีข้อจำกัดมาก แต่กิจกรรมนั้นกลับทำให้เกิดความสร้างสรรค์ เหมือนอย่างที่รวมกลุ่มกันเล่นแวร์วูฟ (Warewolf) โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด
.
ในฐานะคนที่เคยเรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่สนใจข่าวการเมืองสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศมาก เมื่อถูกถามว่ามองสถานการณ์การเมืองไทยตอนนี้เทียบกับบริบทโลกอย่างไร เขาตอบว่า “เทียบไม่ติด ถือว่าป่วยการจะเทียบจริง ๆ”
.
ฟรานซิสยกตัวอย่างเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ ในขณะที่ผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่ประสบปัญหานี้มีการจัดการ การบริหาร หรือการขอความช่วยเหลือที่จำเป็น แต่ไทยกลับมีท่าทีหน่อมแน้มในระบบราชการในการปราบ ทั้งที่มีภาพเซ็น MOU รวมถึงตั้งคณะกรรมการเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ก็ดูจะไม่ค่อยเกิดอะไรขึ้น หากให้เทียบกับเกาหลีใต้ที่มีการทำทันทีไม่อ้อมค้อม ประเทศไทยยังเอาผักชีโรยหน้าอยู่เป็นเสมอ
.
ก่อนบทสนทนาย้อนไปคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่สเปน ที่ฟรานซิสเคยพูดถึง หากให้เปรียบเทียบกับประเทศไทย เขาให้ทัศนะว่าของสเปนใช้เวลานานเท่าไหร่ ของไทยน่าจะใช้เวลา 2-5 เท่า อาจจะนานกว่านั้นอีก เพราะการตื่นตัวของประชาชนในสเปนมีมาก และมีภาพประจักษ์ว่าเผด็จการไม่สามารถไปต่อได้แบบเป็นเอกภาพในสังคม แต่ในไทยแม้จะมีประชาชนเห็นประจักษ์ แต่ก็ยังมีหลายคนที่เห็นว่าระบอบเผด็จการไปต่อได้ ดังนั้นจุดที่จะมีประชาธิปไตยสมบูรณ์จึงยากมาก
.
ในขณะเดียวกับประโยคที่เคยพูดว่า “ตอนนี้มนุษย์เราเป็นสีเทา ไม่ขาวไม่ดำ” ความคิดนี้เปลี่ยนมุมมองของฟรานซิสต่อการเมือง ก่อนอธิบายว่าการที่จะบอกว่าเราเป็นคนดีแล้วเป็นสีขาว ส่วนการเป็นคนที่ทำให้คนอื่นรู้สึกแย่หรือเป็นคนผิดเป็นสีดำ ระหว่างความขาวกับดำควรต้องชั่งใจตัดสินใจตลอดเวลา ซึ่งทำให้เราไม่ขาวไม่ดำ แต่เป็นสีเทา
.
“ทำให้ผมมองการเมืองทางเดียวกัน อาจจะขาวมากดำน้อยแตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดก็เป็นเฉดเทาทางเดียวกัน แม้แต่พรรคการเมืองผมก็มองว่ามีความเทาหลายเฉด ในภาพรวมการเมืองจึงเป็นเฉดเทา แต่ถึงที่สุด นักการเมืองกับประชาชนต้องเห็นผลประโยชน์ร่วมกันเป็นทางเดียวกัน”
.
สำหรับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 อันเป็นที่มาของคดีความที่ทำให้ถูกคุมขัง ฟรานซิสเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าวันนั้นเขาใช้โทรโข่งเรียกให้ผู้ชุมนุม “อยู่ในความสงบ” แต่กลับถูกตีความว่าขัดขวางขบวนเสด็จฯ
.
ในมุมมองของฟรานซิส การชุมนุมมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าการเรียกร้องเพียงอย่างเดียว มันคือการส่งเสียงให้สังคมได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดของมนุษย์ ในวันที่มีการชุมนุมอย่างสันติ ไม่ว่าจะเป็นการพูด หรือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ล้วนเป็นการปลดปล่อยความเจ็บปวดที่สะสมไว้ แม้การชุมนุมโดยทั่วไปอาจยากที่จะคาดหวังการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมในทันที แต่อย่างน้อยในวันที่ผู้คนได้ออกมาชุมนุมอย่างสันติ ก็ถือว่ามนุษย์ได้มีโอกาสแสดงความเจ็บปวดและเรียกร้องความเป็นธรรมออกมาแล้ว
.
เมื่อพูดถึงครอบครัว ฟรานซิสเล่าว่าทุกวันนี้แม่และแฟนมาเยี่ยมเกือบทุกวัน การที่พวกเขามาเยี่ยมส่งผลสำคัญมากว่า ยังมีชีวิตที่เขาจะไม่ลืมรออยู่ข้างนอก ระบบจองจำไม่ใช่ทางเลือก และไม่ใช่ทางออก ดังนั้นกำลังใจและความพยายามของทั้งแม่และแฟนเป็นมูลค่ามหาศาลที่นับไม่ได้
.
แต่ในอีกด้านหนึ่งฟรานซิสก็เป็นห่วงคนที่อยู่ข้างนอก แม้คนข้างนอกมีเสรีภาพที่จะอยู่หรือเดินทางไปไหนก็ได้ แต่ก็ยังเป็นห่วงความสุขและความนึกคิดภายในจิตใจพวกเขา ทั้งต้องการให้กำลังใจทุกคนที่ทำงานอยู่ข้างนอกในการช่วยเหลือผู้ต้องขังการเมือง
.
“อาจจะเหมือนคำพูดสวยหรูแต่อยากให้รู้ว่าเป็นห่วงเสมอ การทำงานแบบนี้เป็นการทำงานเพื่อมวลชน” ฟรานซิสกล่าว นอกจากการทำงานแล้วเขายืนยันว่าทุกคนต้องได้รับสิทธิในการมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย
.
ก่อนบทสนทนาจะมาสู่เรื่องการสู้คดี โดยเฉพาะกับการขอประกันตัวในชั้นฎีกา เมื่อถูกถามว่ายังมีความหวังกับกระบวนการยุติธรรมอยู่ไหม เขาบอกว่าหากถามคำถามนี้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วก็อาจจะตอบได้เลยว่าไม่เชื่อ แต่ที่ผ่านมาได้เจอทนายที่อยู่ในเรือนจำได้พูดคุยกัน
.
“ทนายคนนั้นบอกว่าความยุติธรรมที่แท้จริงคือตัวอักษรของกฎหมาย เย็นชา ละเอียดสูง ปักเข้าเนื้อเข้าหัวใจเราได้ ดังนั้นมนุษย์ที่ประดิษฐ์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ก็ต้องคอยตีความว่าอะไรคือยุติธรรม หากความยุติธรรมไม่เปลี่ยน ก็ยังเชื่อในมนุษย์อยู่ เพราะสุดท้ายแล้วมนุษย์เป็นผู้สร้างความยุติธรรม”
.
กับโทษอันแสนนาน 16 ปี ถ้านับเวลาตามนี้ จากวัย 26 ปี ถึงวันนั้นเขาคงล่วงเลยอายุ 42 ปี ในเรื่องอนาคต ฟรานซิสเชื่อว่าโชคชะตาไม่ได้จบเรื่องแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว บทลงโทษไม่ได้จบสิ้นชีวิต ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าระยะเวลาเท่านี้ยาวนานมากน่าจะเสียอะไรต่าง ๆ ไปมากมาย
.
“แต่ตอนนี้ความหวังคือน้ำแรงน้ำใจของทุกคนที่ยังมีความหวัง มุ่งมั่นตั้งใจที่อยากเห็นผมเดินออกมาจากคลองเปรม ในเมื่อเขามีพลังใจทำไมเราจะมีไม่ได้”
.
ท้ายที่สุดฟรานซิสฝากข้อความถึงสาธารณชนว่า “คุณอาจจะตีความว่าผมเป็นอย่างนี้ อย่างนั้น อย่างโน้น แต่ผมไม่โกรธ ไม่เกลียด เป็นเรื่องของคุณ แต่นี่เป็นทางเดินของผมที่จะไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าชีวิตสองเดือนในเรือนจำได้ให้อะไรกับผมไว้ ไม่ว่าจะอะไรยังไง บุญเกื้อหนุน คือบุญเกื้อหนุน”

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1250035350300266&set=a.656922399611567
https://tlhr2014.com/archives/80088