.webp)
จากผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งที่ 1 โดยกรมควบคุมมลพิษ พบว่าแม่น้ำสาละวินมีสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน
"ไม่มีใครกล้าซื้อ ไม่มีใครกล้ากิน(ปลา)" คนสาละวินได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่อย่างไร ในวันที่แม่น้ำปนเปื้อนสารหนู-ตะกั่ว
จิราภรณ์ ศรีแจ่ม
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
Reporting from บ้านสบเมย ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน
เมื่อ 7 ชั่วโมงที่แล้ว
หมู่บ้านบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาในแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำอันดับต้น ๆ ของประเทศหลายปีติดต่อกัน กำลังเผชิญกับปัญหาแม่น้ำสาละวินปนเปื้อนสารโลหะหนักที่กำลังบั่นทอนความมั่นคงในชีวิตของพวกเขา
เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ที่ผ่านมา นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่าจากการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำสาละวิน 13 จุด และลำน้ำสาขา 5 จุด ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 12-13 พ.ย. ผลการตรวจสอบจากห้องปฏิบัติการของ คพ. พบว่าคุณภาพน้ำในแม่น้ำสาละวินมีค่าสารหนูเกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำในแหล่งผิวดินทุกจุดตรวจวัด ขณะที่แม่น้ำสาขายังมีคุณภาพน้ำตามค่ามาตรฐานที่กำหนด
ทั้ง 13 จุด เริ่มต้นตั้งแต่แม่น้ำสาละวินบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ไปจนถึงบ้านสบเมย ม.4 ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน โดยค่าสารหนูปนเปื้อนของแต่ละแห่งอยู่ระหว่าง 0.023-0.029 มิลลิกรัม/ลิตร ซึ่งเกินจากค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัม/ลิตร
นอกจากนี้ยังพบว่าแม่น้ำสาละวินตรงบ้านท่าตาฝั่ง ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง ยังมีตะกั่วปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ 0.05 มิลลิกรัม/ลิตร โดยบริเวณนี้พบสารโลหะหนักดังกล่าวปนเปื้อนที่ 0.76 มิลลิกรัม/ลิตร ร่วมกับสารหนู
ก่อนหน้านี้ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตรวจสอบพบว่าแม่น้ำสาละวินบริเวณเดียวกันนี้มีสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานถึง 5 เท่า ขณะที่บริเวณเหนือบ้านแม่สามแลบ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย พบสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานถึง 4 เท่า รวมถึงมีโครเมียมปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานด้วย
ถือได้ว่าผลการตรวจสอบของ คพ. ล่าสุด เป็นหลักฐานยืนยันอย่างเป็นทางการว่าแม่น้ำสาละวินไม่รอดพ้นจากปัญหาปนเปื้อนสารโลหะหนัก เช่นเดียวกับที่ลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง บริเวณ จ.เชียงราย และเชียงใหม่ กำลังเผชิญ ซึ่งคาดว่าเกิดจากการทำเหมืองทองคำและเหมืองแร่หายากในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา
อย่างไรก็ตาม สาเหตุสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำสาละวินนั้นยังอยู่ระหว่างการสืบหาข้อเท็จจริงว่ามาจากกิจกรรมเหมืองในประเทศเพื่อนบ้านเช่นเดียวกันหรือไม่ หรือมาจากปัจจัยอื่น

ภาพแสดงแผนที่จุดเก็บน้ำในแม่น้ำสาละวินของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) พร้อมแสดงผลตรวจแต่ละจุด
ทุกชีวิตที่พึ่งพิงสาละวินกำลังได้รับผลกระทบอย่างไร เมื่อสายน้ำปนเปื้อน
ก่อนผลตรวจสอบคุณภาพน้ำของ คพ. เผยแพร่เพียงไม่กี่ชั่วโมง บีบีซีไทยเดินทางมาเยือนหมู่บ้านสบเมย ม.4 ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชาวประมงและผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านเรือนแพ
พวกเขาบอกว่าวิถีชีวิตได้รับผลกระทบนับตั้งแต่มีรายงานข่าวเปิดเผยผลการตรวจสอบของ ม.เชียงใหม่ ซึ่งระบุว่าสาละวินมีสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในจุดที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร
ทางการขอให้ชาวบ้านริมน้ำสาละวินงดกิจกรรมที่สัมผัสน้ำโดยตรงออกไปก่อน จนกว่าจะทราบผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการจาก คพ. ทำให้ตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ชาวประมงในหมู่บ้านสบเมยเกือบ 20 คน ยุติการวางตาข่ายหาปลาในแม่น้ำสาละวิน
นายอภิสิทธิ์ สายทรัพย์สิน อายุ 36 ปี ชาวบ้านบ้านสบเมยซึ่งเป็นผู้รับซื้อปลาจากแม่น้ำสาละวิน บอกกับบีบีซีไทยว่าในตอนนี้มีชาวบ้านแค่ 2 คนเท่านั้นที่ยังลงวางตาข่ายหาปลาในแม่น้ำอยู่ ทั้งคู่เป็นชายสูงวัยที่ไม่มีทางเลือกทางอาชีพอื่น นอกจากพึ่งพาสายน้ำแห่งนี้
หนึ่งในนั้น คือ นายลู พะนี ซอ วัย 60 ปี ซึ่งพูดภาษาไทยได้เล็กน้อย เพราะภาษาแม่ของเขาคือภาษากะเหรี่ยง
ชายคนนี้ทำอาชีพประมงในสาละวินมากว่า 30 ปี เขาบอกว่าหลังจากมีข่าวพบสารหนูในสาละวินบริเวณบ้านท่าตาฝั่ง ทำให้ลูกค้าไม่มั่นใจว่าปลาแม่น้ำสาละวินยังปลอดภัยอยู่หรือไม่ ปลาที่หาได้จึงไม่มีใครรับซื้อเหมือนเช่นเคย ทำให้รายได้จากอาชีพนี้ซึ่งคิดเป็นปีละประมาณ 40,000-50,000 บาท กำลังได้รับผลกระทบ
"ไม่มีใครกล้าซื้อ ไม่มีใครกล้ากิน" นายลู พะนี ซอ บอก และชี้ให้ดูว่าปกติแม่น้ำสาละวินจะต้องเต็มตาข่ายดักปลา แต่ในตอนนี้มันแทบจะว่างเปล่า
"ปกติผมจะส่งปลาไปขายให้ลูกค้าที่เป็นร้านอาหารในตัว อ.แม่สะเรียง ในตัวจังหวัดแม่ฮ่องสอน ไปจนถึงเชียงใหม่" อภิสิทธิ์ บอก
"แต่ในตอนนี้คำสั่งซื้อชะลอออกไป ทุกคนก็กังวลว่าปลาจะมีสารหนูไหม กินไปแล้วจะอันตรายหรือเปล่า"
นายลู พะนี ซอ ชาวประมงในหมู่บ้านสบเมย อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน

นายลู พะนี ซอ กับปลาขนาดใหญ่ที่เขาจับได้จากแม่น้ำสาละวินในอดีต
อภิสิทธิ์เปิดตู้แช่แข็งที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาเซลล์ เนื่องจากหมู่บ้านนี้ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง เราพบกับปลาแค้ขนาดใหญ่กว่า 10 กิโลกรัมจำนวน 2 ตัว วางแผ่ยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของตู้แช่อยู่
นี่คือปลาที่ชาวประมงนำมาส่งให้เขาในเช้าวันที่ 21 พ.ย. ที่ผ่านมา บีบีซีไทยสอบถามว่าในเมื่อคำสั่งซื้อจากร้านอาหารและลูกค้าประจำต่าง ๆ แทบไม่มีเข้ามาแล้ว เหตุใดเขายังคงรับซื้อปลาจากชาวประมง
"ปัจจุบันยังไม่ชัดเจนว่ามีสารหนูปนเปื้อนไหม แต่เราอาศัยประสบการณ์ที่รับซื้อปลามาทุกปี ก็สังเกตดูว่ามีแผลบนตัวปลาไหม ลักษณะปลามีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า เพราะถ้าปลายังสมบูรณ์ เราก็ช่วยชาวบ้านรับซื้อ เพราะชาวบ้านที่หาปลาต้องอาศัยรายได้ตรงนี้กลับไปเลี้ยงครอบครัว ทั้งซื้อข้าวสารหรือให้เงินลูกหลานไปเรียนข้างล่าง"
ทั้งนี้ กรมประมงเก็บตัวอย่างปลาในแม่น้ำสาละวินไปแล้ว เพื่อตรวจหาสารโลหะหนักในเนื้อปลา คาดว่าจะทราบผลวันที่ 25 พ.ย. นี้
อย่างไรก็ดี อภิสิทธิ์ยอมรับว่ามีความกังวลใจที่จะขายปลาสาละวินให้กับลูกค้าประจำ หากมีการติดต่อขอซื้อเข้ามา
"ก็ไม่อยากให้เราเป็นต้นเหตุหรือเป็นสาเหตุให้เขาต้องเจ็บป่วย หากปลาของเรามีสารหนูปนเปื้อนจริง ๆ" เขากล่าว

นายลู พะนี ซอ กับปลาขนาดใหญ่ที่เขาจับได้จากแม่น้ำสาละวินในอดีต
อภิสิทธิ์เปิดตู้แช่แข็งที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาเซลล์ เนื่องจากหมู่บ้านนี้ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง เราพบกับปลาแค้ขนาดใหญ่กว่า 10 กิโลกรัมจำนวน 2 ตัว วางแผ่ยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของตู้แช่อยู่
นี่คือปลาที่ชาวประมงนำมาส่งให้เขาในเช้าวันที่ 21 พ.ย. ที่ผ่านมา บีบีซีไทยสอบถามว่าในเมื่อคำสั่งซื้อจากร้านอาหารและลูกค้าประจำต่าง ๆ แทบไม่มีเข้ามาแล้ว เหตุใดเขายังคงรับซื้อปลาจากชาวประมง
"ปัจจุบันยังไม่ชัดเจนว่ามีสารหนูปนเปื้อนไหม แต่เราอาศัยประสบการณ์ที่รับซื้อปลามาทุกปี ก็สังเกตดูว่ามีแผลบนตัวปลาไหม ลักษณะปลามีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า เพราะถ้าปลายังสมบูรณ์ เราก็ช่วยชาวบ้านรับซื้อ เพราะชาวบ้านที่หาปลาต้องอาศัยรายได้ตรงนี้กลับไปเลี้ยงครอบครัว ทั้งซื้อข้าวสารหรือให้เงินลูกหลานไปเรียนข้างล่าง"
ทั้งนี้ กรมประมงเก็บตัวอย่างปลาในแม่น้ำสาละวินไปแล้ว เพื่อตรวจหาสารโลหะหนักในเนื้อปลา คาดว่าจะทราบผลวันที่ 25 พ.ย. นี้
อย่างไรก็ดี อภิสิทธิ์ยอมรับว่ามีความกังวลใจที่จะขายปลาสาละวินให้กับลูกค้าประจำ หากมีการติดต่อขอซื้อเข้ามา
"ก็ไม่อยากให้เราเป็นต้นเหตุหรือเป็นสาเหตุให้เขาต้องเจ็บป่วย หากปลาของเรามีสารหนูปนเปื้อนจริง ๆ" เขากล่าว

นายอภิสิทธิ์ สายทรัพย์สิน ผู้รับซื้อปลาจากชาวประมงในแม่น้ำสาละวิน บอกว่าปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนกำลังสร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง
ขณะเดียวกัน นางหน่อ แปะ วัย 52 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านเรือนแพริมน้ำสาละวินไม่ไกลจากจุดรับซื้อปลาของนายอภิสิทธิ์บอกกับบีบีซีไทยผ่านล่ามภาษากะเหรี่ยงว่า ข่าวสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำสาละวิน ทำให้เธอไม่กล้าสัมผัสน้ำอีกต่อไป โดยปกติจะนำน้ำมาใส่ไว้ในถังและแกว่งสารส้มให้ตกตะกอน เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมการซักล้างต่าง ๆ ในบ้านแพ และในช่วงน้ำสาละวินไม่ขุ่น
เธอยอมรับว่าสุดท้ายแล้วหากผลตรวจของทางการไทยยืนยันว่าสาละวินมีสารหนูปนเปื้อน มันคงเป็นเรื่องย้อนแย้งที่บ้านเรือนแพแห่งนี้ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากน้ำที่อยู่ตรงหน้าได้
ในตอนนี้ นางหน่อ แปะ และบ้านเรือนแพอีก 2 หลังที่ตั้งอยู่ด้วยกัน ต้องหันมาใช้น้ำประปาภูเขาหมู่บ้านสำหรับการอุปโภค-บริโภค เป็นหลัก แต่น้ำประปาก็มีความไม่แน่นอนอยู่ เช่น น้ำอาจจะมาไม่ถึงบ้านเรือนแพของในช่วงหน้าแล้ง เนื่องจากเรือนแพตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้าน และระบบประปาอาจพังเสียหายในฤดูน้ำหลาก จนทำให้น้ำไม่ไหลได้เช่นกัน
"แต่ถ้าไม่มีน้ำให้ใช้จริง ๆ ก็คงต้องใช้จากสาละวินอยู่ดี แม้อันตราย" เธอกล่าว
นางหน่อ แปะ และลูกสาว ชาวบ้านผู้ที่อาศัยอยู่บ้านเรือนแพริมแม่น้ำสาละวินในเขต อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน

คพ. บอกว่า บ้านแพริมน้ำสาละวิน 4 ครอบครัวได้รับผลกระทบจากปัญหาสารหนูปนเปื้อน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ใช้น้ำจากสาละวินโดยตรง
อภิสิทธิ์พาบีบีซีไทยเดินมาดูลานกว้างเขียวชอุ่มริมน้ำสาละวินหน้าร้านขายของของครอบครัว มันเป็นสถานที่ตั้งแคมป์สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องจองเข้ามา และต้องอาศัยการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงจากท่าเรือแม่สามแลบมายังที่นี่
ฤดูการท่องเที่ยวเริ่มต้นตั้งแต่ปลายฤดูฝนทอดยาวไปจนถึงช่วงหน้าหนาว อภิสิทธิ์บอกว่ากรุ๊ปทัวร์ที่จองเข้ามาตั้งแคมป์ยกเลิกไปแล้วประมาณ 10 กลุ่ม นับตั้งแต่มีข่าวพบสารหนูในสาละวิน
"ปกตินักท่องเที่ยวจะล่องเรือเข้ามานอนตั้งแคมป์ ชมธรรมชาติริมน้ำสาละวิน สั่งปลาสาละวินมากิน แต่ในตอนนี้แทบไม่เหลือภาพนั้นแล้ว" เขาบอกกับบีบีซีไทย ขณะเดินพาชมสถานที่
"ส่วนลูกค้าขาประจำที่เขามาทุกปี ก็ยังอยากมาอยู่ แต่ขอรอผลตรวจแล็บจาก คพ. ก่อน" อภิสิทธิ์ถอนหายใจยาว
"เรื่องสารหนูในแม่น้ำมันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ นะครับ ทุกชีวิตมันพึ่งพิงกันหมด ถ้าน้ำไม่ปลอดภัย ก็ไม่มีใครมาเที่ยว ปลาไม่ปลอดภัยก็ไม่มีใครกล้ากิน มันไม่ใช่แค่ชีวิตในหมู่บ้าน แต่มันคือรายได้ของคนเรือ มันคือรายได้ของทุกคน" เขาบอก
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นจุดตัดของแม่น้ำสองสายที่ไหลมาบรรจบกัน นั่นคือแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำเมย
หลังจากบีบีซีไทยเดินทางออกจากหมู่บ้านสบเมยมา กรมควบคุมมลพิษรายงานผลว่าบริเวณนี้พบค่าสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำสาละวิน 0.029 มิลลิกรัม/ลิตร เกินจากค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ ส่วนแม่น้ำเมยยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด
"แม่น้ำสาละวินคือเส้นเลือดหลักของคนทั้งสองฝั่ง ทั้งฝั่งเรา รัฐกะเหรี่ยง และก็รัฐคาเรนนี" นายพงษ์พิพัฒน์ มีเบญจมาศ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่สามแลบ บอกกับบีบีซีไทย
เขาชี้ให้ดูตะกอนดินสาละวินที่ผุดขึ้นมาเป็นแนวยาวหลังเข้าสู่ฤดูน้ำลด "เห็นไหมว่าชาวบ้านจะอาศัยตะกอนดินตรงนี้ปลูกผักต่าง ๆ แล้วตอนนี้มันก็เกิดคำถามต่ออีกว่าแล้วผักที่ใช้ดินจากสาละวินปลูก มันยังกินได้ไหม"
"ระบบนิเวศของแม่น้ำจะเป็นอย่างไร มันกระทบกันไปหมดเป็นห่วงโซ่" เขากล่าวด้วยความกังวลใจ
ปัญหาสารโลหะหนักในสาละวินกำลังทำลายความมั่นคงในชีวิตผู้คนที่นี่อย่างไร
แม่ฮ่องสอนเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศที่มีรายได้ต่อหัวไม่มากนัก โดยข้อมูลของสำนักงานพาณิชย์ จ.แม่ฮ่องสอน ระบุว่าจากข้อมูลล่าสุดในปี 2566 จังหวัดนี้มีผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว (GPP per capita) อยู่ที่ 69,828 บาท/ปี ห่างจาก จ.ระยอง ซึ่งมีผลิตจังหวัดต่อคนอยู่สูงสุดในประเทศที่ 942,205 บาท/ปี เกือบ 14 เท่า
ถึงแม้ตัวเลขผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวจะไม่ได้สะท้อนรายได้จริงของคนในพื้นที่ แต่ก็ทำให้เห็นมูลค่าผลผลิตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นที่นี่ว่าน้อยเพียงใด
นายพงษ์พิพัฒน์บอกว่าหากดูจากสถิติและตัวเลข เขาไม่ปฏิเสธว่าแม่ฮ่องสอนมีตัวเลขที่เทียบกับจังหวัดอื่น ๆ แทบไม่ได้เลย
"แต่แม่ฮ่องสอนไม่มีขอทานสักคน คนที่นี่ก็แค่หาเงินไม่ได้มากพอที่จะซื้อรถ ซื้อโทรศัพท์ เหมือนคนข้างนอก"
นายก อบต.แม่สามแลบ ชี้ไปที่ป่าและแม่น้ำสาละวิน "ถ้านับตัวเลขอาจจะจน แต่ที่จริงเขาอยู่รอด ยังเลี้ยงชีพอย่างยั่งยืนได้"
เขาบอกว่าปัญหาสารโลหะหนักในสาละวินกำลังซ้ำเติมผู้คนที่นี่ซึ่งพึ่งพิงความมั่นคงทางอาหารจากแม่น้ำสาละวินและระบบนิเวศรอบ ๆ ที่พึ่งพากันและกัน ส่วนอาชีพทางเลือกอื่น ๆ เช่น เกษตรกรรม ก็ไม่ใช่อาชีพที่มั่นคงอีกต่อไปแล้ว เมื่อโลกกำลังเจอวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ไม่สามารถพึ่งพาฝนและฟ้าได้เสมอไป
นอกจากนี้การทำเกษตรในพื้นที่ป่าไม้หรือที่ราบสูงก็เจอกับเงื่อนไขทางกฎหมายมากมาย
"เราจนเพราะขาดโอกาส จะทำอะไรก็ติดเงื่อนไขไปหมด" นายพงษ์พิพัฒน์ กล่าว
"ผมคิดว่ามัน (หมายถึงปัญหาสารโลหะหนัก) เป็นตัวทำให้เกิดความยากจนมากกว่าเดิม เพราะนี่คือต้นทุนหลักของพวกเขาที่ทำให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ แม้มีรายได้ไม่เยอะ"

คพ. บอกว่า บ้านแพริมน้ำสาละวิน 4 ครอบครัวได้รับผลกระทบจากปัญหาสารหนูปนเปื้อน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ใช้น้ำจากสาละวินโดยตรง
อภิสิทธิ์พาบีบีซีไทยเดินมาดูลานกว้างเขียวชอุ่มริมน้ำสาละวินหน้าร้านขายของของครอบครัว มันเป็นสถานที่ตั้งแคมป์สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องจองเข้ามา และต้องอาศัยการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงจากท่าเรือแม่สามแลบมายังที่นี่
ฤดูการท่องเที่ยวเริ่มต้นตั้งแต่ปลายฤดูฝนทอดยาวไปจนถึงช่วงหน้าหนาว อภิสิทธิ์บอกว่ากรุ๊ปทัวร์ที่จองเข้ามาตั้งแคมป์ยกเลิกไปแล้วประมาณ 10 กลุ่ม นับตั้งแต่มีข่าวพบสารหนูในสาละวิน
"ปกตินักท่องเที่ยวจะล่องเรือเข้ามานอนตั้งแคมป์ ชมธรรมชาติริมน้ำสาละวิน สั่งปลาสาละวินมากิน แต่ในตอนนี้แทบไม่เหลือภาพนั้นแล้ว" เขาบอกกับบีบีซีไทย ขณะเดินพาชมสถานที่
"ส่วนลูกค้าขาประจำที่เขามาทุกปี ก็ยังอยากมาอยู่ แต่ขอรอผลตรวจแล็บจาก คพ. ก่อน" อภิสิทธิ์ถอนหายใจยาว
"เรื่องสารหนูในแม่น้ำมันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ นะครับ ทุกชีวิตมันพึ่งพิงกันหมด ถ้าน้ำไม่ปลอดภัย ก็ไม่มีใครมาเที่ยว ปลาไม่ปลอดภัยก็ไม่มีใครกล้ากิน มันไม่ใช่แค่ชีวิตในหมู่บ้าน แต่มันคือรายได้ของคนเรือ มันคือรายได้ของทุกคน" เขาบอก
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นจุดตัดของแม่น้ำสองสายที่ไหลมาบรรจบกัน นั่นคือแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำเมย
หลังจากบีบีซีไทยเดินทางออกจากหมู่บ้านสบเมยมา กรมควบคุมมลพิษรายงานผลว่าบริเวณนี้พบค่าสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำสาละวิน 0.029 มิลลิกรัม/ลิตร เกินจากค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ ส่วนแม่น้ำเมยยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด
"แม่น้ำสาละวินคือเส้นเลือดหลักของคนทั้งสองฝั่ง ทั้งฝั่งเรา รัฐกะเหรี่ยง และก็รัฐคาเรนนี" นายพงษ์พิพัฒน์ มีเบญจมาศ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่สามแลบ บอกกับบีบีซีไทย
เขาชี้ให้ดูตะกอนดินสาละวินที่ผุดขึ้นมาเป็นแนวยาวหลังเข้าสู่ฤดูน้ำลด "เห็นไหมว่าชาวบ้านจะอาศัยตะกอนดินตรงนี้ปลูกผักต่าง ๆ แล้วตอนนี้มันก็เกิดคำถามต่ออีกว่าแล้วผักที่ใช้ดินจากสาละวินปลูก มันยังกินได้ไหม"
"ระบบนิเวศของแม่น้ำจะเป็นอย่างไร มันกระทบกันไปหมดเป็นห่วงโซ่" เขากล่าวด้วยความกังวลใจ
ปัญหาสารโลหะหนักในสาละวินกำลังทำลายความมั่นคงในชีวิตผู้คนที่นี่อย่างไร
แม่ฮ่องสอนเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศที่มีรายได้ต่อหัวไม่มากนัก โดยข้อมูลของสำนักงานพาณิชย์ จ.แม่ฮ่องสอน ระบุว่าจากข้อมูลล่าสุดในปี 2566 จังหวัดนี้มีผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว (GPP per capita) อยู่ที่ 69,828 บาท/ปี ห่างจาก จ.ระยอง ซึ่งมีผลิตจังหวัดต่อคนอยู่สูงสุดในประเทศที่ 942,205 บาท/ปี เกือบ 14 เท่า
ถึงแม้ตัวเลขผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวจะไม่ได้สะท้อนรายได้จริงของคนในพื้นที่ แต่ก็ทำให้เห็นมูลค่าผลผลิตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นที่นี่ว่าน้อยเพียงใด
นายพงษ์พิพัฒน์บอกว่าหากดูจากสถิติและตัวเลข เขาไม่ปฏิเสธว่าแม่ฮ่องสอนมีตัวเลขที่เทียบกับจังหวัดอื่น ๆ แทบไม่ได้เลย
"แต่แม่ฮ่องสอนไม่มีขอทานสักคน คนที่นี่ก็แค่หาเงินไม่ได้มากพอที่จะซื้อรถ ซื้อโทรศัพท์ เหมือนคนข้างนอก"
นายก อบต.แม่สามแลบ ชี้ไปที่ป่าและแม่น้ำสาละวิน "ถ้านับตัวเลขอาจจะจน แต่ที่จริงเขาอยู่รอด ยังเลี้ยงชีพอย่างยั่งยืนได้"
เขาบอกว่าปัญหาสารโลหะหนักในสาละวินกำลังซ้ำเติมผู้คนที่นี่ซึ่งพึ่งพิงความมั่นคงทางอาหารจากแม่น้ำสาละวินและระบบนิเวศรอบ ๆ ที่พึ่งพากันและกัน ส่วนอาชีพทางเลือกอื่น ๆ เช่น เกษตรกรรม ก็ไม่ใช่อาชีพที่มั่นคงอีกต่อไปแล้ว เมื่อโลกกำลังเจอวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ไม่สามารถพึ่งพาฝนและฟ้าได้เสมอไป
นอกจากนี้การทำเกษตรในพื้นที่ป่าไม้หรือที่ราบสูงก็เจอกับเงื่อนไขทางกฎหมายมากมาย
"เราจนเพราะขาดโอกาส จะทำอะไรก็ติดเงื่อนไขไปหมด" นายพงษ์พิพัฒน์ กล่าว
"ผมคิดว่ามัน (หมายถึงปัญหาสารโลหะหนัก) เป็นตัวทำให้เกิดความยากจนมากกว่าเดิม เพราะนี่คือต้นทุนหลักของพวกเขาที่ทำให้ใช้ชีวิตอยู่ได้ แม้มีรายได้ไม่เยอะ"
นายก อบต. แม่สามแลบยังชี้ให้เห็นว่าหากหันไปทำอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ก็ไม่ใช่ทางรอดของชาวประมงอยู่ดี เพราะจุดขายของอาชีพนี้คือการหาปลาจากแม่น้ำสาละวิน ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น
ทว่าหากหันไปปลูกผักหรือพืชผลอื่น ๆ ชาวริมน้ำสาละวินก็สู้เกษตรกรรายอื่นในเมืองไม่ได้มากนัก เพราะพืชผักที่ปลูกได้ไม่มีความแตกต่างกัน
"เราก็ปลูกผักกาด ถั่ว ได้เหมือนกับคนที่อยู่ข้างนอก แล้วเขาจะเข้ามารับซื้อพืชผักที่เหมือน ๆ กันในพื้นที่ลึก ๆ ทำไมให้ต้นทุนสูงกว่า"
นายพงษ์พิพัฒน์กล่าวต่อว่าอีกความกังวลใจหนึ่งของชาวบ้าน คือ พวกเขาไม่รู้เลยว่าสะสมสารหนูและสารโลหะหนักอื่น ๆ เข้าไปตั้งแต่เมื่อไร นานแค่ไหน เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยมีการตรวจวัดคุณภาพน้ำเป็นประจำมาก่อน
"อย่างเราป่วย เป็นผื่น ไม่สบาย เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่ามีปัญหานี้ ก็คิดว่าเป็นเพราะสาเหตุอื่น ๆ หรือเปล่า แต่พอถึงตอนนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า"
นายก อบต.แม่สามแลบ บอกว่าชาวบ้านต้องการให้หน่วยงานสาธารณสุขเข้ามาตรวจสุขภาพประชาชนอย่างละเอียดว่ากำลังได้รับผลกระทบจากสารหนูหรือสารโลหะหนักอื่น ๆ หรือไม่ รวมถึงจัดให้มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำและตะกอนดินสม่ำเสมอมากขึ้นหลังจากนี้ เพื่อติดตามปัญหาการปนเปื้อน
เขายังเสนอให้รัฐบาลดำเนินการนโยบายเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง หากพบว่าต้นกำเนิดของสารโลหะหนักในสาละวินนั้นมาจากเหมืองในประเทศเมียนมาจริง
"เขาต้องปรับปรุงการทำเหมืองให้มันดีขึ้น ไม่ปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ หากทำไม่ได้ก็ต้องหยุดไปเลย"
"ไม่อย่างนั้นปัญหาสารพิษมันก็จะเรื้อรังไปเรื่อย ๆ คนที่กระทบหนักก็คือพวกเรา คนที่อยู่ที่นี่ ไม่ใช่เจ้าของเหมือง" นายพงษ์พิพัฒน์ กล่าว

เช่นเดียวกัน นายอภิสิทธิ์บอกว่าต้องการให้รัฐบาลดำเนินการขั้นเด็ดขาดเพื่อให้ผู้ปล่อยมลพิษยุติกิจกรรมที่กำลังทำลายสาละวิน
เขาเชื่อว่าหากผลการตรวจสอบว่าแหล่งสารพิษมาจากรัฐคาเรนนี มีแนวโน้มเชิงบวกว่าสามารถเจรจาต่อรองกันได้ สามารถขอให้ปรับปรุงการทำเหมืองหรือยุติการดำเนินการได้ เนื่องจากรัฐดังกล่าวมีความสัมพันธ์อันดีกับไทย แต่ไม่มั่นใจเลยว่าหากสุดท้ายได้ข้อสรุปว่าสาเหตุมาจากเหมืองในรัฐฉาน ปัญหาจะถูกแก้ไขหรือไม่ เมื่อพิจารณาจากวิกฤตในแม่น้ำกก สาย รวก และโขง
น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ กรรมการบริหารจากองค์กรริเวอร์สแอนด์ไรท์ส (Rivers and Rights) ซึ่งขับเคลื่อนปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำสาย กก รวก โขง บอกว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีออกมาพูดถึงแหล่งต้นกำเนิดแหล่งมลพิษอย่างจริงจัง รวมถึงไม่มีท่าทีที่ชัดเจนว่าจัดจะการปัญหาเรื่องนี้อย่างไร ทั้งที่มีข้อพิสูจน์จากหลายแหล่งระบุว่าแหล่งมลพิษส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่รัฐฉานของเมียนมา
นอกจากนี้การลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญ (critical minerals) ระดับโลก ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกายังทำให้เห็นว่ารัฐบาลเพิกเฉยต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนของตนเอง
"มันยิ่งทำให้เห็นว่าสุดท้ายแล้ว คุณก็อยากเข้าไปอยู่ในตลาดนี้ อยากเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชน (supply chain)" เธอกล่าว "เรากังวลมากว่าแบบนี้จะยิ่งทำให้การฟอกขาวแร่เถื่อนได้ง่ายขึ้น"
เมื่อเจอปัญหาสารโลหะหนักในสาละวิน น.ส.เพียรพร เชื่อว่าต้นกำเนิดแหล่งมลพิษน่าจะมาจากเหมือง เนื่องจากทราบมาว่ามีเหมืองแร่ทองคำตลอดสายน้ำสาละวินในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งขนาดใหญ่และรายย่อย นอกจากนี้ยังมีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธหลายแห่งบริเวณต้นน้ำสาละวินในพื้นที่รัฐฉาน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมพื้นที่โดยกลุ่มว้าแดงหรือกองทัพสหรัฐว้า
"ตอนนี้เราไม่ได้พูดถึงปัญหาแค่ในระดับชุมชนเล็ก ๆ ในเชียงราย เชียงใหม่ หรือแม่ฮ่องสอน แต่นี่มันคือห่วงโซ่อุปทานระดับโลกที่กำลังใช้ประโยชน์หรือมาฉวยโอกาสจากพื้นที่ที่ไม่มีกฎหมายควบคุม และสร้างผลกระทบให้ทั้งคนในภาคเหนือของไทย รวมถึงภาคอีสาน เพราะพบสารหนูในน้ำโขงด้วย"
น.ส.เพียรพร กล่าวต่อว่า จากปัญหาสาละวินปนเปื้อนสารโลหะหนัก ยิ่งทำให้แม่ฮ่องสอนต้องอนุรักษ์แม่น้ำสาขาไว้ หน่วยงานรัฐไม่ควรต่อประทานบัตรเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำสาขาใน จ.แม่ฮ่องสอน อีกต่อไป เนื่องจากเห็นได้ว่าในห้วงไม่กี่ปี่ที่ผ่านมามีความพยายามจะเปิดให้ทำเหมืองฟลูออไรด์ซึ่งอยู่บริเวณต้นน้ำแม่น้ำลา และเหมืองหินปูนที่อยู่บริเวณป่าต้นน้ำบ้านโป่งดอยช้าง แต่ถูกคัดค้านจากชาวบ้านในพื้นที่
"ในเมื่อแม่น้ำสาขาเป็นเพียงที่พึ่งแห่งเดียวในตอนนี้ หนทางเดียวคือรัฐต้องช่วยชาวบ้านอนุรักษ์ป่าต้นน้ำให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด" เธอกล่าว
หน่วยงานภาครัฐกำลังทำอะไรบ้าง หลังสาละวินมีปัญหาปนเปื้อนสารโลหะหนัก
นายสุรินทร์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จะทำหนังสือด่วนที่สุดแจ้งกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อประสานแจ้งผลต่อประเทศเมียนมา และขอให้เมียนมาตรวจสอบคุณภาพน้ำและแหล่งกำเนิดมลพิษ
ทาง คพ. บอกด้วยว่าจะลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับประชาชนเรื่องการใช้น้ำกินน้ำใช้ในชีวิตประจำวัน และวิธีการปรับปรุงคุณภาพน้ำเบื้องต้นอย่างง่าย โดยในเบื้องต้นประชาชนส่วนใหญ่ใช้น้ำประปาภูเขา แต่มี 4 ครอบครัวที่อาศัยอยู่บ้านแพริมน้ำและใช้น้ำจากสาละวินโดยตรง ซึ่งทาง คพ. ได้สอนวิธีการปรับปรุงคุณภาพน้ำเบื้องต้นไปแล้วเมื่อต้นเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ทาง คพ. จะตรวจสอบคุณภาพน้ำและแจ้งประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง โดยสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ทาง ทส. จะเร่งหาแหล่งน้ำทางเลือก ทั้งน้ำสำหรับอุปโภคและการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำผิวดินหรือน้ำบาดาล ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำและกรมทรัพยากรน้ำบาดาลดำเนินการสำรวจเบื้องต้นแล้ว และมีแผนจะเจาะบ่อบาดาลหรือหาแหล่งน้ำอื่นเพื่อบรรเทาผลกระทบให้ชุมชนต่อไป
https://www.bbc.com/thai/articles/cjwyd24l2xlo


