วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 27, 2568

112 คดีอาญาพิเศษใส่ไข่ : การเมืองในคดี “อาญา” อันไม่ปกติของม.112


มาตรา 112 คดีอาญาพิเศษใส่ไข่ | คนนอกคอก EP.4

อานุภาพ เส้นเศษ รายงาน
Prachatai
Premiered Nov 20, 2025

เมื่อ 19 พ.ย.2568 ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 5 ปี ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศผ่านสื่อมวลชนว่าจะให้ใช้กฎหมายทุกมาตราในการดำเนินการกับการชุมนุมทางการเมืองของเยาวชนที่ออกมาเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก แต่อีกประเด็นสำคัญในเวลานั้นคือการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์

หลังการประกาศของพล.อ.ประยุทธ์ จำนวนคดีที่เกิดขึ้นจากการแสดงออกทางการเมืองทะยานพุ่งสูงขึ้นไปถึง 1,986 คน 1,338 คดี และ 1 ในข้อหาที่ถูกเอามาใช้ก็คือ “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างน้อย 284 คน ใน 317 คดีหรือเกือบ 1 ใน 4 ของคดีการเมืองช่วงปี 2563-2568

มาตรา 112 เป็นข้อหาที่มีประเด็นโต้แย้งมากที่สุดเมื่อพูดถึงว่าควรจะได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่ เหตุผลที่เอามาโต้แย้งเพื่อไม่รวมการนิรโทษฯ มักอ้างกันว่าเป็นเพียงคดี “อาญา” ไม่ใช่คดีทางการเมือง (ซึ่งก็น่าสนใจว่าบรรดาคดีการเมืองทั้งหลายตลอด 20 ปีที่กำลังจะได้นิรโทษฯ จาก พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ก็เป็นข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญาหรือประมวลกฎหมายแพ่งทั้งนั้น)

อย่างไรก็ตาม ยิ่งไปกว่าเรื่องทางสถิติสัมพันธ์กับสถานการณ์ทางการเมืองตลอด 5 ปีที่ผ่านมาและเหตุผลที่ทำให้คนเกือบ 300 คนถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 จากการแสดงออกทางการเมืองของพวกเขาที่มักถูกย้ำอยู่ในรายงานข่าวคดีต่างๆ ที่คอยย้ำว่าคดีมาตรา 112 เป็นคดีทางการเมืองแล้ว

ยังมีอีกประเด็นที่สะท้อนความเป็นการเมืองของคดีมาตรา 112 คือ “กระบวนการพิจารณาคดี” ในศาลที่แปลกแตกต่างออกไปจากคดีอาญาทั่วๆ ไป ทั้งการพิจารณาลับหรือไม่ให้เผยแพร่เนื้อการพิจารณาคดี ไม่ให้จำเลยเรียกพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง การขอประกันตัวแสนยากเย็นและได้บ้างไม่ได้บ้างทั้งที่เงื่อนไขที่ศาลตั้งก็ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในกฎหมาย ฯลฯ และอีกสารพัดที่กล่าวถึงไม่หมด

รายการ “คนนอกคอก” ตอนล่าสุด ชวน “ทนายด่าง” หรือ กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความที่เข้ามาช่วยเหลือผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองมานานและเคยทำคดีมาตรา 112 ในความขัดแย้งทางการเมืองร่วมสมัยนับตั้งแต่คดีของ “ดา ตอร์ปิโด” จนถึงคดีของเหล่าเยาวชนในปัจจุบัน ที่เห็นความแปลกแตกต่างที่เกิดในแต่ละช่วงสมัย อีกทั้งยังต่างไปจากคดี “อาญา” ที่ปกติต้องเจอในสาขาอาชีพทนายความของเขา มาเล่าประสบการณ์ที่เขาต้องเจอว่าคดี มาตรา 112 มันพิเศษใส่ไข่อย่างไร
มาตรา 112 เคยถูกแก้ เคยนิรโทษ

คดีมาตรา 112 อยู่ในประมวลกฎหมายอาญาหมวดความมั่นคงของรัฐ ว่าด้วยผู้ใดที่ “ดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี

แม้หลายคนอาจมองว่าเป็นคดีอาญาทั่วไปที่เกี่ยวกับการแสดงออก แต่หากพิจารณาลึกลงไป มาตรานี้มีลักษณะพิเศษในตัวเอง ทั้งในด้านสถานะของผู้ได้รับความคุ้มครอง อัตราโทษที่สูงกว่าคดีหมิ่นประมาททั่วไป และความละเอียดอ่อนในการตีความและบังคับใช้ ทำให้มาตรา 112 มีความซับซ้อนมากกว่าที่ปรากฏในตัวบทกฎหมาย

บทกฎหมายจะเขียนไว้ใกล้เคียงกับความผิดฐานดูหมิ่นและหมิ่นประมาทบุคคล แต่ในทางปฏิบัติกลับเต็มไปด้วยพื้นที่คลุมเครือตั้งแต่ขั้นตอนการกล่าวหา การตีความ ไปจนถึงการใช้อำนาจดุลพินิจ ซึ่งความคลุมเครือนี้เองที่มักนำไปสู่ข้อกังขาในหลายคดี

สำหรับคนที่ทำคดี 112 มามากกว่าสิบปี อย่างกฤษฎางค์ นุตจรัส (ทนายด่าง) ทนายความที่ร่วมช่วยเหลือคดีทางการเมืองกับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เล่าถึงประสบการณ์ที่เจอระหว่างต่อสู้คดีและได้พบเจอความไม่คงเส้นคงวาเหล่านี้ที่เขามองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่เป็นสิ่งที่เขาเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก

กฤษฎางค์ ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทษมาตรา 112 ไว้ว่า เพิ่งมีการเปลี่ยนโทษ จากจำคุกไม่เกิน 7 ปี ไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำกลายมาเป็นโทษแบบที่เห็นในปัจจุบัน หลังการรัฐประหารตอน 6 ตุลาคม 2519 เกิด ซึ่งในการแก้ครั้งนี้ที่ไม่ต้องผ่านสภาใด จนใช้ยาวนานถึง 49 ปี

กฤษฎางค์ ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา โทษจำคุกในมาตรา 112 สูดสุดที่ 7 ปี ไม่มีโทษขั้นต่ำ หมายความว่าศาลจะลงโทษแค่ 1 วันก็ได้ แต่หลังจากเกิดการรัฐประหาร พลเอก สงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะรัฐประหารในเวลานั้นออกคำสั่งแก้โทษเป็น 3 - 15 ปี โดยรัชกาลที่ 9 ไม่ได้ลงพระนามไม่มีพระบรมราชโองการอะไร ทำให้ผู้พิพากษาต้องกำหนดโทษไม่ต่ำกว่า 3 ปี การลดโทษทำได้ตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด

การแก้ไขเพิ่มโทษครั้งนั้น สะท้อนให้เห็นว่าแม้มาตรา 112 มักถูกมองว่าเป็นกฎหมายที่แก้ไขไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงเป็นกฎหมายอาญาธรรมดาเช่นเดียวกับคดีลักวิ่งชิงปล้นที่ใครทำผิดก็ต้องติดคุกติดตะรางและปรับเปลี่ยนเนื้อหาและอัตราโทษให้เหมาะสมกับสภาพสังคม แต่เรื่องหนึ่งที่เคยถกเถียงกันตอนหลังช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ว่าจะใช้โทษที่ปรับให้รุนแรงขึ้นย้อนหลังกลับไปใช้กับคดีที่เกิดขึ้นก่อนแก้ไขหรือเปล่า แต่โชคดีที่ตอนนั้นมีการนิรโทษกรรมก่อน

กฤษฎางค์ เล่าต่อว่า พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกฯ ที่มารับช่วงต่อประกาศนิรโทษกรรมในปี 2522 ทำให้หลายคนรอดจากโทษที่เพิ่มขึ้นมา แต่ในช่วงนั้นถึงรอดจากมาตรา 112 ก็โดน พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์กันอยู่ดี

“กฎหมายสามารถวิวัฒนาการได้ ผมถึงมีความเชื่อว่ามาตรา 112 เนี่ยแก้ไขได้ และหากถามว่ายกเลิกได้ไหม ยกเลิกได้ แต่เราจะทำอย่างไรให้มีกฎหมายที่ปกป้องคุ้มครองสถาบันกษัตริย์ของเรา”
ประสบการณ์ว่าความคดี 112 อันอึมครึม

กฤษฎางค์ เล่าถึงประสบการณ์ว่าความคดีมาตรา 112 ครั้งแรกว่า ตอนนั้น สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ทาบทามให้เขาไปช่วยคดีของ ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอปิโด เขาจึงชวนประเวศ ประภานุกูล เพื่อนทนายไปทำคดีด้วยกัน การสืบพยานในคดีเวลานั้นก็ทำเหมือนที่ทำกับคดีมาตรา 112 ทุกวันนี้ว่าดาพูดอย่างไรทำอะไร ศาลเห็นว่าผิดก็พิพากษาลงโทษ ทางดาก็อุทธรณ์คดีต่อแต่ในชั้นอุทธรณ์คดี ดาอยู่ในคุกมานานกว่าศาลอุทธรณ์จะพิพากษามีคำพิพากษาออกมาดาจึงตัดสินใจถอนอุทธรณ์เพื่อให้คดีสิ้นสุด จนดาได้พ้นโทษออกมา

“มันมีความอึมครึม มีการขออนุญาตพิจารณาคดีลับ มีความระมัดระวังในการสืบพยาน คือมีการตัดสินมาเรียบร้อยแล้ว มันขึ้นศาลพอเป็นพิธีเท่านั้นเอง โอกาสในการต่อสู้คดีก็ไม่เยอะไม่เหมือนสมัยนี้” ทนายความเล่าถึงความรู้สึกที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมในคดีมาตรา 112 ครั้งแรก

ส่วนคดีที่สอง เป็นคดีของประเวศ เพื่อนทนายความของกฤษฎางค์เอง คดีของประเวศเกิดขึ้นจากโพสต์บน Facebook หลายโพสต์ คดีนี้นอกจากมาตรา 112 แล้วยังมีข้อหายุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 เข้ามาด้วย อัยการฟ้องเป็นความผิดหลายกรรมตามจำนวนโพสต์

อย่างไรก็ตาม ประเวศต้องประท้วงการพิจารณาคดีของศาลเพราะศาลสั่งพิจารณาคดีลับ เขาเลือกที่จะประกาศว่าจะขอไม่ร่วมกระบวนการพิจารณาคดีนี้และขอถอนกฤษฎางค์ออกจากการเป็นทนายความในคดี และเมื่อการพิจารณาคดีเริ่มขึ้น ประเวศก็ประท้วงด้วยการนั่งหันหลังให้ศาล หรือเคาะโซ่ตรวนที่ล่ามเขาไว้ ประเวศบอกเหตุผลในการประท้วงว่าหากเขาเลือกที่จะสู้คดีก็จะเป็นการยอมรับกระบวนการพิจารณาคดีลับเช่นนี้

“แก(ประเวศ) ก็โดนพิจารณาคดีลับ แกก็ประท้วงโดยปรึกษากับผมว่าจะไม่เข้าร่วมกระบวนการตัดสิน แกใช้คำว่าก็เหมือนปิดประตูตีแมว เขาบอกว่าพี่การพิจารณาคดีอาญาจะต้องพิจารณาต่อหน้าจำเลยและโดยเปิดเผย การพิจารณาโดยเปิดเผยเป็นหลักประกันว่าเขาจะได้รับความยุติธรรมเพราะผู้คนก็เข้ามาดูการพิจารณาคดีได้”

กฤษฎางค์อธิบายถึงความสำคัญของหลักการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยว่า เป็นเหมือนหลักประกันว่าศาล อัยการ ทนายความ จำเลย หรือพยานในคดี จะมายืนอยู่ในแสงไฟที่ทำให้สังคมมองเห็นว่ากระบวนการพิจารณาคดีนี้ยุติธรรมและถ้ากระบวนการทั้งหมดมีความยุติธรรมจริง ผู้คนก็จะเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม กฤษฎางค์เล่าถึงกรณีของประเวศต่อว่า แม้ประเวศเลือกไม่ร่วมกระบวนการเช่นนี้ แต่สุดท้ายศาลพิพากษายกฟ้องข้อหาตามมาตรา 112 ทั้งหมด แล้วลงโทษจำคุกด้วยมาตรา 116 ราว 15 เดือน แต่ตอนนั้นติดไปแล้ว 8 เดือนระหว่างสู้คดีจึงติดอีกประมาณ 8 เดือนถึงได้พ้นโทษออกมา

ทนายความเล่าถึงความแปลกประหลาดในคำพิพากษาในคดีของประเวศว่า ศาลพิจารณาส่วนข้อหามาตรา 112 ว่าโจทก์ฟ้องประเวศทำความผิดตามมาตรา 112 และมาตรา 116 แต่ศาลเห็นว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอให้ลงโทษประเวศตามมาตรา 112 ให้ยกฟ้องข้อหานี้ แล้วศาลไปลงโทษประเวศตามมาตรา 116 เพราะเห็นว่าประเวศโพสต์ข้อความที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญทำให้ประชาชนไม่เลื่อมใส ก่อความวุ่นวาย

ทั้งนี้คดีของประเวศเป็นหนึ่งในคดีที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2560 แต่ 3 ปีต่อมา เมื่อ 15 มิ.ย.2563 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยให้สัมภาษณ์ว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงมีพระเมตตาให้ที่จะไม่บังคับใช้มาตรา 112 และในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านั้นก็ไม่มีผู้ที่ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 เลย จึงอาจกล่าวได้ว่าคดีของประเวศอาจเป็น 1 ในคดีที่ได้รับพระเมตตาครั้งนั้น ก่อนที่ปลายปี 2563 พล.อ.ประยุทธ์กลับมาประกาศว่าจะใช้กฎหมายทุกมาตราในการจัดการกับการชุมนุมประท้วงของกลุ่มเยาวชนและเพิ่งครบรอบ 5 ปีไปเมื่อ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา
ความแปลกประหลาดในคดีมาตรา 112

กฤษฎางค์ เล่าว่า คดีมาตรา 112 ที่เขาเจอมีความพิเศษและความกดดันสูงกว่าคดีอาญาทั่วไป บางกรณีศาลจะไม่ให้การประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยเพราะเกรงว่าจะหลบหนี หรือตอนให้ประกันตัวก็ตั้งเงื่อนไขว่าห้ามกระทำแบบเดียวกันอีกเป็นการแสดงให้เห็นว่าศาลคิดเองแล้วว่าจำเลยหรือผู้ต้องหาที่คดีไม่สิ้นสุดเหล่านี้ทำผิดไปแล้ว เพราะการกำหนดเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวจะต้องไม่ไปละลาบละล้วงสิทธิของประชาชน เช่น การห้ามไปชุมนุมซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ เหมือนสันนิษฐานไว้ก่อนว่าพวกเขาเหล่านี้มีความผิด

นอกจากนั้น ทนายความยังเล่าถึงกรณีที่ฝ่ายจำเลยเรียกพยานหลักฐานเข้ามาในคดีเพื่อยืนยันสิ่งที่จำเลยเคยพูดเอาไว้ว่าจริงเท็จอย่างไร แต่ศาลก็ไม่ออกหมายเรียกให้โดยอ้างว่าไม่เกี่ยวกับคดี โดยยกตัวอย่างกรณีของอานนท์ นำภาที่เคยปราศรัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไว้จนเป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดี แต่เมื่ออานนท์อ้างพยานหลักฐานต่างๆ ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องเท็จศาลก็บอกว่าไม่เกี่ยวกับประเด็น จนกระทั่งทุกวันนี้ศาลก็ยังไม่ออกหมายเรียกหลักฐานมาให้

“มันไม่เกี่ยวยังไงอะท่าน อัยการฟ้องว่าอานนท์พูดถึงเรื่องรัฐบาลประยุทธ์ออกพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์อย่างสิ้นเชิงและแตกต่างไปจากสมัยก่อน 2475 แต่เขาก็ไม่ออกคำสั่งเรียกพยานผู้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวกับการโอนทรัพย์สินต่างๆ”

นอกจากเรื่องสำนักงานทรัพย์สินฯ ยังมีคดีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ อีกเช่น คดีที่เป็นการวิจารณ์การจัดการวัคซีน หรือประเด็นเรื่องหุ้นในธนาคารไทยพาณิชย์ที่มีประเด็นเกี่ยวพันกับสำนักงานทรัพย์สินฯ ไปจนการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ก่อนประกาศใช้ทั้งที่ผ่านการทำประชามติเมื่อปี 2559 มาแล้ว แต่พอขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานอย่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาที่เคยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้หรือขอเอกสารที่เกี่ยวข้อง ศาลก็ไม่ออกหมายเรียกพยานหลักฐานให้

“พวกนี้เขาพยายามต่อสู้ว่าสิ่งที่เขาพูด เขาพยายามจะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้สง่างาม ซึ่งพวกเขาเชื่อว่ามีกลุ่มบุคคลเข้าไปหาประโยชน์ ซึ่งพระองค์ไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อศาลปฏิเสธเสียแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเสียหาย”

กฤษฎางค์เน้นว่า การขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานหลักฐานให้เพื่อใช้ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองเป็นหลักการที่นักกฎหมายต้องยึดถือ เพราะหากคดีทั่วๆ ไปอย่างการลักวิ่งชิ่งปล้นมีวิธีการพิจารณาคดีอย่างหนึ่งแต่กับคดีมาตรา 112 มีวิธีพิจารณาอีกแบบหนึ่ง คนก็จะไม่ศรัทธารต่อศาลและระบบยุติธรรม เมื่อคนไม่ศรัทธาแล้วก็จะไม่เห็นประโยชน์ที่จะมีศาลอีก

กฤษฎางค์ ยังยกตัวอย่างถึงเรื่องที่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีมักขอไปพบผู้บริหารศาลก่อนมีคำสั่งในคดี เช่น เมื่อจำเลยมีเหตุผลต้องขอเลื่อนนัดการพิจารณาคดี ซึ่งเขาเห็นว่ามีเส้นแบ่งอยู่ว่าตกลงแล้วผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนแค่ไปขอปรึกษาหรือไปถามผู้บริหารจะให้หรือไม่กันแน่ แม้ว่าเรื่องนี้ธรรมนูญศาลยุติธรรมจะให้สิทธิผู้พิพากษาไว้ในการขอคำปรึกษาได้ แต่ผู้พิพากษาก็เป็นผู้ที่เห็นสำนวนรู้เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่แล้วเหตุใดจึงต้องปรึกษาอีก แล้วรัฐธมรรมนูญมาตรา 188 ก็ระบุสถานะความเป็นอิสระของผู้พิพากษาเอาไว้ด้วยจึงไม่มีเหตุให้ต้องถามใคร และที่ผ่านมาก็เคยมีผู้พิพากษาที่ฆ่าตัวตายมาแล้วอย่างคณากร เพียรชนะ ที่จะตัดสินพิพากษายกฟ้องด้วยเหตุหลักฐานไม่เพียงพอแต่ผู้บริหารศาลเห็นไม่ตรงกัน

“ผมเข้าใจผู้พิพากษา อัยการว่าความกดดันในคดีโดยเฉพาะคดีการเมือง ไม่ว่าจะเป็นคดีในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือคดีมาตรา 112 มันมีแรงกดดันเยอะเพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องประหลาด”

ทนายความยกตัวอย่างว่า คดีอาญาอื่นๆ ที่เขาเคยทำที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองอย่างคดีฆ่าคนตายที่ศาลจังหวัดสีคิ้ว หรือคดีชาวประมงถูกกล่าวหาว่ายิงเรือในทะเลประมง คดีแบบนี้ขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานหลักฐานศาลก็ยังออกให้ พอคดีอาญาที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองแบบนี้พอไปถึงศาลอุทธรณ์หรือฎีกาศาลปล่อยตัวไปก็มีมากว่ากันไปตามรูปคดีตามพยานหลักฐาน ถ้าแบบนี้คนก็จะศรัทธาแม้ว่าสุดท้ายแล้วศาลอาจจะตัดสินลงโทษจำคุกก็ตาม แต่ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้เจอศาลสั่งลักษณะนี้ในคดีอื่นๆ นอกจากคดีการเมือง

กฤษฎางค์เสริมว่าไม่เพียงแค่คดี มาตรา 112 แต่เขาเจอปัญหาลักษณะเดียวกันนี้ในคดีการเมืองอื่นๆ นับตั้งแต่การรัฐประหาร 2557 ช่วงแรก เช่น คดีเดินขบวนประท้วง หรือคดีที่ใช้ข้อหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ศาลก็เคยมีการสั่งไม่ให้ประกันตัวอยู่เหมือนกัน ซึ่งเมื่อเรื่องใดเป็นคดีการเมืองแล้วก็ทำให้กระบวนการยุติธรรมไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นในคดีอาญา

นอกจากปัญหาในกระบวนการพิจารณาแล้ว ทนายความยังเล่าถึงปัญหาในคำพิพากษาของคดีมาตรา 112 บางคดีด้วย เช่น เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ให้การดูหมิ่นในหลวงรัชกาลที่ 4 เป็นการดูหมิ่นกษัตริย์องค์ปัจจุบันด้วย

“ถ้าออกข้อสอบเนติฯ แล้วเด็กจะตกกันหมดเลยเพราะทุกคนไม่คิดว่าคำพิพากษาศาลฎีกาจะเขียนแบบนั้น”

กฤษฎางค์อธิบายว่า เพราะมาตรา 112 เขียนใครดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาท ผู้สำเร็จแทนราชการ ถ้าใครไปว่า ร.1 จะเอากฎหมายมาตรานี้มาใช้ไม่ได้เพราะกฎหมายอาญาไม่ว่ามาตรา 112 จะเป็นกฎหมายพิเศษหรืออยู่ในหมวดความมั่นคงก็ตาม แต่ความรับผิดทางอาญาต้องตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัดและจะมีความผิดต้องมีเจตนา หากไม่มีเจตนาไม่ผิด หรือทำไปโดยสุจริตก็ไม่มีความผิด และที่กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัดเพราะเป็นกฎหมายอาญามีบทลงโทษการที่คนจะถูกลงโทษจากกฎหมายที่รัฐเขียนขึ้นมาต้องตีความโดยชัดเจน และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญายังเขียนด้วยว่า การทำคำพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีอาญาต้องรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย ถ้ายังมีข้อสงสัยก็ลงโทษไม่ได้

“ถ้าตัดสินได้ขนาดดูหมิ่น ร.4 แล้วมาเกี่ยวกับรัชกาลปัจจุบันแล้วลงโทษ 112 ความศรัทธาของผู้คนต่อผู้พิพากษาจะหมดไป แต่ศรัทธาที่มีก็ยังไม่สำคัญเพราะเดี๋ยว 70 ก็เกษียรแล้ว แต่คนจะไม่ศรัทธาต่อระบบกฎหมาย เพราะถ้าถามว่าดูหมิ่นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน คนด่าอาจารย์ปรีดี(พนมยงค์) เยอะแยะอย่างนี้โดนด้วยมั้ยเพราะอาจารย์ปรีดีเคยเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเหมือนกัน”
มาตรา 112 แก้ได้ นิรโทษฯ ได้

“เมื่อกฎหมายเป็นแค่เครื่องมือไปหาความยุติธรรม เมื่อไหร่กฎหมายไม่ยุติธรรมเสียแล้ว เราก็ต้องเอาความยุติธรรมมาทำลายกฎหมายนี้” กฤษฎางค์กล่าว

กฤษฎางค์มองว่าการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 เป็นเรื่องที่ทำได้อยู่แล้ว และเป็นช่องทางทางกฎหมายที่ใช้ลดความขัดแย้งกัน อีกทั้งในกฎหมายอาญาก็มีการอภัยโทษหรือขอพระราชทานอภัยโทษอยู่แล้วก็มีการออกฎหมายนิรโทษกรรมที่เป็นกฎหมายพิเศษและในอดีตตอนสมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ก็เคยออกกฎหมายนิรโทษกรรมมาก่อนแล้ว เช่น กรณีละครแขวนคอตอน 6 ตุลาฯ คนที่ถูกดำเนินคดีในเวลานั้นไม่ได้มีแค่ข้อหาตามมาตรา 112 แต่ยังโดนข้อหาฆ่าเจ้าพนักงาน มีอาวุธ เผา บุกรุก แล้วก็ยังมีข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ด้วยที่มีโทษประหาร ก็ยังสามารถนิรโทษกรรมได้

“การนิรโทษกรรมคือการไม่เอาเรื่องเอาราวกัน ไม่ได้เหมือนที่ทุกคนตาลุกกันว่าพอจะนิรโทษกรรม 112 แล้วบอกเด็กว่าอย่าให้ทำอีกนะ มันคนละเรื่องกัน ทำไมเวลานิรโทษกรรมคณะรัฐประหารไม่เขียนว่าห้ามทำรัฐประหารอีกนะ ผมก็แปลกใจ นิรโทษกรรมทำได้แน่นอน”

ทนายความบอกว่าที่ผ่านมาไทยก็เคยมีนิรโทษกรรมมาหลายครั้งแล้วทั้งตอนกรุงรัตนโกสินทร์ ครบ 200 ปี เคยนิรโทษกรรมผู้พกพาอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ ดังนั้นการนิรโทษกรรมโดยการออกเป็นกฎหมายประเทศไทยก็ทำมาหลายครั้งแล้วแม้กระทั่งการรัฐประหารทุกครั้ง

“ผู้เชี่ยวชาญนิรโทษกรรมคงไปถามกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ ผมว่าผู้เชี่ยวชาญจริงๆ เรื่องนิรโทษกรรมคือทหาร เพราะเชี่ยวชาญการร่างกฎหมายนิรโทษกรรม เราควรไปปรึกษากองทัพว่าเขียนกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเองยังไง ทำไมถึงผ่าน”

กฤษฎางค์ย้ำว่าการรัฐประหารเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ที่มีโทษประหาร เพราะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติเป็นหมื่นล้านบาทเวลาเศรษฐกิจตกต่ำ ก็ยังนิรโทษกรรมได้

ทนายความเห็นว่า ดังนั้นการนิรโทษกรรมมาตรา 112 ก็ย่อมทำได้แน่นอนและทำแล้วก็ไม่มีความเสียหายอะไร อีกทั้งยังมีข้อดีที่ทำให้เห็นพระเมตตาและรัฐบาลที่ไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนเหล่านี้ แล้วก็เอาคนอย่างอานนท์ที่เป็นทนายความหรือ เก๊ต โสภณ ที่ก็เป็นนักศึกษาแพทย์กลับมาสู่สังคมทำประโยชน์

หมายเหตุ - อานุภาพ เส้นเศษ นักศึกษาฝึกงานจาก คณะศิลปศาสตร์ สาขานิเทศศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

https://prachatai.com/journal/2025/11/115663
https://www.youtube.com/watch?v=9UqBm4VazGI