วันเสาร์, พฤศจิกายน 22, 2568

จำคุก 3 นักกิจกรรม “ธัชพงศ์-ณวรรษ-ฉัตรรพี” คนละ 2 ปี คดี ม.112 ของธัชพงศ์ ณวรรษและฉัตรรพี อ่านแถลงการณ์หน้าสถานทูตเยอรมนี ในม็อบ#ต่แต้านสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อปี 2564


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
11 hours ago
·
จำคุก 3 นักกิจกรรม “ธัชพงศ์-ณวรรษ-ฉัตรรพี” คนละ 2 ปี คดี ม.112 เหตุอ่านแถลงการณ์หน้าสถานทูตเยอรมนี ปี 2564 ให้รอลงอาญาเฉพาะจำเลยที่ 3
.
.
วันที่ 21 พ.ย. 2568 เวลา 09.30 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาคดีของ ธัชพงศ์ แกดำ หรือ “บอย”, ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา หรือ “แอมป์” และ ฉัตรรพี อาจสมบูรณ์ ที่ถูกฟ้องในข้อกล่าวหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ “ยุยงปลุกปั่นฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 จากเหตุการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนี เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2564
.
ศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้ง 3 มีความผิดตามมาตรา 112 โดยเห็นว่าเนื้อหาแถลงการณ์ที่กล่าวถึงประเทศว่าเข้าสู่การปกครองระบอบสมบูรณญาสิทธิราชย์ไม่เป็นความจริง แฝงการตำหนิติเตียนพระมหากษัตริย์ไว้ ลงโทษจำคุกคนละ 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุกคนละ 2 ปี และเฉพาะจำเลยที่ 3 (ฉัตรรพี) ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ส่วนความผิดตามมาตรา 116 พิพากษายกฟ้อง ก่อนศาลส่งคำร้องขอประกันตัวชั้นอุทธรณ์กรณีธัชพงศ์ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ทำให้ต้องเข้าเรือนจำ
.
คดีนี้มี อานนท์ กลิ่นแก้ว แกนนำกลุ่มศูนย์รวมปกป้องสถาบัน (ศปปส.) เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีนักกิจกรรมทั้งสามราย ที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ หลังเหตุการณ์ผ่านไปกว่า 2 ปี เศษ พ.ต.ท.ปรีชา วรรณหงษ์ พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกทั้ง 3 คน ให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา และทั้งสามเข้าพบพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2567 ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนคดีให้กับอัยการไปเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2567 และพนักงานอัยการใช้เวลา 5 เดือนเศษ จึงมีคำสั่งฟ้องคดีในที่สุด
.
คดีนี้มีการสืบพยานในช่วงวันที่ 13-15, 19 ส.ค. 2568 และ 18-19 ก.ย. 2568 ใจความสำคัญของการสืบพยานในคดีนี้ อยู่ที่การพิจารณาเนื้อความของแถลงการณ์และหนังสือที่ยื่นให้สถานทูตเยอรมนีว่า เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ รวมถึงการต่อสู้ของทั้งโจทก์และจำเลยในการจะนิยามความหมายของคำว่า “กษัตริย์นิยม” “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” และ “กึ่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ด้วย
.
พยานโจทก์บางปากเห็นว่าเนื้อหาแถลงการณ์ทำให้เข้าใจว่ารัชกาลที่ 10 พยายามขยายพระราชอำนาจของตนเอง ทำให้กลับไปสู่ระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์ แต่ก็มีพยานความคิดเห็นที่ตำรวจเชิญมาให้ปากคำหลายปาก ที่เห็นว่าไม่เข้าข่ายมาตรา 112 แต่ไม่ได้มีการนำมาเบิกความที่ศาล
.
ขณะที่ฝ่ายจำเลยยืนยันว่าเนื้อหาในแถลงการณ์กล่าวถึงกลุ่มกษัตริย์นิยม ซึ่งมีความหมายกว้าง รวมทั้งกลไกต่าง ๆ อย่างศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ที่นิยามตีความระบอบการปกครองผ่านคำวินิจฉัย และพยายามขยายอำนาจของกษัตริย์ ไม่ใช่กล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าการชุมนุมดังกล่าวยังไม่ได้เป็นการยุยงปลุกปั่นฯ ให้เกิดความกระด้างกระเดื่อง หรือไม่สงบเรียบร้อยในหมู่ประชาชนแต่อย่างใด
.
ศาลพิพากษาจำคุกคนละ 2 ปี เห็นว่าแถลงการณ์ดังกล่าวมีเนื้อหาตำหนิติเตียนดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ผิด ม.112 ส่วน ม.116 ยกฟ้อง ไม่ปรากฏว่ามีการใช้ความรุนแรง-พูดยุยุงปลุกปั่นผู้ชุมนุม
.
ที่ห้องพิจารณา 602 ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีประชาชนมาร่วมฟังการพิจารณาคดีมากกว่า 20 คน จำเลยทั้งสามมาศาล โดยณวรรษ ซึ่งในวันนี้ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมกุญแจเท้า เพื่อฟังคำพิพากษา นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งไทยและต่างประเทศ รวมไปถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มารับร่วมฟังคำพิพากษาในคดีนี้ด้วย
.
เวลา 10.13 น. ศาลออกนั่งพิจารณาคดีและเริ่มอ่านคำพิพากษา มีใจความสำคัญโดยสรุปดังนี้
.
จากการนำสืบของพยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 ปาก ทุกปากเบิกความไปในทำนองเดียวกันว่าในวันที่ 14 พ.ย. 2564 ที่หน้าสถานทูตเยอรมนี พบเห็นจำเลยที่ 1 (ธัชพงศ์) ขึ้นกล่าวเปิดการชุมนุม จากนั้น จำเลยที่ 2 (ณวรรษ) เป็นผู้ขึ้นอ่านแถลงการณ์ จำเลยที่ 3 (ฉัตรรพี) พร้อมพวกอีก 2 คน เป็นผู้เข้าไปยื่นหนังสือภายในสถานทูตเยอรมนี จากนั้นจำเลยที่ 3 จึงเป็นผู้ออกมากล่าวรายงานต่อผู้ชุมนุม จากนั้น จำเลยที่ 1 จึงกล่าวปิดการชุมนุมและให้ผู้ชุมนุมเดินทางกลับบ้าน
.
โจทก์มีประจักษ์พยานมาพิสูจน์ และจำเลยทั้งสามไม่ได้พิสูจน์จนสิ้นสงสัย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีความน่าเชื่อถือว่าจำเลยทั้งสามกระทำตามคำฟ้องจริง
.
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อมา คือการกระทำดังกล่าวมีความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ เมื่อพิจารณาแถลงการณ์ฉบับดังกล่าว ประกอบกับความเห็นของพยานโจทก์ ได้แก่ ไชยันต์ ไชยพร, อานนท์ กลิ่นแก้ว และ พล.ร.ต.ทองย้อย แสงสินชัย เห็นว่าแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวมีเนื้อหาว่าประเทศไทยอยู่ในระบอบกึ่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งขัดแย้งกับมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า "ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
.
การกล่าวว่าประเทศไทยไม่ได้อยู่ในระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นการกล่าวที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ส่วนการกล่าวว่าประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ระบอบการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีหลักฐานสนับสนุน และถ้อยคำในแถลงการณ์ที่กล่าวว่าอำนาจอธิปไตยไม่ได้อยูในมือมวลชนชาวไทยอีกต่อไป ก็ไม่เป็นความจริง เพราะในประเทศไทย พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านรัฐสภา เนื้อหาของแถลงการณ์ดังกล่าวจึงแฝงการตำหนิติเตียนพระมหากษัตริย์ไว้
.
ข้ออ้างของจำเลยทั้งสามที่ว่าแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวไม่ได้มีเนื้อหาระบุถึงกษัตริย์ แต่กล่าวถึงกลุ่มกษัตริย์นิยมและศาลรัฐธรรมนูญที่แอบอ้างใช้อำนาจของกษัตริย์ จึงฟังไม่ขึ้น
.
ในเนื้อหาแถลงการณ์ ในท่อนที่ว่า “นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อไล่ประยุทธ์ นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิก 112 นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปฯ นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้าง แต่คือการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ข้อความในท่อนนี้สื่อให้เห็นว่าแถลงการณ์ดังกล่าวมีการระบุอย่างเฉพาะเจาะจงว่าไม่ได้หมายถึงบุคคลอื่นใด นอกเสียจากพระมหากษัตริย์
.
ที่จำเลยเบิกความว่า ทราบข่าวการชุมนุมมาจากเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามย่อมทราบข้อเท็จจริง และเคยเห็นแถลงการณ์จากการติดตามกลุ่มแนวร่วมฯ มาตั้งแต่ต้น ข้ออ้างที่ว่าไม่เคยเห็นหรือรู้เนื้อหาแถลงการณ์มาก่อน จึงฟังไม่ขึ้น
.
นอกจากนี้ การแจกแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวซึ่งมีเนื้อหาไม่เป็นความจริงให้แก่ผู้ชุมนุม ก็ถือเป็นการหมิ่นประมาทต่อบุคคลที่สาม ซึ่งเข้าองค์ประกอบความผิดของการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ตามมาตรา 112
.
จำเลยที่ 3 ที่กล่าวว่าตนอาสาเข้าไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สถานทูตเพราะตนสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้นั้น แต่หากไม่ทราบข้อความในแถลงการณ์มาก่อน ก็ย่อมไม่สามารถสื่อสารให้เจ้าหน้าที่สถานทูตเยอรมนีเข้าใจถึงจุดประสงค์ของการชุมนุมได้
.
ในส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 การนำสืบของโจทก์ล้วนไปในทำนองเดียวกันว่าผู้ชุมนุมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี เมื่อชุมนุมเสร็จก็แยกย้าย โดยไม่มีการกระทำความรุนแรง หรือข่มขู่ ประทุษร้าย ทำลายทรัพย์สินแต่อย่างใด และประโยคปิดท้ายของจำเลยที่ 1 ที่กล่าวว่า “แล้วพบกันใหม่” ก็ไม่ได้มีการนัดหมายการชุมนุมหรือมีข้อความยุยงปลุกปั่นใด ๆ เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีความแน่ชัด จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย
.
พิพากษาว่าจำเลยทั้ง 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหว การกระทำในวันดังกล่าวก็เป็นเพียงการอาสาเข้าร่วม และทั้งยังไม่มีส่วนร่วมในการเขียนแถลงการณ์ฉบับดังกล่าว จำเลยทั้งสามจึงเป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งกระทำไปโดยไม่คาดถึงผลเท่านั้น ลงโทษจำคุกคนละ 3 ปี
.
ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุกคนละ 2 ปี
.
เนื่องจากจำเลยที่ 3 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอลงอาญา 2 ปี ให้คุมประพฤติ 1 ปี โดยต้องละเว้นการคบหาสมาคมและประพฤติตัวใด ๆ ที่อาจนำไปสู่การกระทำผิดในลักษณะเดิม และต้องเข้าพบคลีนิกจิตสังคมของศาลทั้งหมด 4 ครั้ง
.
ส่วนจำเลยที่ 1 และ 2 เนื่องจากเคยมีคำพิพากษาต้องโทษจำคุกมาก่อน ศาลแจ้งว่าจึงไม่อาจรอการลงโทษไว้ได้
.
ศาลยังสั่งให้นับโทษจำคุกต่อเฉพาะของจำเลยที่ 1 (ธัชพงศ์) จากคดีร่วมชุมนุมของกลุ่ม REDEM ที่ด้านหน้าของศาลอาญา เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2564 หรือ #ม็อบ2พฤษภา ซึ่งศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี 12 เดือน แต่ทั้งนี้คดีนี้ยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ แต่เมื่อรวมโทษจำคุกในคดีนี้เข้าไปด้วย ธัชพงศ์จะต้องโทษจำคุก 3 ปี 12 เดือน
.
ส่วนณวรรษ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกคุมขังในคดีมาตรา 112 จากคดีปราศรัยในการชุมนุม #นับ1ถึงล้านคืนอำนาจให้ประชาชน บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2564 ซึ่งถูกศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุก 1 ปี 7 เดือน และคดีสิ้นสุดแล้ว รวมทั้งยังถูกลงโทษจำคุก 1 เดือน ในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง กรณีชุมนุมหน้าห้างสรรพสินค้าสามย่านมิตรทาวน์ หรือ #ม็อบ17ตุลา63 รวมโทษจำคุกในสามคดีของแอมป์ เป็น 3 ปี 8 เดือน โดยที่ศาลไม่ได้สั่งให้นับโทษต่อกัน
.
หลังจากฟังคำพิพากษาเสร็จสิ้น ธัชพงศ์ได้ถูกควบคุมตัวไปใต้ถุนศาล ทนายความได้ยื่นเรื่องประกันตัวโดยวางหลักทรัพย์เป็นเงินสด 300,000 บาท
.
ล่าสุด เวลา 15.00 น. ศาลชั้นต้นมีคำสั่งส่งคำร้องไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาการประกันตัว ทำให้ธัชพงศ์จะถูกควบคุมไปยังเรือนจำระหว่างรอการพิจารณาของศาลอุทธรณ์

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1249842726986195&set=a.656922399611567