
ข้อมูลจากกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา ณ วันที่ 25 พ.ย. 2568 ระบุมีประชาชนในเขต อ.หาดใหญ่ เข้าไปอยู่ในศูนย์พักพิง 6 แห่ง รวม 8,750 คน ขณะที่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัย ในพื้นที่ 5 อำเภอของ จ.สงขลา รวม 5 ราย (ภาพ: เจ้าหน้าที่กู้ภัยลำเลียงร่างผู้ประสบภัยออกจากบ้านที่ถูกน้ำท่วมใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อ 24 พ.ย.)
เหตุใดรัฐบาลอนุทินถูกมองล่าช้า-ไม่เป็นเอกภาพ แก้น้ำท่วมหาดใหญ่
นงนภัส พัฒน์แช่ม และธันยพร บัวทอง
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 6 ชั่วโมงที่แล้ว
มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่ดำเนินมาเป็นวันที่ห้า ด้วยจำนวนผู้ประสบภัยกว่า 2.4 แสนคน และยังมีคนที่ยังรอคอยความช่วยเหลืออีก 7.7 หมื่นคน ตามการรายงานของ ศป.กฉ. เป็นสถานการณ์วิกฤตท่ามกลางข้อสังเกตว่ารัฐบาลดำเนินการล้มเหลวและขาดความเป็นเอกภาพหรือไม่
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในท้องที่ จ.สงขลา วานนี้ (25 พ.ย.) โดยมอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคงเป็นฝ่ายนำและบูรณาการทุกส่วนราชการ ตามมาด้วยการตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) เพื่อสื่อสารข้อมูลต่าง ๆ ต่อประชาชนและรับเรื่องร้องเรียน
นอกจากนี้ยังมีโครงสร้างของ ศป.กฉ.ส่วนหน้า ที่ดำเนินการโดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) โดยนับเป็นกลไกล่าสุดที่รัฐบาลนำมาเป็นเครื่องมือในการบรรเทาวิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ พร้อมกับการประกาศยกระดับการจัดการสาธารณภัยเป็นระดับร้ายแรงอย่างยิ่ง (ระดับ 4) โดยให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์
แต่หากดูก่อนหน้านี้ มีภาพของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และ รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ลงไปสั่งการในพื้นที่ ก่อนนายกฯ แต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.)
คำถามที่ว่าแล้วใครจะเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในพื้นที่จึงถูกถามไปยังนายอนุทิน ในการแถลงข่าวเมื่อ 25 พ.ย. ซึ่งนายอนุทินตอบว่า ร.อ.ธรรมนัส ในฐานะรองนายกฯ หากไปเจอสถานการณ์หน้างาน ก็สามารถสั่งการได้ทันที ส่วน ผบ.สส. จะเป็นผู้บูรณาการทั้งหมดและจัดความรับผิดชอบไปตามหน่วยงานต่าง ๆ
"ผู้บัญชาการเหตุการณ์ (ผบ.สส.) [ตาม พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน] ก็สั่งการได้โดยตรง รัฐบาลจะให้ดำเนินการเช่นไร ผมก็สั่งการ ผบ.สส." นายอนุทินกล่าว

เจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยอพยพผู้สูงอายุที่ติดค้างในบ้าน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อ 25 พ.ย. ภายหลังจากเกิดน้ำท่วมสูงในพื้นที่
ดร.ศิรินันต์ สุวรรณโมลี นักวิชาการและนักวิจัยอิสระด้านการจัดการภัยพิบัติ กล่าวกับบีบีซีไทยว่า การจัดตั้งกลไก/ศูนย์ต่าง ๆ ที่มีผู้บัญชาการหลายหัว/หลายส่วนทับซ้อนกันเช่นนี้ "สะท้อนถึงการแบ่งอำนาจและให้พื้นที่ทางการเมือง" แก่กลุ่มก้อนต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงฝ่ายกลาโหม/กองทัพด้วย แต่โครงสร้างตามกฎหมายที่ใช้จัดการกับภัยพิบัติที่มีอยู่กลับไม่ถูกใช้
"มันสะท้อนการกระจายการแบ่งเค้กให้แต่ละผู้เล่นตัวแสดง ไม่ใช่การกระจายอำนาจ เหมือนอินฟลูเอ็นเซอร์หลาย ๆ เจ้าที่แห่กันไปลงพื้นที่" ดร.ศิรินันต์ กล่าว
เธอบอกว่า นี่เป็นภาพที่เกิดขึ้นซ้ำทุกปีในการจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลนับตั้งแต่อดีตที่มีการตั้งและการบัญชาการที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น น้ำท่วมในปี 2554 ที่มีศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ดอนเมือง ที่อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธาน แต่ก็มี ศปภ. ศูนย์บัญชาการของที่มหาดไทยอีกที่หนึ่ง
ระดมความช่วยเหลือได้มากขึ้น แต่เกิดสภาพการณ์หลายผู้นำ

เจ้าหน้าที่อาสาช่วยอพยพผู้สูงอายุที่ติดค้างในบ้าน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อ 25 พ.ย. ภายหลังถูกน้ำท่วมสูง
แม้การใช้อำนาจตามกฎหมายหลายฉบับมีแง่ดี คือทำให้สามารถระดมกำลังในการช่วยเหลือได้มากขึ้น แต่ ดร.ศิรินันต์ ชี้ว่าความซ้ำซ้อนอาจเป็นปัญหาที่ตามมา ซึ่งส่งผลต่อระดับปฏิบัติหน้างานด้วยอีกต่อหนึ่ง
"ตอนนี้ถ้ามี 5 ศูนย์ ก็มี 5 หัว เหมือนมังกรห้าหัว ฝ่ายปฏิบัติ 5 หัวนี้ ต้องบอกภารกิจตัวเองที่ชัด ๆ ไปเลย ไม่ใช่ทำเหมือนกัน เช่น หัวนี้จะแบ่งโซนหรือจะเลือกเป็นภารกิจอะไร หัวของ ร.อ.ธรรมนัส จะทำเรื่องอะไร ถ้าจะพาผู้ประสบภัยไปฟอกไต จะไปดูเรื่องสาธารณสุขก็ไปให้สุด จะไปดูเรื่องเอาออกซิเจนเข้าโรงพยาบาลก็ไปให้สุด แบ่งงานเป็นเชิงรายประเด็น" ดร.ศิรินันต์ กล่าว
"แต่ประเด็นก็คือ ตอนนี้นักการเมืองแต่ละคนทำตัวเหมือนเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ ทำตัวไม่ต่างกัน คือทำทุกอย่าง แบ่งงานกับแบ่งโซนไม่ได้ และศูนย์ทุกศูนย์ ทำทุกอย่างเหมือนกัน แก้ปัญหาไปทั่ว แล้วทรัพยากรก็ไม่พอสักอย่าง" เธอกล่าว
หากเจาะไปดูที่กลไกแต่ละกลไกที่รัฐบาลใช้ในตอนนี้ สำหรับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ถูกนำมาใช้ล่าสุด ซึ่งนายกฯ ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 นักวิชาการอิสระด้านการจัดการภัยพิบัติ อธิบายว่ามีจุดสำคัญตรงที่การใช้งบประมาณโดยไม่ต้องตรวจสอบ เช่นเดียวกับการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในจังหวัดชายแดนใต้ การบริหารงบประมาณไม่ต้องเข้ากลไกการจัดซื้อและการจัดทำงบฟื้นฟูเยียวยาก็จะทำได้เร็ว

เจ้าหน้าที่กู้ภัยส่งเสบียงอาหารให้กับผู้ประสบภัยที่ติดค้างในบ้านซึ่งถูกน้ำท่วมใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา (เมื่อ 24 พ.ย.)
ส่วนการยกระดับสาธารณภัยเป็นภัยระดับร้ายแรง (ระดับ 4) ซึ่งเป็นกลไกของมหาดไทย และ ปภ. เป็นการเปิดทางให้สามารถระดมสรรพกำลัง โดยใช้งบประมาณ ทรัพยากร กำลังคนจากแต่ละกรม/กระทรวง ที่ดึงมาจากหน่วยงานอื่น แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรก ดร.ศิรินันต์ มองว่าส่วนบัญชาการระดับจังหวัด อาจอ่อนประสบการณ์ในการเผชิญเหตุด้านการแก้ปัญหาภาคสนาม
"ปัญหาคือหน่วยบัญชาการในพื้นที่จะสามารถจับคู่อย่างไร รู้ว่าสถานการณ์นี้ต้องโยกทรัพยากรตรงไหน หรือขอใครหรือไม่ หรือปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ" ดร.ศิรินันต์ กล่าว พร้อมกับยกตัวอย่างว่า ตามระดับสาธารณภัย ระดับ 4 กำหนดว่าหน่วยงานต่าง ๆ ต้องดำเนินการอะไร ตามโครงสร้างที่แบ่งออกเป็น ส่วนปฏิบัติการฉุกเฉิน (สปฉ.) จำนวน 18 กลุ่ม เช่น สปฉ.1 กระทรวงคมนาคม ทำระบบคมนาคมสำรองแทนในช่วงที่น้ำยังไม่ลด, สปฉ.2 กระทรวงดิจิทัลฯ ที่ดูแลเรื่องปัญหาสัญญาณโทรศัพท์ หรือ สปฉ.7 กระทรวงกลาโหม ที่สามารถร้องขอกำลังพล ยานพาหนะ รถ เรือ เข้าพื้นที่มาช่วยเหลือ แต่พบว่าหน่วยบัญชาการระดับจังหวัด ยังไม่สามารถจัดการใช้ทรัพยากรตามกลไกนี้ได้เท่าที่ควร
"การประกาศยกระดับภัย อาจจะส่งผลดีหรือไม่ดีก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้บัญชาการเหตุการณ์ว่า จะสามารถจัดทรัพยากรลงไปอุดช่องจุดที่เป็นปัญหาได้หรือไม่" ดร.ศิรินันต์ ให้ความเห็น

ราชการขาดเอกภาพ ส่งผลไปถึงการกู้ภัย ช่วยเหลือคน
ดร.ศิรินันต์ ชี้ว่า เมื่อขาดศูนย์กลางที่จะรวมข้อมูลและจัดลำดับภารกิจก็ส่งผลต่อระบบการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ตั้งแต่เรื่องของโครงสร้างพื้นฐานที่ควรจะต้องกู้คืนให้ใช้งานได้ ไปจนถึงการกู้ภัย เธออธิบายว่า ตามลำดับความสำคัญในระบบจัดการภัยพิบัติ อันดับแรกคือไฟฟ้า เพราะหากมีคนติดอยู่ นั่นหมายความว่า ไฟฟ้ายังต้องใช้เพื่อให้โทรศัพท์สามารถทำงานได้
"ไฟฟ้าเป็นต้นทางของทุกสิ่ง ต้องทำให้มีอย่างน้อยจุดย่อยที่ไฟฟ้าใช้ได้ ถึงจะสื่อสารได้"
ต่อมา ดร.ศิรินันต์ กล่าวว่า เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข "คนเจ็บคนป่วยทั้งคนที่เป็นผู้ป่วยใน และคนที่เป็นผู้ป่วยนอก จะต้องเข้ามา ถ้าโรงพยาบาลยังให้บริการได้ ระบบชีวิตจะต้องยังคงอยู่ได้" หลังจากนั้นคืออาหารและน้ำ ที่จะเข้าถึงตัวผู้ประสบภัยที่ติดค้างอยู่ ทว่าปัญหาที่เผชิญอยู่ตอนนี้ คือการไร้ระบบบูรณาการเพื่อที่จะชี้พิกัดว่า มีผู้ประสบภัยอยู่ตรงไหนบ้าง และกลุ่มเปราะบางที่ต้องได้รับการเข้าถึงก่อนอยู่ตรงใด และหน่วย/มูลนิธิกู้ภัยกลุ่มใดจะเข้าไปช่วย แต่เป็นลักษณะต่างคนต่างทำ
"ปัญหาที่เป็นอยู่ก็คือ ใครตะโกนดัง ก็อาจไปถึงการอพยพ แต่คนที่จะตายคือกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่มีเสียง"

สถานการณ์เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (26 พ.ย.) ในพื้นที่ตัวเมือง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ยังคงมีน้ำท่วมสูง
ดร.ศิรินันต์ ชี้ว่า ต้องเริ่มจากการปูพรมสำรวจ ตามหลักการของการกู้ภัยนานาชาติ คือจะตี grid หรือตารางสี่เหลี่ยมหรือเป็นรวงผึ้ง เพื่อปูสำรวจแต่ละบ้าน โดยสามารถใช้การเคาะตามบ้านก็ได้หรือใช้ระบบผู้ใหญ่บ้านก็ได้ และเข้าไปสำรวจว่าบ้านไหนอยู่ บ้านไหนติด บ้านไหนไปแล้ว และทำเช็คลิสต์เอาไว้จะได้ไม่ต้องไปซ้ำซ้อนกับผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือออกไปแล้ว อีกทั้งต้องแสดงสถานะว่าอพยพออกแล้วเท่าใด ยังติดค้างอยู่อีกเท่าใด
"เรียกว่าตีตารางรายโซนไปเลย แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าพออาสาข้างนอกเข้ามา เขาไม่ได้มีคนที่จะตีตารางแบ่งโซนให้ มันก็เลยไปเรื่อยตามเสียงดังที่ถูกส่งรัว ๆ ทุกช่องทางโซเชียลมีเดีย" ดร.ศิรินันต์ กล่าว "คนที่ไม่มีกำลัง ไม่มีเสียง เป็นคนเฒ่าคนแก่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือ เป็นแบบนี้ปัญหาในปัจจุบัน"
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านการจัดการภัยพิบัติ กล่าวด้วยว่า ความไม่เป็นเอกภาพของหน่วยงานต่าง ๆ เชื่อมโยงกับการช่วยเหลือกู้ภัยโดยตรงในแง่มุมนี้ "มันจะมีคนที่ไม่ถูก mapping จะมีคนที่ไม่อยู่ในข้อมูล ไม่ถูกรายงาน ฉะนั้น ไม่ว่าจะทำยังไงจะมีคนเหล่านี้ที่การกู้ภัยเข้าไปไม่ถึง แต่ถ้ามีการกระจายคนอย่างเป็นระบบ จะสามารถตรวจสอบได้ว่าใครตกหล่น ใครยังไม่ได้รับการช่วยออกมา" ดร.ศิรินันต์ ระบุ

นอกจากปัญหาในการเข้าถึงผู้ประสบภัย ดร.ศิรินันต์ เสนอว่า ศูนย์บัญชาการแต่ละศูนย์ เช่น ปภ., ศป.กฉ. ส่วนหน้า ควรแบ่งการทำงานหนึ่งศูนย์ หนึ่งบทบาทหน้าที่ ให้เน้นความเชี่ยวชาญเป็นด้าน ๆ ไป เพื่อที่จะตอบสนองภารกิจแต่ละด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผอ.มูลนิธิกระจกเงา ชี้หน้างานไม่มีเจ้าภาพหลัก- ตั้ง ศป.กฉ. มาถูกทาง แต่ช้ากว่าวิกฤต
นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ผอ.มูลนิธิกระจกเงา มองการสั่งตั้งผู้รับผิดชอบสถานการณ์น้ำท่วม จ.สงขลา แยกหลายส่วน สะท้อน "ความไม่ลงตัว" ในการประเมินสถานการณ์และการจัดการภายในของรัฐ ซึ่งไม่แน่ชัดว่าศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.) ที่นายกฯ ตั้งรองนายกฯ และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้อำนวยการก่อนหน้านี้ มีบทบาทในพื้นที่อย่างไร
"ผมขอตั้งข้อสังเกตว่าตอนแรกที่นายกฯ มอบหมายให้คุณธรรมนัสลงมาดู ในทางปฏิบัติแล้วอาจจะไม่เพียงพอและไม่สามารถทำหน้าที่ได้ในฐานะของผู้บัญชาการเหตุการณ์ เลยต้องตั้งกลไกพิเศษขึ้นมาอีกกลไกหนึ่ง" เขาระบุโดยหมายถึงการตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.)
ผอ.มูลนิธิกระจกเงา ที่อีกหมวกหนึ่งคือนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เปิดเผยว่ามูลนิธิฯ ลงพื้นที่ อ.หาดใหญ่ มาตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. โดยตั้งใจว่าจะเข้าไปช่วยเหลือหลังน้ำลด แต่ปรากฏว่าเมื่อสถานการณ์ไม่คลี่คลาย จึงเปลี่ยนหน้าที่เป็นการช่วยแนะนำระบบ Jitasa.Care ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประสานความช่วยเหลือ
เขาบอกว่าขณะนั้นหรือเมื่อสามวันที่แล้ว ยังไม่มีหน่วยงานที่แสดงตัวเป็นเจ้าภาพหลักในการประสานงานอย่างเป็นทางการ แต่จิตอาสาต่าง ๆ ที่เข้าไปในพื้นที่ ต่างไปรวมกันที่มณฑลทหารบกที่ 42 (มทบ.42) เนื่องจากประเมินว่าเป็นหน่วยงานรัฐในพื้นที่ที่มีทรัพยากรพร้อมที่สุด ณ เวลานั้น
ในวันนี้ (26 พ.ย.) ที่มีการตั้ง ศป.กฉ. ส่วนหน้า นายสมบัติมองว่าเป็นการดำเนินการที่มาถูกทาง แต่นับว่ามาช้าต่อความวิกฤตของสถานการณ์

เจ้าหน้าที่และอาสากู้ภัยเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อ 25 พ.ย. โดยมีประชาชนบางส่วนเดินทางออกจากที่พักซึ่งยังคงจมอยู่ใต้น้ำเพื่อออกมาหาอาหารและรับการช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ
เทียบกับเหตุน้ำท่วมแม่สาย ปี 2567 ขณะอนุทินเป็น มท.1
สมบัติเทียบเคียงเหตุการณ์มหาอุทกภัยหาดใหญ่ในปี 2568 กับกรณีน้ำท่วม อ.แม่สาย จ.เชียงราย ในปี 2567 ซึ่งในขณะนั้นนายอนุทิน เป็น รมว.มหาดไทย ว่านายอนุทิน "สั่งการได้ดีพอสมควร" ในขณะที่เหตุน้ำท่วมหาดใหญ่ปีนี้ เขารู้สึกว่าการสั่งการมีความล่าช้า
"ผมก็อาจจะคาดหวังคุณอนุทินมากกว่าที่เห็นในเวลานี้" นายสมบัติระบุ พร้อมยกตัวอย่างว่าในช่วงหลังเกิดเหตุโคลนถล่มใน อ.แม่สาย ซึ่งการฟื้นฟูนับว่าเป็นโจทย์ยากเพราะโคลนมีน้ำหนัก ต้องใช้กำลังคนมหาศาล ในการฟื้นฟูพื้นที่นายอนุทิน ในฐานะ มท.1 ขณะนั้น ได้สั่งการให้อาสารักษาดินแดน (อส.) หลานพันคน ระดมเข้าไป "สู้รบกับโคลน" และการให้ระดมเครื่องจักรใหญ่จาก ปภ. ทั่วประเทศขึ้นมา เพื่อตอบโต้สถานการณ์
แต่เมื่อเทียบกับน้ำท่วมหาดใหญ่แล้ว จนถึงปัจจุบัน สมบัติยังไม่เห็นว่ามีการระดมกำลังเรือท้องแบนที่มีทั้งหมดในประเทศ หรือแค่ที่มีทั้งหมดในภาคใต้ เข้ามาช่วยเหลือในพื้นที่ ทั้งที่จริงแล้ว ขั้นต่ำที่สุดคือ มท. ควรสั่งระดมทรัพยากรเข้ามาที่ อ.หาดใหญ่ ตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมเข้าวันที่ 3 แล้วน้ำไม่ลด ซึ่งควรประเมินได้แล้วว่าจะเข้าสู่ภาวะวิกฤตในเวลาต่อมา
"ผมก็ได้ยินว่ามันมีการสั่งการมา แต่ว่าขอโทษทีนะ ผมก็ยังไม่เห็นเรือพวกนั้นจริง ๆ ในพื้นที่ คือผมไม่เห็นปริมาณที่มันควรจะอยู่ในปริมาณที่เรียกได้ว่าเต็มพื้นที่แล้ว" ผอ.มูลนิธิกระจกเงา ระบุ
เขาประเมินการสั่งการที่เกิดขึ้น "ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น" มาจากการที่นายกฯ ซึ่งเป็น รมว.มหาดไทยด้วย ประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการแจ้งเตือนไปไม่ถึงตัว และขนาดความรุนแรงที่หนักกว่าน้ำท่วมแม่สาย
"ปัญหาคือว่าพอ [อนุทิน] เป็นนายกฯ แล้วเหตุการณ์มันอยู่ระหว่างการเผชิญเหตุ เอาจริง ๆ ผมคิดว่าเขานึกคิดไม่ออกว่าจะทำยังไง เพราะว่ามันยังไม่พีค มันยังไม่รู้ว่าพีคอยู่ตรงไหน น้ำมันไม่ลดสักที" นายสมบัติกล่าว
"นี่มันเป็นโมเดลในระดับที่ไฟฟ้าดับและระบบสื่อสารล่ม ลองจินตนาการว่ามีที่ไหน ถ้าจะใกล้เคียงถึงขนาดไฟดับแล้วก็สื่อสารล่ม แล้วติดต่อเนื่องกันเป็นวัน ๆ แบบนี้ ผมนึกได้แค่สึนามิเท่านั้น" นายสมบัติระบุ
เกินกำลังกลุ่มอาสา-มูลนิธิ แม้จนถึงวันที่ 5
นายสมบัติ ซึ่งเป็นภาคประชาสังคมที่มีประสบการณ์เข้าไปช่วยจัดการภัยพิบัติหลายเหตุการณ์ เปิดเผยว่าในพื้นที่ ทั้ง ณ ขณะนี้และในช่วงเวลาก่อนหน้า หน่วยงานรัฐหลักที่คอยประสานกับอาสา คือ ทหาร แต่การประสานงานยังมีช่องว่าง และอาสาก็มีข้อจำกัดในการช่วยเหลือ จากการขาดแคลนทรัพยากร
"ภาคประชาชนมันจำกัดมากนะ มันไม่เหมือนไฟท์ที่แม่สาย คนไม่มีเรือก็ยังไปช่วยได้ใช่ไหมครับ แต่ว่าครั้งนี้มีคน ไม่มีเรือ นี่มันแทบทำอะไรไม่ได้เลย ติดขัดกันไปหมด แล้วระบบเชื่อมต่อกันยังไม่ดี ผมพูดตรง ๆ ระบบการเชื่อมต่อกันของภาคประชาชนยังไม่ดี มี gap (ช่องว่าง) อยู่เยอะมาก" ผอ.มูลนิธิกระจกเงา กล่าว

วันที่ 26 พ.ย. เวลา 12.45 น. หน้าเว็บไซต์ Jitasa.Care มีผู้ระบุพิกัดที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนจำนวนมากในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยคำร้องขอจำนวนมากต้องการให้ช่วยอพยพออกจากพื้นที่ รวมถึงต้องการอาหารและยา โดยบางส่วนระบุว่าไม่สามารถติดต่อคนที่อยู่ในพิกัดที่ปักหมุดขอความช่วยเหลือได้
"เวลาเราจ่ายงาน เวลาประสานงานเข้าไปที่ rescue (หน่วยกู้ภัย) เขาบอกว่า เขามีเคสอยู่ในมืออีก 300 ในขณะที่เราติดต่อว่าเรามีเคสเร่งด่วนเข้าไป เขาบอกว่าเขามีอยู่ 300 คนตอนนี้ที่ยังเก็บไม่ได้เลย" สมบัติเปิดเผยถึงผู้ประสบภัยที่มากมายเกินกว่าที่อาสากู้ภัยจะรับมือได้ในตอนนี้
"ต่อให้เราทำระบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปริมาณของเรือ ระบบช่วยเหลือที่เข้าไป มันมีขนาดที่น้อยกว่าผู้ต้องการได้รับความช่วยเหลือมาก นี่คือสถานการณ์ที่เรารู้สึกว่าแม้ว่าเราจะทำให้ Jitasa.Care กลายเป็นแพลตฟอร์มที่คนกรอกข้อมูลเยอะที่สุดแล้ว แต่ว่ามันก็ยังช่วยเหลือได้ไม่เต็มที่ เพราะว่าเรือที่จะเอาไปรับมันได้แค่นั้น มันมีแค่นั้น" ผอ.มูลนิธิกระจกเงา สรุป
ศป.กฉ. เริ่มดำเนินการอะไรบ้าง
วันที่ 5 ของน้ำท่วมหาดใหญ่ หลังการประชุมนัดแรกของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) วันนี้ (26 พ.ย.) ทำให้เห็นโครงสร้างการบัญชาการเหตุ ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
พล.ท.วันชนะ สวัสดี โฆษก ศป.กฉ. แถลงถึงการแบ่งการทำงานในพื้นที่ จ.สงขลา ภายใต้การบูรณาของ ผบ.สส. ว่ามีการตั้งศูนย์ ศป.กฉ. ส่วนหน้า ที่กองบิน 56 โดยแบ่งพื้นที่รับผิดชอบออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ อ.หาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่วิกฤต และอำเภออื่น ๆ ใน จ.สงขล
โฆษก ศป.กฉ. เปิดเผยต่อไปว่า ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ ได้แบ่งย่อยออกเป็น 4 พื้นที่ที่มีรายละเอียดชัดเจนว่าประกอบไปด้วยชุมชนอะไรบ้าง และมีการกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแล
พล.ท.วันชนะ ระบุว่า การจัดตั้งศูนย์ ศป.ฉก.ส่วนหน้า ที่รับผิดชอบในพื้นที่จะประกอบด้วยส่วนบังคับบัญชา ส่วนสนับสนุนอำนวยการ ส่วนปฏิบัติการและส่วนประสานงาน โดยส่วนประสานงานจะรับผิดชอบในเรื่องของหน่วยงานภายนอก ดังนั้น ไม่ว่าใครจะเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ รวมถึงสื่อมวลชน "อยากให้ไปติดต่อที่กองบิน 56" เพราะจะเป็น "จุดประสานงานแบบครบในที่เดียว" และจะเป็นสถานที่ที่มีการจัดสรรให้ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานในพื้นที่ต่าง ๆ
ส่วนการช่วยเหลือผู้ประสบภัย พล.ท.วันชนะ ระบุว่า จะมีการรับแจ้งจากส่วนกลางตามช่องทางต่าง ๆ โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอในการตรวจสอบเพื่อไม่ให้ข้อมูลซ้ำซ้อน และจะแบ่งระดับความรุนแรงของแต่ละกรณีเป็นสีแดงหรือเหลือง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในท้องที่ จ.สงขลา เมื่อ 25 พ.ย. พร้อมตั้ง พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) เป็นผู้อำนวยการสถานการณ์
ด้านนายอนุทิน วันนี้ได้เดินทางลงพื้นที่ จ.สงขลา ครั้งที่ 3 ในรอบสัปดาห์ และกล่าวว่าจะอยู่ในพื้นที่จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นจะไม่บินกลับโดยเด็ดขาด
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า ระหว่างการประชุมทางไกลมายัง ศป.กฉ. นายอนุทินได้กำชับให้ทุกฝ่ายสนับสนุนภารกิจงานอย่างเต็มกำลัง ทั้งเรื่องงบประมาณและอำนาจการสั่งการต่าง ๆ มาที่ศูนย์ ศป.กฉ. ทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดความกังวลในการใช้อำนาจหน้าที่ และจะมีทั้งกฎหมายคอยคุ้มครองในการใช้ดุลพินิจตัดสินใจ ขอให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
"ขอให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ให้คำยืนยันได้เลยว่าทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้รับผิดชอบของนายกฯ อยู่แล้วในฐานะผู้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินผู้ที่รับผิดชอบภายใต้ พ.ร.ก. ฉบับนี้" โฆษกรัฐบาลระบุ
https://www.bbc.com/thai/articles/c9qel8pdp4eo