วันเสาร์, ตุลาคม 04, 2568

สุรพศ ทวีศักดิ์: อ่าน ‘Grand Compromise’ ของธนาธร ‘ระหว่างบรรทัด’ (การประนีประนอมครั้งใหญ่ จะเกิดขึ้นได้จริงหรือ ถ้ารัฐพันลึกไม่ยอม ?!?)

2 ตุลาคม 2568
ประชาไท

สุรพศ ทวีศักดิ์

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้นำอุดมการณ์พรรคประชาชน ได้แสดงความเห็นว่า “ภายในช่วงเวลา 2 ปี” หลังจากจากนี้ อาจเกิด “Grand Compromise” หรือการประนีประนอมครั้งใหญ่ ที่จะยุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยที่ยาวนาน ตั้งแต่เกิดรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา เพื่อเปิดทางให้ประชาธิปไตยก้าวไปข้างหน้าได้ เนื่องจาก “ทุกฝ่าย” ต่างก็เหนื่อยล้า เพราะพรรคการเมืองถูกยุบ นักการเมืองถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง นักกิจกรรมทางการเมืองติดคุก นักสิทธิมนุษยชนต่างทำงานหนัก และฝ่ายรัฐพันลึก (Deep State) เองก็คงจะวิตกกังวลและเหนื่อยล้ากับการต่อต้านของคนรุ่ยใหม่ด้วยเช่นกัน

ใน 4 เดือนนี้ ถ้ารัฐบาลภูมิใจไทยทำตาม MOA ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งจะทำให้ได้รัฐธรรมนูญที่มีกติกาประชาธิปไตยที่เป็นธรรมากขึ้น แม้จะยังแตะหมวดสถาบันกษัตริย์ไม่ได้ แต่หากพรรคประชาชนได้ 250 เสียง ก็จะเกิดการประนีประนอมใหญ่ที่ช่วยนักโทษ 112 ทุกคนออกจากคุกได้ ส่วนการปฏิรูปโครงสร้างให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง อาจเกิดขึ้นในขั้นตอนถัดไป อย่างไรก็ตาม ก็อาจเป็นไปได้เช่นกันว่ารัฐบาลพรรคประชาชนอาจถูกทำลายได้ เช่นเดียวกับรัฐบาลไทยรักไทยพรรคเดียวเคยถูกทำลายมาแล้ว โดยรัฐประหาร 2549 แต่ธนาธร “มองในแง่ดี” ว่าน่าจะเกิดการประนีประนอมใหญ่มากกว่า เพราะทุกฝ่ายต่างก็เหนื่อยล้ามากแล้วกับความขัดแย้งทางการเมืองที่ยาวนาน (ดู ธนาธรเชื่อจะเกิดประนีประนอมครั้งใหญ่ https://youtu.be/31lekV0g9H4)

เมื่อเราอ่านไอเดียการประนีประนอมใหญ่ของธนาธร “ระหว่างบรรทัด” บวกกับวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่พรรคประชาชนโหวตให้อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกรัฐมนตรี เราจะเห็นภาพรวมของขั้นตอนของการประนีประนอม ที่คาดหวังว่าจะนำไปสู่การประนีประนอมครั้งใหญ่ 2 – 3 ขั้นตอน คือ

ขั้นตอนที่ 1: คือการเริ่มต้นประนีประนอมระหว่าง “พรรคซ้ายเสรีนิยมกับพรรคขวาอนุรักษ์นิยม” ผ่าน “ดีล MOA” ระหว่างพรรคส้มกับพรรคน้ำเงิน

ข้อวิจารณ์ “ความเป็นการเมือง” ในขั้นตอนนี้ที่ไม่ได้พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา คือ พรรคส้มกับน้ำเงินน่าจะ “ดีล MOA” มาก่อนที่จะประกาศให้ประชาชนทราบ และพรรคส้มน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเมื่อเกิดกรณีปล่อย “คลิปอุ๊งอิ้ง-ฮุนเซน” แล้วพรรคส้มกดดันให้รัฐบาลเพื่อไทยยุบสภา ขณะที่ฝ่าย “โจทก์เก่าของเพื่อไทย” ร้องศาลรัฐธรรมนูญให้สอยอุ๊งอิ้ง และศาลรัฐธรรมนูญก็สั่งอุ๊งอิ๊งยุติการปฏิบัติหน้าที่นายกฯ และสอยจากตำแหน่งนายกฯ ในที่สุด บวกกับรัฐพันลึกเอาทักษิณเข้าคุก และเบรกรักษาการนายกฯ เพื่อไทยยุบสภา กระบวนการทั้งหมดนี้สะท้อนว่ารัฐพันลึกต้องการทำให้เกิด “การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองที่ไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย” เพื่อเอาอนุทินขึ้นเป็นนายกฯ ให้ได้

ดังนั้น การที่พรรคส้มโหวตให้อนุทินเป็นนายกฯ สอดคล้องกับ “ความต้องการของรัฐพันลึก” ที่พรรคส้มรู้ๆ กันอยู่แล้ว จึงเป็นการเลือก “วิธีการทางการเมือง” ที่ “ย้อนแย้ง” กับหลักการที่พรรคส้มเคยต่อต้านการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองที่ไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยอย่างแข็งขันมาโดยตลอด แม้จะมีเป้าหมายเพื่อ “เปิดประตู” สู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จ แต่เป้าหมายที่เชื่อกันว่าถูกต้องดีงามเช่นนั้น ก็ไม่อาจทำให้ “วิธีการที่ขัดแย้งกับหลักการที่ตนเองเคยยืนยัน” เป็นวิธีการที่ถูกต้องชอบธรรมได้อย่างแท้จริง

เมื่อพรรคส้มเลือก “วิธีการที่ย้อนแย้งกับหลักการที่ตนเคยยืนยัน” จึงทำให้เกิดคำถามตามมาว่าพรรคส้ม (และบรรดาผู้สนับสนุน) โจมตีพรรคเพื่อไทย ซึ่งใช้วิธีการที่ย้อนแย้งกับหลักการที่พวกตนเคยยืนยันมาตลอดกว่า 2 ปี แล้วทำไมพรรคส้มจึงเลือกวิธีการที่ย้อนแย้งกับหลักการที่พวกตนเคยยืนยันด้วยเล่า?

ที่พรรคส้มอ้างว่ามีเป้าหมายที่ดีกว่า คือ “การแก้โครงสร้างเพื่อประโยชน์ของประชาชน” แต่เพื่อไทยก็อ้างเช่นกันว่า “แก้ปัญหาปากท้องก็ทำเพื่อประชาชน” ส่วนที่ด่าเพื่อไทยว่า “ดีลปีศาจ” เพื่อให้ทักษิณ ชินวัตรกลับบ้านแลกกับเสรีภาพประชาชน จนทำให้เพื่อไทยต้องปฏิเสธนิรโทษกรรม 112 แต่ดีล MOA ก็ไม่มีการนิรโทษกรรมคดี 112 อยู่ใน “เงื่อนไข” ของการดีลเช่นกัน เพราะภายใต้ Realpolitik แบบที่เป็นอยู่ ไม่ว่าพรรคไหนจะดีลกับ “ชนชั้นนำ” โดยตรง หรือดีลกับ “พรรคขวาอนุรักษ์นิยม” ที่รับใช้ชนชั้นนำ ฝ่ายชนชั้นนำก็ไม่ยอมให้นิรโทษกรรมคดี 112 อยู่แล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ผมพูดถึง “ข้อเท็จจริง” ว่าการดีลกับรัฐพันลึก ฝ่ายชนชั้นนำไม่ยอมให้นิรโทษกรรม 112 อยู่แล้ว ไม่ได้แปลว่าเราไม่ควรวิจารณ์เพื่อไทยที่ปฏิเสธการนิรโทษกรรม 112 แต่เราต้องยอมรับ “ข้อเท็จจริง” ว่านับแต่การดีลของทักษิณกับชนชั้นนำ จนถึงการดีล MOA กับพรรคน้ำเงินที่รับใช้ชนชั้นนำ ก็ไม่มีการดีลไหนที่ทำให้ฝ่ายรัฐพันลึกยอมรับเงื่อนไขให้นิรโทษกรรมคดี 112 ได้เลย การขังคุกแกนนำนักกิจกรรมทางการเมืองในคดี 112 ในสมัยรัฐบาลเพื่อไทย และหลังจากการดีล MOA ระหว่างพรรคส้มกับพรรคน้ำเงินแล้ว ก็ยีงดำเนินต่อเนื่องอย่างเป็น “เรื่องปกติ” อยู่เช่นเดิม

ขั้นตอนที่ 2: คือความคาดหวังว่ารัฐบาลอนุทินจะให้ “ส.ว. สีน้ำเงิน” ซึ่งเป็น ส.ว. เสียงข้างมาก ยกมือสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา เพื่อให้ได้ “โมเดล สสร.” แล้วยุบสภาภายใน 4 เดือน ตาม MOA เพื่อจัดทำประชามติรัฐธรรมนูญพร้อมกับการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งในการแถลงนโยบายรัฐบาล เมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา นายกฯ อนุทินยืนยันแล้วว่า “จะยุบสภาภายในวันที่ 31 มกราคม 2569” อย่างแน่นอน (?)

การประนีประนอมในขั้นตอนที่ 2 นี้ สะท้อน “ปัญหาใหญ่ของพรรคส้ม” คือ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการฮั้ว ส.ว. หรือการที่พรรคการเมืองคุม ส.ว.เสียงข้างมากได้ มันขัดหลักการ free and fair ในระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง ก็ยังไปโหวตให้พรรคการเมืองเช่นนั้นเป็นรัฐบาล โดยไปฝากความหวังกับอำนาจที่ไม่ชอบธรรมเช่นนั้นอย่างไม่รู้สึกละอายแก่ใจ

ยิ่งกว่านั้น “โจทย์ใหญ่” ที่ประชาชนอย่างเราๆ ต้องเผชิญ คือ การที่ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลเรื่องแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาลภูมิใจไทย ยืนยันต่อรัฐสภาว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีการทำประชามติควบคู่กัน 2 เรื่อง คือ ประชามติว่าประชาชนจะยอมให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และประชาชนจะยกเลิก MOU ระหว่างไทย-กัมพูชาหรือไม่ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาสำคัญ 3 เรื่องใหญ่ๆ ตามมา คือ

- ปัญหาความรับผิดชอบของรัฐบาล เพราะ MOU เป็นเรื่องทางเทคนิคที่ซับซ้อน จำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการให้ข้อมูลรอบด้านแก่รัฐบาล และเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลโดยตรงที่จะต้องตัดสินใจในเรื่องนี้ แต่กลับโยนภาระการตัดสินใจให้ประชาชน (ที่อาจเข้าไม่ถึงรายละเอียดที่ซับซ้อนของ MOU) เป็นฝ่ายตัดสินใจแทนรัฐญบาล และ

- ปัญหาทางการเมือง จากการที่รัฐบาลอนุทินประกาศยกอำนาจให้ทหารตัดสินใจปัญหาขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา และยังให้ทำประชามติ MOU พร้อมกับการเลือกตั้งครั้งหน้า แสดงว่าจงใจ “ผูกปม” ให้ประเด็นปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชากลายเป็น “ประเด็นร้อนทางการเมือง” ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อปลุก “กระแสรักชาติ” ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมให้เข้มข้นมากขึ้น โดยหวังผลทางการเมืองว่าพรรคน้ำเงินจะได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้า และยัง “อาจเป็นไปได้” ด้วยว่าประชามติรัฐธรรมนูญอาจ “ไม่ผ่าน” เพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่อยากให้ยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา ก็ไม่ต้องการให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อยู่แล้ว

จากปัญหาสำคัญ 2 เรื่องดังกล่าว เพื่อไทยคือฝ่ายที่ “เสียเปรียบ” ในทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัด เพราะจะถูกทั้งพรรคน้ำเงิน และพรรคส้มโจมตีเรื่อง “คลิปอุ๊งอิ๊ง-ฮุนเซน” และความไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอน แต่พรรคส้มก็ไม่น่าจะได้เปรียบ แม้ว่า “ส.ส.เซเลบ” ของพรรคนี้จะโชว์สเตปการไฟท์กับฝ่ายกัมพูชาในเวทีอาเซียน เพื่อเอาใจฝ่ายอนุรักษ์นิยมมาแล้ว แต่เราก็ได้เห็นแล้วกว่า การเดินสายสร้างคะแนนนิยมให้ทหารของพลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆ ที่ “ยืนพูดและยืนเซลฟี่จนปวดเข่า” นั้น เป้าหมายหลักทางการเมือง ก็เพื่อตอบโต้คำถาม “ทหารมีไว้ทำไม” ของพรรคส้มโดยฉพาะ ดังนั้น พรรคส้มไม่ใช่พรรคที่รัฐพันลึกไว้ใจอยู่แล้ว ส่วนเพื่อไทยและทักษิณ ก็ถูกรัฐพันลึกทำลายอีกครั้งไปเรียบร้อยแล้ว

มีเพียงพรรคน้ำเงินเท่านั้นที่รัฐพันลึกไว้ใจ และหวังจะให้เติบโตเป็น “พรรคใหญ่” แทนพรรคเพื่อไทย เพื่อรับใช้รัฐพันลึกต่อไป ซึ่งธนาธรเองก็ “อ่านขาด” อยู่แล้วว่าพรรคน้ำเงินมีแรงจูงใจที่จะเป็นพรรคใหญ่แทนที่เพื่อไทย จึงต้องสร้าง “ภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ” ทำให้เชื่อได้ว่าจะไม่เบี้ยว MOA แน่นอน แต่การไม่เบี้ยว MOA ในเรื่องยุบสภาใน 4 เดือน ก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคน้ำเงิน จะไม่ทำให้ MOA “บิดเบี้ยว” จากเจตนารมณ์ของพรรคส้มได้ ซึ่งจากคำแถลงของบวรศักดิ์ ก็เป็นไปได้ที่ประชามติอาจ “ไม่ผ่าน” หรือถึงผ่าน ก็ยัง “เสี่ยง” ที่จะได้ “สสร.สีน้ำเงิน” และ “รัฐธรรมญฉบับสีน้ำเงิน” อยู่ดี

ขั้นตอนที่ 3: คือเกิดการประนีประนอมครั้งใหญ่ ซึ่งตามการ “มองในแง่ดี” ของธนาธรก็คือ ถ้าพรรคประชาชนได้ 250 เสียง แล้วจะทำให้ฝ่ายรัฐพันลึกที่ “เหนื่อยล้า” กับความขัดแย้งเหมือนฝ่ายเรา ยินยอมที่จะประนีประนอม ปล่อยทักโทษ 112 ทุกคนออกจากคุก ในช่วง 2 ปีหลังจากนี้

แต่คำถามคือ ปรากฏการณ์อะไรที่แสดงให้เห็นอย่าง “ชัดเจน” ว่าฝ่ายรัฐพันลึก “เหนื่อยล้า” เหมือนฝ่ายเรา เพราะจากรัฐประหาร 2 ครั้ง การยุบเพื่อไทย 2 ครั้ง และทำลายรัฐบาลเพื่อไทยและเอาทักษิณเข้าคุกในที่สุด อีกทั้งยุบอนาคตใหม่ ก้าวไกล และเอา 44 ส.ส.ก้าวไกลเป็นตัวประกัน ภายใต้เกมการเมืองตามรัฐธรรมนูญ 2560 และการดีล MOA ที่รัฐพันลึกยังคงเป็น “ฝ่ายคุมเกม” และยังจับนักกิจกรรมทางการเมืองขังคุกด้วยมาตรา 112 อย่างต่อเนื่อง และไม่ให้ประกันตัวแกนนำคนสำคัญเป็นปกติ นี่คือ “อาการเหนื่อยล้า” หรือ “อาการรุกคืบ” เพื่อทำลายฝ่ายที่รัฐพันลึกหวาดระแวงอย่างต่อเนื่องกันแน่

ยิ่งกว่านั้น จากสถานการณ์ที่พรรคส้มโหวตให้พรรคน้ำเงินเป็นรัฐบาล แทบจะไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าพรรคส้มจะได้ ส.ส. 250 หรือเป็นรัฐบาลพรรคเดียวในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้จริง อย่างมากที่สุด พรรคส้มน่าจะได้ ส.ส. อันดับ 1 พรรคน้ำเงินอันดับ 2 และเพื่อไทยอันดับ 3 ถ้าเป็นแบบนี้ MOA จะ “ผูกมัด” ให้พรรคส้มกับพรรคน้ำเงินต้อง “ประนีประนอมครั้งที่ 2” ด้วยการจับมือตั้งรัฐบาล โดยพรรคส้มจะอ้างเหตุผลว่าเพื่อ “ประคับประคองให้การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด” หรือไม่ให้เป็น “รัฐธรรมนูญสีน้ำเงิน” มากจนเกินไป ดังนั้น การประนีประนอมใหญ่ที่ธนาธรวาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในระยะ 2 ปี หลังจากนี้ ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

แต่ “เหตุการณ์จริง” ที่เกิดขึ้นแล้ว หลังจากพรรคส้มโหวตให้พรรคน้ำเงินเป็นรัฐบาล คือ เราได้เห็นการอภิปรายนโยบายรัฐบาลพรรคน้ำเงิน โดย ส.ส.พรรคส้มที่ดู “ตลกร้าย” เช่นว่า “เราไม่ได้เลือกอนุทินเป็นนายกฯ เพื่อตั้งคนเฮงซวยเป็นรัฐมนตรี” แต่ข้อเท็จจริงคือ MOA ผูกพันเรื่องแก้รัฐธรรมนูญและยุบภาใน 4 เดือนเท่านั้น ไม่ได้ผูกพันการตั้งรัฐบาลเลย เมื่อคุณโหวตให้เขาเป็นายกฯ ก็เท่ากับคุณได้ให้ “อำนาจ” แก่เขาไปตั้งรัฐบาลอย่างไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ ซึ่งอำนาจที่คุณให้เขาไป คืออำนาจที่คุณไม่สามารถควบคุมได้จริงอยู่แล้ว (อันที่จริง ประชาชนจำนวนไม่น้อยใน 14 ล้านเสียง ก็อ้างได้เช่นกันว่า “เราไม่ได้เลือกพรรคส้มมาเพื่อไปโหวตให้พรรคน้ำเงินเป็นรัฐบาล” นี่ก็คือ “สัจธรรมทางการเมือง” อีกอย่างว่าประชาชนโหวตให้อำนาจแก่พรรคการเมืองพรรคใดๆ ไปแล้ว ก็ไม่สามารถควบคุมพรรคการเมืองนั้นๆ ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกัน)

หรือการที่ ส.ส.พรรคส้มอภิปรายคดีฮั้ว ส.ว. แม้จะเตรียมข้อมูลมาดี แต่สาระที่แท้ของการอภิปรายก็คือ “พรรคเราเลือกอนุทิน ผู้ซึ่งถูกกล่าวหาในคดีฮั้ว ส.ว. ให้มาเป็นนายกฯ ที่ต้องทำหน้าที่กำกับดูแลคดีของตัวเองให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมตามนโยบายของรัฐบาล” ซึ่งน่าจะเป็นการตรวจสอบที่ “ประหลาดที่สุด” นับแต่มีระบบรัฐสภาไทยเป็นต้นมา

สุดท้าย เรื่องที่ประชาชนอย่างเราๆ ควร “ทบทวน” ตัวเองก็คือ เราด่าพรรคเพื่อไทยมาตลอกว่า 2 ปีว่า “เลือกวิธีการที่ย้อนแย้งกับหลักการที่พวกตนเคยยืนยัน” แต่เมื่อพรรคส้ม “เลือกวิธีการที่ย้อนแย้งกับหลักการที่พวกตนเคยยืนยัน” เช่นกัน เราได้วิจารณ์ตรวจสอบพรรคส้มอย่างเพียงพอหรือไม่

เรากล่าวหาเพื่อไทยว่า “ขายจิตวิญญาณ” และปกป้องพรรคส้มว่า “ไม่ได้ขายจิตวิญญาณ” นี่ถือเป็นการกล่าวหาที่เกินจริง หรือเป็นการปกป้องที่เกินจำเป็นหรือไม่ เพราะในที่สุดแล้ว ทั้งเพื่อไทยและพรรคส้มต่างก็ “เลือกประนีประนอมกับรัฐพันลึกและเครือข่ายอำนาจของรัฐพันลึก” โดยต่างก็อ้างว่าทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนเช่นกัน และใช้เวทีรัฐสภาในการตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคขวาอนุรักษ์นิยม และในการโหวตให้พรรคขวาอนุรักษ์นิยมเป็นรัฐบาลเช่นกัน

ดังนั้น จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น จึงไม่มีพรรคไหนยึด “หลักการบริสุทธิ์” อย่างคงเส้นคงวาได้จริง ทั้งสองพรรคต่างก็เลือก “ประนีประนอม” ภายใต้อำนาจกำหนดเกมของรัฐพันลึก ด้วยเป้าหมายคือ “ความได้เปรียบทางการเมือง” ของฝ่ายตนเช่นกัน เพราะเพื่อไทยก็หวังจะสร้างผลงานแก้ปัญหาปากท้องเรียกคะแนนนิยม แต่ก็ถูกรัฐพันลึกทำลายในที่สุด ส่วนดีล MOA ของพรรคส้ม ก็หวังจะสร้างผลงานไขกุญแจไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อชัยชนะขาดลอยในการเลือกตั้งครั้งหน้า ในสถานการณ์ที่เชื่อว่าพรรคตนมีคะแนนนิยมอันดับ 1 นี่คือข้อเท็จจริง!

แต่อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวผมยังคิดเหมือนนักกิจกรรมทางการเมือง เช่น ไผ่ ดาวดิน เป็นต้น ที่มองว่าพรรคเพื่อไทยกับพรรคส้มและผู้สนับสนุนของแต่ละฝ่าย มี “จุดร่วม” ที่ถูกรัฐพันลึกทำลายอย่างอยุติธรรมแบบเดียวกันมา และมี “เป้าหมายร่วมกัน” คือต้องการได้ “กติกาประชาธิปไตยที่เสรีและเป็นธรรม” มากกว่า ขณะที่พรรคน้ำเงินไม่มีจุดร่วมและเป้าหมายร่วมใดๆ กับพรรคส้มและเพื่อไทยอยู่จริง เพราะมีอุดมการณ์ขัดแย้งกัน หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อกันชัดเจนมากกว่า

ยิ่งได้เห็น “พรรคซ้ายเสรีนิยม” อย่างพรรคส้มประนีประนอมกับ “พรรคขวาอนุรักษ์นิยม” อย่างพรรคน้ำเงิน ที่เป็นพรรครับใช้รัฐพันลึกตัวจริงเสียงจริงมากกว่า ยิ่งไม่มีเหตุผลใดๆ ที่พรรคส้มจะประนีประนอมกับพรรคเพื่อไทยไม่ได้อีก เว้นเสียแต่ว่าพรรคส้มจะเชื่อว่าการร่วมมือกับพรรคน้ำเงิน ในทิศทางของการดีลซึ่งสอดคล้องกับเกมการเมืองของรัฐพันลึกที่ต้องการทำลายพรรคเพื่อไทยให้อ่อนแอ เป็น “วิธีการทางการเมืองที่ชอบธรรม” แต่ทว่ากว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา เราควรมี “บทเรียน” ได้แล้วหรือยังว่า “วัฒนธรรมการเมืองแห่งความเกลียดชัง” ที่ พธม.-กปปส.และพรรคประชาธิปัตย์มุ่งทำลายเพื่อไทยและทักษิณ “อย่างสอดรับ” กับความต้องการที่ผิดหลักการประชาธิปไตยของรัฐพันลึกนั้น ได้ก่อปัญหาต่อการสร้างประชาธิปไตยยาวนานมากเพียงใด การเมืองระหว่างเพื่อไทยกับพรรคส้ม จึงไม่ควรเดินซ้ำรอยความผิดพลาดเช่นนั้นอีก

ผมจึงเชื่อว่าการประนีประนอมครั้งใหญ่ ถ้าจะเกิดขึ้นได้จริง น่าจะเกิดจากพรรคเพื่อไทยกับพรรคส้มสรุปบทเรียนร่วมกัน และกลับมาร่วมมือกันปล่อยนักโทษ 112 ออกจากคุกให้ได้ จึงจะสามารถสร้าง “อำนาจต่อรอง” ให้รัฐพันลึกยอมประนีประนอมได้จริง ลำพังพรรคส้มพรรคเดียว ไม่น่าจะสร้างอำนาจต่อรองให้รัฐพันลึกยินยอมที่จะประนีประนอมครั้งใหญ่ได้ขนาดนั้น (?)

https://prachatai.com/journal/2025/10/114928