วันอาทิตย์, ตุลาคม 05, 2568

เรื่องราวของ "เก่ง" ศิลปินอิศระ ผู้ต้องขังคดีขัดขวางขบวนเสด็จฯ “ผมจำได้ว่าเพียงแค่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป”


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
15 hours ago
·
“ผมจำได้ว่าเพียงแค่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป”: เรื่องราวของ “เก่ง” ศิลปินอิสระผู้ต้องขังคดีขัดขวางขบวนเสด็จฯ
.
.
เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2568 ที่เรือนจำกลางคลองเปรม ห้องเยี่ยมที่มีเพียงกระจกกั้นระหว่างโลกภายในและภายนอก “เก่ง” ชนาธิป (สงวนนามสกุล) ศิลปินอิสระจากปากช่อง วัย 53 ปี หนึ่งในห้าผู้ต้องขังคดีข้อหาหลักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 กรณีถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จในการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 หลังถูกศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นจากยกฟ้อง เป็นเห็นว่าผิด ลงโทษจำคุกถึง 16 ปี ทั้งศาลฎีกากลับไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างฎีกา ถูกคุมขังมาแล้ว 30 วัน
.
เช่นเดียวกับ “ขวัญ” ภาณุภัทร์ สำหรับ “เก่ง” ซึ่งเป็นประชาชนทั่วไป ในคดีมีทนายความจากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย หลังจากถูกคุมขัง ทางศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้พูดคุยกับทาง สกสส. เพื่อเข้าร่วมกันติดตามสถานการณ์การคุมขังและการประกันตัว
.
วันนั้นในห้องเยี่ยม เก่งมาถึงอย่างรวดเร็ว ท่าทีรีบร้อน กังวลเรื่องบ้านที่ปากช่องซึ่งตนอยู่เพียงคนเดียว เมื่อได้รับการยืนยันว่าพี่สะใภ้ได้เข้าไปช่วยจัดการแล้ว เขาเริ่มเล่าถึงการปรับตัว เขาเลือกใช้ชีวิตในโซนห้องสมุด อ่านหนังสือ นั่งตามร่มไม้คนเดียวตามนิสัยอินโทรเวิร์ต ปัญหาเร่งด่วนคือยารักษาข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่ยังไม่ได้รับตั้งแต่เข้าเรือนจำ โดยต้องนำประวัติการรักษามาเพื่อจ่ายยา ระหว่างพูดคุยเก่งมีความเครียดสูง นึกอะไรได้ก็รีบพูดทันทีเพราะกลัวลืม กังวลเรื่องความปลอดภัยของบ้านและการจัดการชีวิตในอนาคต
.
ขณะเดียวกันเก่งเล่าเรื่องราวเส้นทางชีวิต ตั้งแต่วัยเยาว์ การเป็นศิลปินอิสระที่สร้างดินแดนของตนบนเนินเขาปากช่อง การเดินทางรอบโลกหลังศาลชั้นต้นยกฟ้อง จนมาถึงการพัวพันกับคดีจากการไปร่วมชุมนุมทางการเมือง ซึ่งทำให้แผนชีวิตของเขาพังทลายครั้งใหญ่
.
ท้ายที่สุดศิลปินอิสระฝากบอกว่า “คนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ก็ไม่มีวันที่จะรู้ความจริงหรอกครับ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”

.

“ผมสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา”: ศิลปินที่หนีความวุ่นวายมาสร้างฝันบนเนินเขา

เก่งเล่าว่า เขาเกิดและเติบโตในกรุงเทพฯ เป็นลูกคนที่ 3 ใน 4 คน พ่อเป็นทหาร แม่เป็นชาวจีนที่อพยพมาประเทศไทยตั้งแต่อายุ 7 ปี ครอบครัวฝั่งแม่มีฐานะค่อนข้างดีจากการค้าขาย

เมื่อพ่อแม่แยกทางกัน แม่ต้องเลี้ยงดูลูกทั้งสี่เพียงลำพัง “ผมเป็นคนเดียวในครอบครัวที่เรียนสูงที่สุด เนื่องจากเป็นคนเดียวที่ชอบอ่านหนังสือ ค้นคว้าหาข้อมูลต่าง ๆ ตั้งแต่เด็ก ๆ”

ขณะที่พี่น้องคนอื่นเลือกที่จะเรียนระดับหนึ่งแล้วออกไปทำธุรกิจค้าขาย เก่งเรียนจบปริญญาตรีและโทภาควิชาวิจิตรศิลป์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง ความเป็นอินโทรเวิร์ต (Introvert) สูง ทำให้เขาไม่ชอบความวุ่นวายของกรุงเทพฯ “ผมชอบต้นไม้มากกว่า จึงคิดไว้เสมอว่าหากโตแล้วผมจะต้องไปซื้อที่ในต่างจังหวัดเพื่ออาศัยอยู่”
.
จนอายุประมาณ 40 ปี ความฝันนั้นเป็นจริง เก่งซื้อที่ดินที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พื้นที่ประมาณ 13 ไร่ สร้างเป็นบ้านพักอาศัย 1 หลัง และหอศิลป์ 1 หลัง พร้อมปลูกไม้ป่าไม้ผลในที่ดินที่เหลือ “ผมสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา” เขาบอก
.
หอศิลป์ของเขาเก็บผลงานจิตรกรรมหลักกว่า 1,000 ชิ้น และงานประติมากรรมสลักหิน 200-300 ชิ้น “ใน 1 ปีนั้น ผมจะวาดรูปประมาณ 100 กว่ารูป และนำมาแสดง ผมจะเปลี่ยนผลงานที่นำมาแสดงทุก ๆ ปี”
.
หอศิลป์ของเขาเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชมได้ นอกจากนี้เขายังรับงานจากบุคคลภายนอกและมีรายได้จากการเทรดหุ้น ในวัยกลางคนเก่งใช้ชีวิตคนเดียว ไม่มีครอบครัวหรือทายาท มีเพียงสุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน “ชีวิตของผมมีไว้ เพื่อใช้ชีวิตของตัวเองให้เต็มที่ ต้องการที่จะทำอะไรก็ลงมือทำเลย”
.
ช่วงหลังศาลชั้นต้นยกฟ้อง เขาใช้ชีวิตด้วยการเที่ยวต่างประเทศ 2-3 เดือนต่อครั้ง ไปแถบยุโรปประมาณ 15 ประเทศแล้ว ทางเอเชียอีกประมาณ 5 ประเทศ เพื่อดูพิพิธภัณฑ์ สถาปัตยกรรม และธรรมชาติ เป็นการศึกษาวัฒนธรรมและหาแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
.
การได้เดินทางรอบโลกเป็นอีกหนึ่งความฝันของผู้ต้องขังการเมืองคนนี้ ไปดูไปเห็นไปสัมผัสประเทศในโลกนี้ให้กว้างขวางที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เขาทำไปได้บางส่วนแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จทั้งหมด
.

‘เพียงแค่ยืนดูและหยิบโทรศัพท์ถ่ายภาพ’ กลับกลายเป็นการประทุษร้าย

“ผมมีแนวคิดการเมืองในลักษณะต้องการให้ประเทศไทยมีความเปลี่ยนแปลง รักความเป็นธรรม และไม่ใช่คนที่แสดงออกด้วยวิธีการที่รุนแรง แต่จะเป็นการแสดงออกในแบบที่ผมจะคอยช่วยสนับสนุนเด็กยุคใหม่ที่ออกมาเรียกร้อง” เก่งอธิบายถึงเหตุผลที่เข้าร่วมการชุมนุมในช่วงปี 2563
.
วันที่ 14 ต.ค. 2563 เขาไม่ได้รู้จักจำเลยคนอื่น ๆ ที่ร่วมคดีนี้มาก่อนเลย “เจตนาของผมในวันนั้น คือผมเข้าร่วมการชุมนุมในฐานะครูบาอาจารย์ที่คอยให้คำแนะนำเด็ก ๆ ผมไปยืนสังเกตการณ์บริเวณนั้น ๆ แต่แล้วอยู่ ๆ ก็มีรถพระที่นั่งผ่านเส้นทางการชุมนุม ผมจำได้ว่าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้ ผมมีการกระทำเพียงเท่านั้น และไม่ได้มีการกระทำอื่นใดที่เป็นการประทุษร้ายเลย”
.
หลังจากนั้นไม่นาน เขากลับบ้านที่นนทบุรี ไม่คิดว่าการไปร่วมชุมนุมและยืนดูในวันนั้น จะเปลี่ยนแปลงชีวิตไปตลอดกาล
.
ภายหลังเหตุการณ์ เก่งทราบว่ามีเพื่อนในรุ่น ปล่อยข้อมูลส่วนตัวของเก่งลงแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงรูปที่ถ่ายข้างหลังของเขาในวันเกิดเหตุ “ผมถูกใครก็ไม่รู้โทรมาหาเพื่อขู่ฆ่า ส่งข้อความ ส่ง messenger ตลอด ทั้งมีการตั้งค่าหัวของผม” ผลกระทบตามมาอย่างรุนแรง ทั้งอาการแพนิค ระแวงคน เสียความมั่นใจในการใช้ชีวิต และไม่กล้าที่จะเชื่อใจใครก็ตาม
.
ความเครียดส่งผลต่อร่างกาย เก่งเริ่มมีอาการข้ออักเสบ แพทย์วินิจฉัยว่าเขามีภาวะเครียดจึงส่งผลให้ภูมิตก ต้องเริ่มรักษาข้ออักเสบรูมาตอยด์ “ค่าใช้จ่ายของการรักษานั้นจนถึงปัจจุบันน่าจะหลักแสนแล้วครับ” เขาต้องรักษาโดยฉีดยาทุก 2 เดือน ซึ่งราคาค่อนข้างสูง และยากินหลายชนิดรวมกันสัปดาห์ละเกือบ 50 เม็ด
.
ขณะที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ไม่ค่อยดีนักยิ่งแย่ลง “ช่วงที่คุณแม่เสีย และต้องมีการจัดการมรดก ในขั้นตอนของการจัดการมรดก ก็ค่อนข้างมีความขัดแย้งกันมาก”
.
ความคิดทางการเมืองของพี่ชายคนโตตรงกันข้ามกับเก่ง ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเหลือเพียงพี่สะใภ้ “พี่สะใภ้เป็นคนที่คอยให้กำลังใจ เป็นคนเดียวที่เข้าใจผม และคอยดูแลสุนัขที่ผมรักที่สุดแทนผมในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ปัจจุบันนั้นสุนัขตัวนั้นเสียไปแล้ว”
.
เก่งยังเปรยถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่พังทลาย “ก่อนที่ผมจะถูกดำเนินคดีนั้น ผมเคยคบกับแฟนคนหนึ่ง ผมกับเขาคบกันได้ประมาณ 2 ปี แต่อยู่ ๆ ในวันที่ผมถูกดำเนินคดีนี้ ความสัมพันธ์ก็ห่างเหินกันไป ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่กว่าเดิม”
.
เก่งย้อนเล่าไปในวันเมื่อได้รับหมายเรียก ทั้งตกใจและไปปรึกษาเพื่อนซึ่งเป็นเสื้อแดง เพื่อนแนะนำทนายความวิญญัติ ชาติมนตรี ให้ และเขาต่อสู้คดีว่าไม่ได้กระทำผิดเรื่อยมา

“ผมไปตามนัดหมายทุกครั้งจนกระทั่งมีการส่งฟ้อง ขณะที่มีการส่งฟ้องคดี ผมคิดว่าอาจจะต้องติดคุก ไม่ได้ประกัน แต่สุดท้ายก็ได้รับการประกันตัวออกมา”
.
จนกระทั่งในศาลชั้นต้นก็มีคำพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา “เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า 'ยกฟ้อง' วินาทีนั้นเป็นวินาทีที่ผมรู้สึกว่าหายใจได้เต็มปอดที่สุด ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เคยต้องแบกรับกับคดีนี้มาสองสามปี สลายหายไปทั้งหมด ผมมองว่าการตัดสินคดีของศาลชั้นต้นนั้นเต็มไปด้วย 'ความยุติธรรม' ผมคิดว่าหลังจากนี้จะได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองแล้ว โดยไม่ต้องมากังวลในเรื่องของคดีอีก”
.
แต่คดีก็ไม่ได้สิ้นสุดลงเช่นนั้น และสถานการณ์หลังจากนั้น ก็ต่างจากที่เก่งคาดคิด
.

“คนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ก็ไม่มีวันที่จะรู้ความจริงหรอกครับ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”

“วันที่ทราบว่าจะมีนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ผมคิดเพียงว่าการตัดสินคงคล้าย ๆ กับศาลชั้นต้นนั่นแหละ เพราะจำเลยทั้ง 5 ไม่ได้มีการกระทำอื่นใด นอกจากยืนสังเกตการณ์เฉย ๆ”
.
วันนั้นเก่งขับรถส่วนตัวจากปากช่อง เข้ามาศาลในกรุงเทพฯ วางแผนไว้ว่าหลังฟังคำพิพากษาจะไปเที่ยวต่างประเทศในโซนยุโรปให้ครบอีก 2 ประเทศ คือสเปนและโปรตุเกส

เมื่อได้ยินผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ เก่งรับรู้ได้เลยว่าคำพิพากษาฉบับนี้มีความขัดแย้งทุกประการกับศาลชั้นต้น ก่อนเริ่มสงสัยกับคำว่า 'ความยุติธรรม' ทั้งเริ่มคำถามที่หนักหน่วงว่าประเทศนี้จะอยู่กันอย่างนี้ต่อไปจริง ๆ หรือ
.
เก่งไม่ได้เตรียมใจเท่าไรเลย เขาบอกตรง ๆ “ผมหมดหวัง และเฟลที่สุด ไม่ได้เตรียมการล่วงหน้าหลายอย่าง” บ้านที่ปากช่องที่อยู่คนเดียวนั้น ทำได้เพียงขอให้พี่สะใภ้ช่วยจัดการดูแล รถส่วนตัวที่ขับมาก็ต้องขอให้ทนายความช่วยจัดการดูแล “แพลนที่ผมวางไว้ว่าหากฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วนั้น ผมจะไปเที่ยวต่างประเทศ ก็ต้องล้มเลิกทั้งหมด”
.
ตอนนี้ที่เรือนจำกลางคลองเปรม ปัญหาเร่งด่วนคือการรักษาข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่เขาเป็นอยู่ “นับแต่เข้าเรือนจำมา ผมยังไม่ได้ทานยาเลย ผมได้แจ้งให้แพทย์ทราบ หมอแจ้งว่าให้ไปนำประวัติการรักษามา เพื่อที่จะได้มีการจ่ายยาให้”
.
เมื่อถามว่าการไม่ได้ทานยามีผลกระทบอะไรหรือไม่ เก่งตอบว่า “ยังไม่มีครับ แต่การได้รับยาโดยเร็วเพื่อรักษาอาการโดยทันที จะดีกว่ามาก”
.
“ขณะนี้ผมคิดแค่ว่าหากไม่ได้รับการประกันตัวสักที ผมคงต้องขายรถส่วนตัวคันนั้นทิ้งไป เพราะผมไม่อยากให้คนอื่นต้องคอยมาดูแลรถของผม และหากออกจากเรือนจำแล้ว ผมคงประกาศขายที่รอบข้างให้หมด คงเหลือเพียงบ้าน และหอศิลป์ของผมไว้ ผมเริ่มคิดถึงชีวิตบั้นปลายไว้แล้ว”

เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ราวกับกำลังพูดถึงชีวิตของคนอื่น ไม่ใช่ชีวิตของตัวเอง “ผมไม่มีใครให้ต้องคิดถึงหรอกครับ ผมเป็นห่วงแค่บ้าน ต้นไม้ และสุนัขจรที่ผมคอยดูแลเท่านั้น ส่วนพี่สะใภ้ผมก็รู้สึกขอบคุณที่แกให้ความช่วยเหลือเสมอ”
.
สำหรับการใช้ชีวิตในเรือนจำ “การเข้ามาอยู่ข้างใน ผมเจอคนค่อนข้างเยอะ และทุกคนหลากความคิด ต้องระวังการกระทำ และคำพูดมาก ๆ แต่ด้วยความที่ผมเป็นอินโทรเวิร์ตอยู่แล้ว ผมแค่จัดการตัวเองด้วยการไปหาที่นั่งสงบ ๆ และอยู่คนเดียว เพื่อให้ตัวเองพบเจอคนให้น้อยที่สุด ผมจะพยายามตั้งสมาธิ ใช้สิ่งที่ผมเคยศึกษาธรรมะมาแต่เด็กให้เกิดประโยชน์ครับ”
.
แต่ก็มีผลบางด้านจากสถานการณ์บีบบังคับที่เกิดขึ้น ทำให้เก่งลดกิจวัตรที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย “ตอนอยู่ข้างนอก ผมเป็นคนที่สูบบุหรี่ค่อนข้างจัดมาก ๆ เมื่อมาอยู่ในนี้ ทำให้ผมค่อย ๆ ลดสูบบุหรี่ได้ ผมคิดว่าผมออกจากเรือนจำคงได้เลิกบุหรี่ถาวร”
.
กระนั้น สิ่งที่สูญเสียไปย่อมมากกว่า เมื่องานการที่วางแผนไว้กลับไม่สามารถไปสานต่อได้ “การที่ไม่ได้ประกันตัวแบบนี้ ทำให้ผมไม่ได้สร้างสรรค์ผลงานของตนเองต่อ ส่วนรายได้อาจจะมีการกระทบบ้าง แต่ผมไม่ได้สนใจเท่าไร สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดในขณะนี้คือการได้รับประกันตัว และการมีอิสรภาพ”
.
เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากฝากออกไปสู่โลกภายนอก เก่งกล่าวว่า “การที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ออกมาในลักษณะนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าสมควรแล้วที่โดนตัดสินแบบนี้ โทษแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ มันอาจจะแล้วแต่มุมมองของคุณที่มีต่อคดีนี้
.
“แต่สำหรับผมนั้นเพียงอยากบอกให้ทุกคนทราบว่า คนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ก็ไม่มีวันที่จะรู้ความจริงหรอกครับ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยจริง ๆ” เก่งฝากทิ้งท้าย
.
.
อ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์
https://tlhr2014.com/archives/78987

https://www.facebook.com/photo?fbid=1209474387689696&set=a.656922399611567