วันศุกร์, กันยายน 12, 2568

คุยกันหาจุดร่วม ย่อมดีกว่าทะเลาะกัน ส้ม-น้ำเงิน-อิแดง เดินหน้าจัดทำ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่


iLaw
12 hours ago
·
สส.สามก๊ก เห็นพ้อง เดินหน้ารัฐธรรมนูญใหม่ ทำประชามติ 2 ครั้ง ครั้งแรกพร้อมเลือกตั้ง
.

11 กันยายน 2568 คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร นัดหมายประชุมในวาระเรื่องกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นวาระที่เกิดขึ้นหลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับที่ 9/2568 ซึ่งมีคำวินิจฉัยนอกเหนือไปจากความคาดหมาย โดยเชิญตัวแทนจากพรรคการเมืองขนาดใหญ่ทั้งพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย มาร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการเดินหน้าของทั้งสามพรรคการเมืองที่จะทำให้สำเร็จภายในกรอบเวลาของข้อตกลงที่จะยุบสภาภายใน 4 เดือน

พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.พรรคประชาชน กล่าวว่า ในวันนี้อยากเสนอให้ทุกพรรคการเมืองเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว แม้จะยังไม่มีคณะรัฐมนตรีก็อยากให้พรรคภูมิใจไทยใช้สิทธิในฐานะสส. เสนอโดยเร็ว และอยากให้ทุกพรรคการเมืองช่วยกันผลักดันให้รัฐสภาเปิดการประชุมเพื่อพิจารณาวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเร็ว ซึ่งหากพิจารณาได้เสร็จภายในสี่เดือนก็จะทำให้สามารถทำประชามติได้พร้อมกับการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ข้อกังวลที่มีอยู่ตอนนี้ คือ พรรคประชาชนได้ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15 ไว้แล้ว ซึ่งเปิดให้สสร. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด แต่หากจะต้องเปลี่ยนเรื่องที่มาของสสร. ใหม่ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนญูแล้ว สส. ที่เคยลงชื่อเสนอร่างแรกจะลงชื่อเสนอร่างใหม่ได้อย่างไร การจะถอนร่างแรกก็ต้องทำหลังมีการเปิดการประชุมแล้ว หากไม่สามารถให้สส. คนเดิมลงชื่อเสนอร่างใหม่ได้ จะเป็นอุปสรรค หวังว่าจะไม่เป็นอุปสรรคที่สส. พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยจะเสนอร่างฉบับอื่นเข้ามา

พริษฐ์ เสนอว่า จะต้องพยายามออกแบบวิธีการได้มาซึ่งผู้ร่างรัฐธรรมนูญแบบใหม่ เช่น อาจใช้โมเดลการมีสสร. ในปี 2540 เป็นตัวตั้ง แต่เปลี่ยนเป็นให้ประชาชนเลือกตั้งคนที่จะเข้ามาในบัญชีแคนดิเดตที่จะมาเป็นสสร. แล้วให้สภาลงมติเลือกสสร. ตัวจริงจากบัญชีแคนดิเดตเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้เข้าคูหาไปเลือกตัวแทน ส่วนเรื่องคำถามในการทำประชามตินั้น

พริษฐ์ ยังกล่าวถึงข้อกังวลอีกว่า ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดทำประชามติ ให้มีกรอบเวลาต้องทำประชามติภายใน 90-120 วันนับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีสั่งให้ทำประชามติ ขณะเดียวกันหากมีการยุบสภาต้องมีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45-60 วัน ซึ่งระยะเวลาเหลื่อมกันอยู่ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีต้องออกมติให้มีการทำประชามติประมาณหนึ่งเดือนล่วงหน้าเมื่อเตรียมตัวแล้วว่าจะยุบสภา เพื่อให้กรอบเวลามาซ้อนกันและสามารถทำประชามติพร้อมเลือกตั้งได้พอดี

ชลน่าน ศรีแก้ว สส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทางพรรคเพื่อไทยได้แถลงถึงแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว พรรคเพื่อไทยสรุปคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า รัฐสภาริเริ่มการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยต้องให้ประชาชนทำประชามติเสียก่อน การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องทำประชามติสามครั้ง โดยศาลรัฐธรรมนูญเขียนคำถามไว้แล้วว่า ครั้งที่หนึ่งให้ถามว่า คือ “สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” สิ่งที่ทำให้เราคลายกังวลได้เยอะ คือ การที่บอกว่า การทำประชามติครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง อาจทำรวมกันเป็นครั้งเดียวกันได้

ชลน่านขอย้ำยืนยันต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ในส่วนที่เขียนไว้ว่า "รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง" เป็นสิ่งที่เราไม่ได้เห็นด้วย เป็นคำวินิจฉัยนอกเหนือจากคำขอที่ส่งเข้าไป

พรรคเพื่อไทยยังมองว่า กระบวนการตามแนวทางของศาลรัฐธรรมนูญตอนนี้ไม่ได้ห้ามการมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จะมีสสร. ก็ได้ เพียงแต่ไม่ให้ประชาชนเลือกตั้งโดยตรง จะต้องมาออกแบบกันว่าจะมีที่มาอย่างไรให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้ ซึ่งร่างแก้ไขหมวด 15 ที่พรรคเพื่อไทยที่เสนอเข้าสู่วาระการประชุมแล้ว เขียนไว้ว่าให้สสร. มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่ได้เขียนไว้ในหลักการ ยังสามารถแก้ไขได้ เราควรพูดกันให้ชัดเจนแล้วรับหลักการไปเพื่อไปแก้ไขที่มาสสร. ในวาระต่อไป แล้วถ้าใครจะเสนอรูปแบบที่มาของสสร. แบบอื่นก็สามารถเสนอใหม่เข้ามาได้ ถ้าทำแนวทางนี้จะใช้เวลาเร็วกว่าไปถอนร่างเดิมออกแล้วเสนอร่างใหม่ สัปดาห์หน้ารัฐสภาก็สามารถเริ่มพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เลย

ชลน่าน ยังประเมินว่า เมื่อดูจากไทม์ไลน์ทางการเมืองแล้ว คาดว่าน่าจะยุบสภาปลายเดือนมกราคม 2569 และปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเมษายน 2569 จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งก็จะต้องคุยกันเรื่องการทำประชามติ และการตั้งคำถามประชามติ เห็นควรให้คณะรัฐมนตรีจัดทำประชามติพร้อมการเลือกตั้ง เพื่อประหยัดงบประมาณ และชลน่านยังเสนอด้วยว่า หากเราจะทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งจะต้องใช้บัตรสามใบ คือ บัตรเลือกตั้งสองใบ และบัตรประชามติอีกหนึ่งใบ เสนอให้ทำสถานีเลือกตั้งแยกกันทีละจุด เป็นสามจุด และให้ประชาชนที่มาใช้สิทธิรับบัตรทีละใบ หย่อนทีละกล่อง แล้วให้เจ้าหน้าที่ให้ความรู้กับประชาชนทุกๆจุด เพื่อให้เกิดความสะดวกกับผู้ลงคะแนน

ภราดร ปริศนานันทกุล สส.พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ได้หารือกับพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยแล้วเห็นตรงกันว่า รัฐสภาสามารถเริ่มการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 แล้วค่อยไปทำประชามติพร้อมกันสองเรื่อง และตอนนี้ในการทำประชามติก็เหมือนว่าศาลรัฐธรรมนูญจะกำหนดคำถามมาให้ด้วย ในทางปฏิบัติก็คงจะทำให้คำถามประชามติแตกต่างไปได้ยาก

หลังอ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแล้ว เราเชื่อเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งว่า เขาไม่อยากแก้ และเขาก็ไม่มีเจตนาที่จะให้พวกเราแก้ด้วย ดังนั้น ประเด็นไหนที่จะเป็นอุปสรรคและทำให้ขัดขวางพวกเราได้ในระหว่างดำเนินการ จึงต้องลดความเสี่ยง ถ้าหากเราเร่งรีบเท่าไรก็จะยิ่งมีความเสี่ยงให้เกิดการตีความได้ เดี๋ยวจะมีคนไปส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความอีก ซึ่งจะส่งผลให้ทำไม่เสร็จภายในสี่เดือน ภราดรจึงเสนอให้พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนถอนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ฉบับที่เคยเสนอไว้เดิมให้มีสสร. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดออกก่อน แล้วค่อยเสนอร่างฉบับใหม่

ภราดรบอกว่า ในการเดินหน้ากระบวนการข้างหน้าสามารถเปิดการประชุมรับหลักการทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระหนึ่งผ่านรัฐสภาก่อน และให้มีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขึ้นมาในระหว่างปิดสมัยประชุมหลังเดือนตุลาคมได้ และใช้เวลาระหว่างนั้นในการพูดคุยกัน ก่อนจะเดินหน้าไปสู่การทำประชามติได้

ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า ภายในสำนักงานได้มีการพูดคุยกันและเตรียมการเรื่องการทำประชามติพร้อมเลือกตั้งไว้แล้ว สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเรียกได้ว่าเป็น "งานช้าง" พอสมควรที่จะต้องมีการประชุมซักซ้อมกัน เพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้ หากจะต้องทำประชามติเป็นการใช้บัตรใบที่สามอาจจะต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่และแยกคูหา เพราะเมื่อเราเคยมีบัตรสองใบก็มีการจัดการสูงและนับคะแนนช้า แต่ถ้าหากมีบัตรสามใบและใช้คูหาเดียวกันอาจจะต้องนอนกันที่หน่วยเลือกตั้งทีเดียว ซึ่งทางกกต. จะต้องไปออกระเบียบเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติให้เกิดการเดินหน้าคู่ขนานไปพร้อมกัน และได้จัดเตรียมร่างเอาไว้แล้ว

ผู้แทนของกกต. ยังแสดงความเห็นด้วยว่า ในการทำประชามติครั้งก่อนเมื่อปี 2559 มีปัญหามากเนื่องจากมีการถามสองคำถาม และคำถามที่สองค่อนข้างยาวมาก ในครั้งนี้จึงยังเป็นห่วงว่า คำถามที่จะตั้งใครจะเป็นคนตั้ง และจะใช้คำถามอย่างไร

ปิยะนาถ รอดมุ้ย ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานพัฒนากฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เสริมข้อมูลว่า เราเคยมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญมาแล้ว ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อปี 2491 และ 2539 ในสมัยนั้นนอกจากจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดการจัดทำรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีการแก้ไขในเรื่องวิธีการประชุมร่วมของรัฐสภาด้วย ให้รัฐสภามีอำนาจในการลงมติเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงมีข้อสังเกตว่า ในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญนอกจากจะแก้ไขหมวด 15 มาตรา 256 แล้วยังอาจต้องแก้ไขมาตรา 156 เรื่องวิธีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาด้วย
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1197856439054640&set=a.625664036273886