ดังนั้น “เพื่อความสบายใจ ความชัดเจน ต่อทุกฝ่าย ในช่วงหลังประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ผมจะเดินทางไปเยี่ยมภรรยาที่ฝรั่งเศส” จะไม่ร่วมเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้แก่พรรคก้าวไกล และผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค เพื่อเขาไม่ต้องเป็น ‘เป้า’ ในการโจมตีพรรคก้าวไกล
ข้อนี้มีเหตุว่า “เวลาผมแสดงความเห็นต่อสาธารณะ คนก็ลากเข้าไปเกี่ยวกับพรรคก้าวไกล ซึ่งก็ไม่เป็นธรรมกับพรรคก้าวไกล...ต้องกังวลว่าความคิดเห็นของผมที่เผยแพร่ต่อสาธารณะ จะทำให้พรรคเสียคะแนนนิยมไป” เพราะ “ถ้าตีผมได้ พรรคก้าวไกลก็จะเสียหายไปด้วย”
ทั้งหมดนั้นน่าจะมีที่มาจากการที่เขาโพสต์ข้อความตำหนิพรรคก้าวไกล หยุดยั้งการรณรงค์ ‘แก้ไข’ กฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ทั้งที่ได้ประกาศเป็นนโยบายไปแล้ว เนื่องจากมีพรรคการเมืองหลายราย ออกมาแสดงตนคัดค้านและประกาศไม่เอาด้วย
มีแต่พรรคเสรีรวมไทยที่ยังยืนยันนโยบายแก้ไขมาตรานี้เช่นกัน ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้นแม้ทำนิ่งเฉย ก็เป็นที่รู้กันว่าจะไม่แตะต้องกฎหมายห้ามหมิ่นกษัตริย์นี้ ส่วนจะมีบทบาทคัดค้านข้อเสนอของพรรคไทยภักดีโดยหมอวรงค์ ให้เพิ่มโทษหนักขึ้นหรือไม่ ต้องลุ้นกัน
การบอกลากับพรรคก้าวไกลของปิยบุตร คงไม่มีอะไรมากไปกว่า “ผมไม่สามารถทำอะไรได้ในที่แห่งนี้” ไม่เฉพาะ ‘ข้อห้ามทางกฎหมาย’ แต่รวมถึงการไม่มีพื้นที่เปิดสำหรับเขา “ได้ใช้สมองและศักยภาพในเรื่องที่ผมถนัด”
จะเห็นว่าพรรคก้าวไกลในช่วงต่อไปนี้ ขณะเข้าด้ายเข้าเข็มสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ เน้นประเด็นปฏิรูปการบริหารงานปกครองท้องถิ่น แม้ว่าข้อเสนอปลดล็อคท้องถิ่น ซึ่ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นำรายชื่อประชาชนกว่า ๘ หมื่นคนเข้าเสนอต่อสภา ถูก ‘สว.ตู่ตั้ง’ ตีตกไป
ก็มิได้หมายความว่าจะต้องยกเลิกไปในสภาชุดใหม่ ไม่ว่าพรรคก้าวไกลจะได้ ส.ส.จำนวนมากหรือน้อยเท่าใด เชื่อว่าผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลคงอยากเห็น ส.ส.ของพรรคนี้ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น เช่นที่ทำมาในสภาชุดปัจจุบัน
มิใยที่รัฐบาลใหม่อาจมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนจัดตั้ง หรือเป็นส่วนผสมกับบางพรรคที่อยู่ในฝั่งรัฐบาลขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นพลังประชารัฐหรือภูมิใจไทย สมกับที่ปิยบุตรให้ความเชื่อมั่น “พรรคก้าวไกลเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศในช่วงหัวต่อหัวเลี้ยว”
(https://www.facebook.com/PiyabutrOfficial/posts/pfbid0sPxm)
