วันอังคาร, ธันวาคม 20, 2565

ทุกวันนี้ธุรกิจสีเทาและสีดำในประเทศไทยนั้นเฟื่องฟูเหลือเกิน


Rawit Hanutsaha
1d

เราอยากได้อนาคตแบบไหน?
.
ทุกวันนี้ธุรกิจสีเทาและสีดำในประเทศไทยนั้นเฟื่องฟูเหลือเกินครับ
.
หลายคนอาจจะบอกว่าถ้าเราไม่ได้ไปข้องแวะกับธุรกิจพวกนี้ มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับเรานี่ ปล่อยมันไปเฉยๆก็ได้
.
ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม ผมคิดว่าเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้ครับ
.
เพราะธุรกิจสีเทาและดำพวกนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตพวกเราและลูกหลานเราอย่างมาก
.
และการที่เรา ignore ไม่สนใจถึงผลของเรื่องเหล่านี้ ในที่สุดคมแหลมของความเลวร้ายของธุรกิจเหล่านี้จะกลับมาทิ่มแทงเราแน่นอน
.
คนที่ทำธุรกิจสีขาวจะเข้าใจอย่างแน่นอนว่า ธุรกิจสีขาวสุจริตนี่มันทำยาก มันเหนื่อย มันช้า มันมีข้อกำหนดที่ต้องทำตามเยอะไปหมด ต้องใช้ความสามารถ ความอดทน และความไม่ย่อท้อถึงจะสำเร็จ แต่เมื่อสำเร็จแล้วมันจะอยู่ได้นานเป็นชั่วอายุคนหรือหลายๆชั่วอายุคนด้วยซ้ำ
.
แต่ธุรกิจสีเทานั้น ทำง่ายกว่าเยอะ เงินเยอะกว่าเยอะมากๆ ความสำเร็จมาเร็ว แต่ขาลงก็ลงเร็วแบบวันเดียวหน้ามือเป็นหลังมือเช่นกัน
.
แต่ถึงกระนั้นคนก็ยังทำกันเยอะ อาจจะเพราะว่าความง่ายของเงินที่หาได้นี่แหละครับ เราจะเห็นว่าคนทำธุรกิจสีเทาหลายคน มีรถ supercar hypercar กันเป็นสิบๆคัน มีนาฬิกาเรือนละ 20 ล้านกันหลายสิบเรือน
.
ที่น่าละอายกว่านั้นคือบางคนทำธุรกิจสีเทาไม่พอ ยังอวดความร่ำรวยที่ได้มาจากเงินผิดกฏหมายของตัวเองอีก (ผมไม่ได้เหมารวมทุกคนที่มีรถหรือนาฬิกาแพงๆเยอะๆนะครับ หลายคนทำธุรกิจสีขาวสุจริตสุดๆ ก็มีได้ครับ)
.
คนเหล่านี้อาจอยู่ใกล้ตัวเรามากครับ ถ้าเรามองดูดีๆแล้วตั้งคำถามว่าเขาหาเงินได้เยอะแบบนี้จากธุรกิจบังหน้าเล็กๆนี้จริงๆเหรอ ถ้าเขาไม่ได้รวยมาอยู่แล้ว
.
หากเราไม่โกหกตัวเองมากเกินไป มันดูไม่ยากหรอกครับว่าใครทำธุรกิจสีเทาบ้าง ที่แย่ไปกว่านั้นคือบางทีทั้งๆที่รู้ กลับทำเป็นเมินเฉยก็มีได้
.
หลายท่านที่อ่านถึงตรงนี้ คงมีคำถามว่าแล้วมันเกี่ยวกับคนอื่นที่หากินสุจริตทำธุรกิจสีขาวยังไง
.
ผมคงไม่สามารถมองออกได้ทุกมุม แต่ผมจะขอมองในมุมความคิดเห็นส่วนตัวของผมก่อนละกันนะครับ
.
เรื่องที่ 1 คือเรื่องภาษีครับ
.
แน่นอนว่าธุรกิจสีเทาสีดำพวกนี้ ถ้าไม่หลีกเลี่ยงภาษีอย่างหนัก ก็ไม่เสียภาษีไปเลย ซึ่งต่างจากธุรกิจสีขาวและธุรกิจสุจริตชนทั่วไปที่เสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย
.
เมื่อมีคนไม่เสียภาษีเยอะ เงินของประเทศก็ไม่พอ ทำให้ประเทศไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีพอ ลดความสามารถในการแข่งขัน และถ้าเงินไม่พอก็ต้องไปกู้มา
.
อันนี้ผมไม่ได้พูดถึงว่าประเทศบริหารโดยรัฐบาลไหนนะครับ เพราะถ้าเขียนประเด็นนั้นคงอีกยาว แต่เอาเป็นไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน ถ้าเก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างที่ควรจะเป็น ยังไงก็ต้องมีปัญหา
.
แล้วถ้าเงินไม่พอต้องไปกู้ ถามว่าท้ายสุดแล้วใครต้องจ่ายหนี้เงินกู้นี้
.
คำตอบก็ไม่ยากเลยครับ ถ้าไม่พวกเราที่ทำธุรกิจอย่างถูกต้อง ก็เป็นลูกหลานเราแหละครับที่ต้องจ่าย
.
เรื่องที่ 2 คือ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศจากมุมของภาคเอกชนครับ
.
จริงๆข้อนี้ก็เกี่ยวโยงกับข้อแรก แต่ในคนละมุมกัน
.
ถ้าหากว่าเราเปล่อยให้ธุรกิจสีเทาเจริญเติบโตในประเทศไทยแบบตอนนี้ คนที่ทำธุรกิจสีขาวก็จะท้อใจและหมดกำลังใจครับ เพราะทำไปยังไงก็แพ้ จะเอาอะไรไปสู้กับพวกสีเทาได้ เพราะเล่นกันคนละกติกา
.
ลองคิดง่ายๆครับ ถ้าธุรกิจสีขาวของเราต้องแข่งกับธุรกิจบังหน้าของพวกสีเทาสีดำที่เปิดมาฟอกเงิน แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วครับ
.
เมื่อเป็นแบบนี้ไปนานๆ คนเก่งๆก็จะหาลู่ทางออกไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศอื่น ซึ่งตอนนี้เราก็เริ่มเห็นบ้างแล้ว ส่วนที่อยู่ในประเทศไทยก็จะเติบโตช้าหรือไม่เติบโตเลย เมื่อเป็นไปนานๆเข้าในที่สุดประเทศเราก็จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปเรื่อยๆ
.
นอกจากนั้น ข้อที่ 3 เยาวชนของเราก็ถูกทำร้ายจากธุรกิจพวกนี้เช่นกัน โดยมีหลายมุม เช่น
.
มุมที่ตัวธุรกิจสีเทาเป็นผู้กระทำ เช่น เวบพนัน ซึ่งมีเยาวชนไปเล่นเยอะมาก หลายคนหมดเนื้อหมดตัว ต้องไปขายยา ขายตัว หรือหนักกว่านั้นก็ฆ่าตัวตายซึ่งเราก็ข่าวกันอยู่เรื่อยๆ
.
เยาวชนของเราจริงอยู่ว่า เขาไปเล่นเอง แต่อย่าลืมว่าที่เราต้องมีกฏหมายปกป้องเยาวชนก็เพราะว่ากว่าสมองส่วนหน้าที่เราเรียกว่า prefrontal cortex ที่มีหน้าที่คิดเรื่องตรรกะจะเสร็จสมบูรณ์นั้นก็ต้องรอถึงอายุ 25 ปีเลยทีเดียว ดังนั้นเราจึงมีกฏหมายป้องกันพวกเขามากมาย แต่กฏหมายพวกนี้มีไว้สำหรับธุรกิจสีขาวเท่านั้น แต่สำหรับธุรกิจสีเทานั้นกฏหมายแทบจะไม่สามารถช่วยปกป้องเยาวชนอันเป็นอนาคตของชาติเหล่านี้ได้เลย เพราะเมื่อธุรกิจไม่อยู่ในระบบมันก็ไม่มีกฏหมายนั่นเองครับ
.
อีกมุมนึง ข้อที่ 4 คือเรื่องค่านิยมที่หล่อหลอมให้สังคมเรานิยมคนรวยมากกว่าคนดี คุณลองคิดดูซิครับว่า หากคนที่หาเงินจากธุรกิจผิดกฏหมายเหล่านี้ ยังสามารถกล้าอวดความรวยจากเงินผิดกฏหมายของตัวเองได้ และยังได้รับความชื่นชมจากคนในสังคมอีกต่างหาก
.
เมื่อธุรกิจสีขาวทำยากและเห็นผลช้ากว่า แน่นอนว่ามีคนส่วนนึงเห็นว่าพวกสีเทานี่ก็รำ่รวยมหาศาลและสุขสบายดี ถ้างั้นเขาไปทำบ้างดีกว่า คราวนี้วงจรอุบาทว์ก็จะเกิดขึ้นอย่างแท้จริงเลยครับ
.
ผมคิดว่าเราต้องเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราอยากให้ประเทศเต็มไปด้วยธุรกิจสีขาวหรือสีเทา เราอยากให้ลูกหลานเราโตขึ้นในสังคมแบบไหน สังคมที่สุจริตมองไปทางไหนก็เห็นแต่ธุรกิจสีขาว หรือสังคมร่ำรวมจอมปลอมที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ธุรกิจสีเทา
.
ถ้าเราอยากให้ประเทศเต็มไปด้วยธุรกิจสีขาว หน้าที่ของพวกเราคือนอกจากจะไม่สนับสนุน ไม่ข้องแวะ หรือข้องเกี่ยวกับธุรกิจพวกนี้แล้ว เรายังต้องช่วยกันทำให้ธุรกิจสีเทาหรือธุรกิจสีดำนี้ไม่มีที่ยืนในสังคมของเราด้วยครับ
.
เคยมีนิทานของชาวเชโรกีที่ผมฟังครั้งแรกก็ติดอยู่ในใจมาถึงทุกวันนี้
.
ในตอนล้อมกองไฟยามค่ำ คุณปู่ก็เล่านิทานให้หลานฟังว่า ในตัวมนุษย์ของเรานั้นมีหมาป่าสองตัวสู้กันอยู่ตลอดเวลา
.
ตัวแรกเป็นตัวแทนของความดีงามทั้งหลาย ได้แก่ ความกล้าหาญ, ความรัก, ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น, ความกตัญญู ความสงบ คุณธรรม ความซื่อสัตย์ ฯลฯ
.
ตัวที่สองเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายทั้งหลาย ได้แก่ ความโลภ, ความโกรธ, ความอาฆาต, ความเห็นแก่ตัว, ความเอารัดเอาเปรียบ ฯลฯ
.
หลานชายก็ถามปู่ด้วยความซื่อว่า “แล้วตัวไหนชนะละปู่”
.
ปู่ตอบหลานด้วยความเมตตาว่า
.
“ก็ตัวที่หลานให้อาหารมันเยอะกว่านั่นแหละ”
.
ในสังคมเราก็มีหมาป่าต่อสู้กันแบบนี้เช่นกัน และในที่สุดตัวที่ชนะก็คือตัวที่เราให้อาหารมากกว่านั้นแหละครับ