ชูวิทย์เริ่มไม่เชื่อมั่น การทำงานของบิ๊กโจ๊ก โดยตั้งข้อสังเกตุไม่ตั้งข้อหาฟอกเงินตู้ห่าว กลัวจะเป็นมวยล้มต้มคนดู ลั่น "นี่คือกระบวนการช่วยเหลือกัน ระวังให้ดี ๆพวกคุณทำอะไรผมจับตาดูอยู่"ตู้ห่าวสนิทกับใคร อย่าให้ผมเปิดนะครับ เป็นไม้ตาย ถ้าทำไม่จริง ผมพูดสั้นๆ ข้ามศพผมไปก่อน pic.twitter.com/8SsYk1HCOH
— pornthip morngyai news23 (@PorntipMorngyai) December 9, 2022
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
9h
วิ่ง สู้ ฟัด
.
ตำรวจทำคดี “ตู้ห่าว” ตั้งข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ไร้ข้อหา “ฟอกเงิน”
.
ทั้งที่ยาเสพติดเป็น “ความผิดมูลฐาน” ของการฟอกเงินโดยอัตโนมัติ
.
มันเหมือนของคู่กัน
.
แม้แต่เด็กเรียนกฎหมายปี 2 ยังรู้
.
แต่ตำรวจคงงานยุ่ง ลืมข้อหานี้ไป
.
เมื่อตำรวจไม่แจ้งข้อหาฟอกเงินนายตู้ห่าว ทำให้ “พัชรินทร์” และพรรคพวกที่เป็นตัวแทนของตู้ห่าวไม่ถูกตั้งข้อหา “สมคบกันฟอกเงิน” ไปด้วย
.
เดินเชิดหน้าพร้อมทีมทนายเข้าออกพบตำรวจทีมรองโจ๊กอย่างชิลๆ ในฐานะ “พยาน”
.
หาใช่ผู้ต้องหาไม่
.
ทั้งๆ ที่โอนเงินอินุงตุงนังพัวพันกันไปมาในบัญชี เป็นตัวแทนให้ตู้ห่าวมีหลักฐานเห็นกันจะๆ
.
ถึงแม้ว่าตู้ห่าวจะหลุดคดียาเสพติด แต่หากชี้แจงที่มาของทรัพย์สินไม่ได้ กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามาจากยาเสพติด
.
เพราะแค่ระยะเวลา 10 กว่าปี มีทรัพย์สินถึงหลายพันล้านได้อย่างไร ถ้าชี้แจงไม่ได้ ต้องตกเป็นของแผ่นดิน
.
หากมีใครไปถามตำรวจว่า ทำไมไม่ตั้งข้อหา “ฟอกเงิน”?
.
คงตอบว่ากำลังดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ จะไปรีบไม่ได้ เพราะทรัพย์สินมาก เดี๋ยวเสียรูปคดีหมด เป็นความลับในสำนวน ห้ามเปิดเผย
.
ขอให้เดาเอาแล้วกันว่า ระหว่างตำรวจกับอัยการ จะไว้ใจใครได้?
.
ผมจึงต้อง “วิ่งสู้ฟัด” ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นหน้าที่ผมเลยสักนิด
.
แต่เพื่อให้ “สังคม” รู้เท่าทัน จำเป็นต้องพูดเป็นตัวอย่างไม่ให้เกิดเรื่องเก่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
.
ถุงขนมรั่วหล่นระหว่างทาง
.
อย่าไปคิดหวังรางวัล 5% หากได้จะยกให้โรงพยาบาลทั้งหมด ไม่เก็บไว้แม้แต่บาทเดียว จำคำพูดผมไว้
.
คดีนี้มองได้ว่ามันแพ้ตั้งแต่ “รำมวย” เพราะไม่แจ้งข้อหา” ฟอกเงิน” นี่เอง
.
ส่วนเหตุของความไม่ไว้วางใจ เพราะ
.
ลำดับแรก เมื่อเกิดเหตุ ตำรวจนครบาลตั้งใจไปจับบ่อนอย่างเงียบๆ เพราะไม่เรียกสื่อไปด้วยสักคน
.
แต่กลับไม่พบบ่อน เพราะย้ายโต๊ะหนีไปก่อนเพียง 1 วัน พบคนจีนกว่า 200 คน เสพยากันเพลิน
.
จีนเจ้าของร้านไม่ตกใจ คิดว่า “อั๊วเคลียร์ได้” แต่มีตำรวจน้ำดีไม่เอาด้วย เพราะยามาก เลยรีบกดคลิปส่งให้สื่อก่อน
.
งานนี้เลยเคลียร์ไม่ได้ ตรวจฉี่ที่เกิดเหตุพบฉี่ม่วง 160 คน
.
แต่ภาพกล้องวงจรปิดในร้านถูกลบออกหมด
.
อันนี้ไม่น่าไว้ใจ ครั้งที่ 1
.
ลำดับที่ 2 เจ้าของพื้นที่ สน.ยานนาวา ตรวจฉี่ผู้ต้องหาที่โรงพัก พบฉี่ม่วงเหลือเพียง 60 คน
.
แถมปล่อยผู้ต้องหาคนสำคัญ หลานนายตู้ห่าว เดินออกไปพร้อมรถหรูของกลางอีก 4 คัน สบายใจเฉิบ
.
ไม่ไว้วางใจ ครั้งที่ 2
.
บิ๊กโจ๊กโอนสำนวนมาคุมเอง หมายจับตู้ห่าวกว่าจะออกดองไว้เกือบเดือน จนผมไปยื่นร้องที่กระทรวงยุติธรรม
.
วันรุ่งขึ้น ถึงออกหมายจับ
.
จนถึงบัดนี้สำนวนไป 90% แต่ยังไม่มีข้อหา “ฟอกเงิน”
.
ที่สำคัญ ขณะนี้เหลือผู้ต้องหาฉี่ม่วงในผับจินหลิงอยู่เพียง 6 คน
.
สู้กับคนรวยมันลำบากอย่างนี้นี่เอง
.
มงกุฎสุดยอดทรัพย์สินของตู้ห่าว คือ โรงแรม ขนาด 380 ห้อง พร้อมที่ดิน มูลค่ามหาศาล เพิ่งโดนชุด “พาลีปราบยา” ของรัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน เจ้ากระทรวงยุติธรรมไปอายัดสดๆ ร้อนๆ วันนี้
.
แต่ต้องบอกว่า แค่อายัดไว้ชั่วคราว
.
เมื่อพบกับสถานการณ์แบบที่ว่านี้ เป็นเหตุให้ผมต้องไปขอพบอัยการสูงสุดแต่เช้า เพราะถือว่า เป็น “ทนายแผ่นดิน” ผมเป็น “พลเมืองคนไทย” ย่อมมีสิทธิ์เข้าพบ
.
แต่ผมได้แค่เฝ้าหน้าลิฟต์ ไม่ได้ขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าท่านไม่ว่างพบ จะให้ผมไปยื่นเรื่องกับโฆษกฯ ถ่ายรูปแล้วเผ่น คงไม่ใช่แล้ว
.
จนรองอัยการสูงสุดถึง 2 ท่าน มาพบ
.
ผมร้องว่า คดีนี้สมควรเป็น “คดีนอกราชอาณาจักร”
.
เหตุเพราะ มียาเสพติดนำเข้ามาจากจีน มีตราประทับภาษาจีนชัดเจน มีคนแปลงสัญชาติไทยเป็นหัวหน้าขบวนการ มีเครือข่ายเป็นชาวจีนเดินทางเข้าออกประเทศอยู่เป็นประจำ และเงินทุนโอนมาจากต่างประเทศด้วย
.
จึงสมควรเป็นคดีนอกราชอาณาจักร และเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ
.
ข่าวหนาหูมาว่า “ยอมเสียแขนขวาดีกว่าเสียชีวิต”
.
เสียเงิน 500 ล้าน ดีกว่าเสียทรัพย์สิน 5,000 ล้าน
.
สงครามยังไม่จบ แม้จะเคลียร์กันหมด สามัคคีชุมนุมกันเรียบร้อย
.
แต่ยังเหลือผมที่ “วิ่งสู้ฟัด” อยู่อย่างเดียวดาย
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
1d
ตู้ห่าวรอดคุก?
.
นายตู้ห่าวโดนคดียาเสพติด 3 ข้อหา
.
สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้นสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด,
.
ร่วมกันค้ายาเสพติด
.
และร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย
.
ศาลไม่ให้ประกันตัว อยู่ในเรือนจำ
.
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น คดียังอีกยาว สู้กันถึงฎีกา
.
แต่หากหลุดชั้นอัยการ จบข่าว แตกกระเซ็นไปคนละทิศคนละทาง
.
ในคดีนี้ มีกลิ่นทะแม่งๆ โชยมาอย่างแรงตั้งแต่เริ่มต้น
.
ผู้ต้องหาเป็นผู้มีอิทธิพล และมีเงินหนา ทำกันเป็นขบวนการ
.
มีคอนเน็คชั่นสูงเกี่ยวพันถึงคนมีอำนาจ
.
ประเทศไทยนั้น จาก “ดำ” มันแปรเปลี่ยนเป็น “ขาว” ให้เห็นกันมานักต่อนักแล้ว
.
หากสำนวน “ดิ้นไปดิ้นมา” ไม่มีหลักยึดแน่นหนา จะหลุดเหมือนคดี “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่ “ศาลฎีกายกฟ้อง”
.
แล้วจำเลยกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ หันกลับมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติกันอุดตลุด
.
ตำรวจอาจเก่งเรื่อง “การสืบสวนจับกุม“ แต่ “สำนวน” ไม่แม่นยำเหมือนนักกฎหมาย
.
สำนวนจะโดนยำเละเป็น “โจ๊ก” ไปเสียฉิบตอนจบ
.
ต้นเหตุเกิดจาก “คดีจินหลิง” มียาเสพติดนำเข้าจากต่างประเทศ มีซองประทับอักษรจีน เป็น “หัวใจสำคัญ” ที่ต้องถือว่าเป็น “คดีนอกราชอาณาจักร” และเป็น “อาชญากรรมข้ามชาติ”
.
กฎหมายกำหนดให้ “อัยการสูงสุด” เป็น “หัวหน้าพนักงานสอบสวน” เพราะมีความเชี่ยวชาญกฎหมายมากกว่าตำรวจอย่าง สน.ยานนาวา
.
ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญเหมือนกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด
.
เนื่องจากเป็นคดีเกี่ยวกับ “ยาเสพติด” และมีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก เป็นคดีนอกราชอาณาจักรอัยการสูงสุดต้องมอบหมายให้ “อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน” เข้าร่วมควบคุมคดีให้สำนวนมีความรัดกุมมากขึ้น
.
ประเด็นสำคัญ คือ ต้องแจ้งข้อหา “ฟอกเงิน” กับตู้ห่าว ซึ่งทุกวันนี้ตำรวจยังไม่ได้แจ้งข้อหานี้แต่อย่างใด
.
โดยกฎหมายฟอกเงินให้อำนาจไว้อย่างล้นเหลือ เอาแค่ “หายใจก็ผิดแล้ว” หากมีมูลฐานจากยาเสพติด
.
การทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างกันแม้เพียงครั้งเดียว โดนข้อหา “สมคบกันฟอกเงิน” ทันทีเลย พระเดชพระคุณเอ๋ย!
.
ในราย “พัชรินทร์” ที่มีหลักฐานการโอนเงินไปมากับ “ตู้ห่าว” จึงเข้าข้อหา “สมคบกันฟอกเงิน” อย่างแน่แท้แช่แป้ง
.
แต่จนบัดนี้ พัชรินทร์ยังเดินเข้าเดินออกสบายใจเฉิบ ฉุยฉายพบตำรวจพร้อมทนายความ โดยตำรวจได้แต่มองตาปริบๆ ไม่ได้แจ้งข้อหา “สมคบฟอกเงิน” แต่อย่างใด
.
มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่มีในประเทศไทยเท่านั้น
.
ท่านรอง “บิ๊กโจ๊ก” ยืนยันหนักแน่นว่า
.
“เอาอยู่ เอาอยู่”
.
แต่สายจาก “อัยการอาวุโส” กระซิบลอยลมหนาวมาว่า
.
“หลุดแน่ หลุดแน่”
.
หากไม่แจ้งข้อหาตามกฎหมาย “ฟอกเงิน” ที่มีอำนาจครอบจักรวาล เป็นรอดแน่นอน
.
แม้ว่าพรุ่งนี้จะมีการสนธิกำลังระหว่าง ตำรวจ ป.ป.ส. และ “ชุดพาลีปราบยา” จากกระทรวงยุติธรรม บุกยึดอายัดทรัพย์สินที่เป็นหัวใจของตู้ห่าว คือ โรงแรมหรู ดีวาลักซ์ ขนาด เกือบ 400 ห้อง ย่านลาดกระบัง
.
แต่ผมเกรงว่าจะลงเอยแบบ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ”
.
ที่ภายหลังจำเลยหลุดคดี และหันกลับมาฟ้องแหลกหน้าแหกหมอไม่รับเย็บ
.
พรุ่งนี้ผมในฐานะ “ผู้เปิดเกมมาเฟียจีนเทา” จึงต้องเดินหน้าไปพบ “อัยการสูงสุด” ท่านนารี ตัณฑเสถียร เวลา 10 โมง
.
เพื่อให้คดีที่สังคมสนใจ ผู้ต้องหามีอิทธิพลสูง และมียาเสพติดนำเข้าจากจีน ให้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร และเป็นอาชญกรรมข้ามชาติ ตามกฎหมายทุกกระเบียดนิ้ว
.
อันจะเป็น “คดีตัวอย่าง” เพื่อให้สังคมได้เห็นถึงการต่อสู้ของคนไทยอย่างผมที่ต้องรอบจัด ทันเล่ห์เหลี่ยม อ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็น เข้าถึงหัวใจของกระบวนการกฎหมาย
.
ผมเคยย้ำยืนยันแล้วว่า “งานนี้ใครวิ่ง ใครเคลียร์ ใครไม่เอาจริง ต้องถึงกาลวิบัติไปกับผม”
.
นึกไม่ถึงว่าเรื่องมันจะยาวถึงเพียงนี้ กับการเป็น “พลเมืองดี” เพราะนอกจากให้ข้อมูลแล้ว ยังต้องต่อสู้ให้คดีอยู่ในร่องในรอย ไม่ออกนอกลู่นอกทางตั้งแต่ต้นยันจบ
.
งานนี้ “คมเฉือนคม” ใครไม่ระวัง บาดลึกทะลุหัวใจ