วันอาทิตย์, กรกฎาคม 18, 2564

ยอมรับละสิ “มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจำนวนมากไปอีกอย่างน้อย ๓-๔ เดือน” แต่ยังไม่มีใครรับผิด


“ขณะนี้คาดการณ์ว่า หากยังไม่ทำมาตรการอะไรที่เพิ่มเติมกว่านี้ จะทำให้มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจำนวนมากไปอีกอย่างน้อย ๓-๔ เดือน” เป็นข้อความเดียวที่สะท้อนความเป็นจริงในสถานการณ์ระบาดโควิด-๑๙ ในปัจจุบัน

วันที่สองของจำนวนผู้ติดเชื้อหลักหมื่น (๑๑,๓๙๗) จำนวนตายยังคงระดับร้อย (๑๐๑) ราย จึงมีราชกิจจาออกมาวันนี้ (๑๘ ก.ค.) “ยกระดับ ปรับเพิ่มเคอร์ฟิวรวม ๑๓ จังหวัด...ที่กำหนดให้เป็นเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด” โดยจะมีการตั้งด่านตรวจ

ทั้งนี้ยอมรับว่าการติดเชื้อ ‘surge’ เพิ่มสูงขึ้นเวลานี้ “ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อโรคกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลต้าที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและสุขภาพ” อ้างมุสา “แม้จะได้มีการเร่งฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่แล้วก็ตาม”

อย่างไรก็ดี ตัวอย่างในสหรัฐที่มีการระบาดระลอกใหม่โดยเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า จนนครลอส แองเจลีส ประกาศให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะใต้ชายคาอีกครั้งนี้ มีรายงานการสำรวจเบื้องต้นระบุว่า ถึงแม้เดลต้าจะติดต่อได้ว่องไว แต่ความรุนแรงไม่ได้มากกว่าเดิม

Atukkit Sawangsuk ตั้งข้อสังเกตุว่า “คำสั่งล็อกดาวน์ที่ออกมาใหม่...ไม่มีความหมายอะไรเลย...ข่าวว่าจะห้ามออกจากบ้านวันเว้นวัน เอาเข้าจริงไม่กล้าทำ...เพราะคำสั่งนี้ไม่ได้สั่งปิดกิจการอะไรเพิ่มเลย (สั่งปิดก็ต้องจ่ายชดเชยจ่ายค่าจ้างแทนบริษัทสิ)”

ท้ายที่สุดประกาศใช้ยาแรงครั้งนี้อย่างดีแค่สั่ง สั่ง สั่ง ให้ประชาชนควบคุมและระวังรักษากันเอง ห้ามออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา ๓ ทุ่มถึงตีสี่ จำกัดการเคลื่อนย้ายต่างๆ และจำกัดการขนส่งสาธารณะ จะเป็นผล “ขัดขวางไม่ให้คนไปทำงานได้สะดวก” มากกว่า

ดังนั้นข่าวเมื่อวานที่ว่า “เสนอให้ปิดกิจกรรม กิจการทุกอย่างในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ยกเว้น การขนส่งสินค้า อาหาร ยา วัคซีน สื่อสาร และสาธารณูปโภค” ก็ยังเป็นแต่เพียงข้อแนะนำ ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถทำได้จริง


นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พูดไว้แต่เมื่อวาน “ทุกท่านต้องเคร่งครัดมาตรการส่วนบุคคล และเร่งรัดการฉีดวัคซีน” เหมือนดังสักแต่ว่าพูด ในเมื่อปัญหาแท้จริงอยู่ที่วัคซีนดีๆ ไม่มีเพียงพอ แม้จะบังคับเป็นทางการแล้วให้ฉีดไขว้

แต่สูตรเข็มแรกซิโนแว็ค เข็มสองแอสตร้าเซเนก้า ใช่ว่าจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงได้อย่างหวัง ดังที่อ้างอีกว่าได้ทดสอบแล้ว แต่ไม่มีการประเมินผลทางวิชาการอย่างรูปธรรมรองรับ ได้แต่ “ขอแจ้งว่าความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกท่านเป็นปัจจัยสำคัญ”

ปัจจัยที่ทำให้ไม่สำคัญก็ยังอยู่ ไม่ว่าเรื่องซื้อเรือดำน้ำจีนอีกสองลำ ซึ่งล่าสุดยอมถอย “เรือดำน้ำจีนลำ ๒-๓...จม” ไปแล้ว ตู่และป้อม “ส่งสัญญาณเบรค ให้ชะลอเรือดำน้ำจีน ๒ ลำอีกปี เหตุโควิดฯ ยังหนัก ค้านความรู้สึกประชาชน” (Deep Blue Sea@WassanaNanuam)

หลังจากโฆษกทัพเรือออกมาอ้อน “ทำตามหน้าที่ที่เราต้องเสนอทุกปี เป็นขั้นตอนตามปกติ...ส่วนจะผ่านหรือไม่ผ่านนั้นก็ไม่เป็นไร” พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โอดด้วยว่า “ไม่ใช่เพิ่งโดน ก็โดนมาตลอด จะเลือกจากประเทศใดไหน เยอรมนี สวีเดน จีน ก็โดนโจมตี”

ยิ่งเรื่องวัคซีนในพระมหากรุณาธิคุณรัชกาลก่อน ยิ่งซ้ำ ทัวร์ลงรัฐมนตรีสาธารณสุขเต็มอ่วม เมื่อใครไม่รู้ทำเอกสารรั่วให้ อิศราออกมาตีพิมพ์ ว่าการเจรจากับแอสตร้าฯ เป็นความไม่เข้าท่าของรัฐบาลแต่ต้น เมื่อ ๗ กันยา ๖๓ บอกเขาว่าต้องการเดือนละแค่ ๓ ล้านโด๊สเซส

ทางแอสตร้าฯ สนองว่าจะส่งให้มากกว่านั้นเท่าตัว คือ ๕-๖ ล้านต่อเดือน แล้วจึงมีการเซ็นสัญญาซื้อเมื่อมกรา ๖๔ จำนวน ๒๖ ล้านโด๊สเซส กับอีก ๓๕ ล้านโด๊สเซสเมื่อเดือนพฤษภา จัดว่าไทยทำสัญญากับแอสตร้าฯ ช้าที่สุดในอาเซียน

ต่อมา อนุทิน ชาญวีรกูล มาตอบเมื่อ ๓๐ มิถุนาว่าอยากได้ ๑๐ ล้าน แต่ก็ไม่ได้มีการตกร่องปล่องชิ้นด้วยการเซ็นสัญญาซื้อแต่อย่างใด พอมีข่าวว่า “คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติขู่จะใช้อำนาจมาตรา ๑๘ จำกัดการส่งออก”

เพื่อให้ไทยได้วัคซีนจากแอสตร้าฯ ๑๐ ล้านโด๊สเซสต่อเดือน ก็เกิดเอกสารหลุดทันที ทำให้ดูเหมือนว่าความผิดทั้งหลายทั้งมวลอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข จึงมีเสียงจากพรรคไทยสร้างไทยออกมา โดยวัฒนา เมืองสุข แกนนำสำคัญ

แจงให้จะแจ้งว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบกับการแก้วิกฤตโควิดเป็นใครบ้าง คนแรกเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้กำกับเรื่องแรงงานต่างด้าว แต่เกิดไวรัสกลายพันธุ์เดลต้าเริ่มระบาดเพราะ การลักลอบเข้าเมืองของแรงงานต่างด้าว

อีกคนคือนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นประธาน ศบค. ได้รวบอำนาจจัดการโควิดไปอยู่กับตนเองหมด แล้วสั่งซื้อวัคซีนล่าช้า และ “สั่งซื้อวัคซีนซิโนแว็ค ไม่ซื้อยี่ห้ออื่นมาฉีด” แล้วยังมี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาธร ประธานกรรมการวัคซีน

ผู้ตัดสินการซื้อวัคซีนทางเลือก “ปล่อยให้โรงพยาบาลเอกชนขูดเลือดประชาชนเอากำไรสูงถึงเกินกว่า ๕๐%” วัฒนาชวนให้ทัวร์ไปลงสามคนนี้ จึงจะถูกที่ “ส่วนกระทรวงสาธารณสุขเป็นปลายน้ำ เพราะรับผิดชอบการรักษาผู้ป่วย”

เขาชี้ว่า “ต้นทาง (ต่างหากที่) ปล่อยปละละเลยให้เกิดการแพร่ระบาดจนล้นระบบ” ทั้งนายกฯ ผบ.สส. และหมอปิยะสกล ต่างหากที่ควรโดนทัวร์ลง แบบนี้ในทางการเมืองจะว่าเป็นมิตรจิตมิตรใจอันดีต่อกัน ระหว่างพรรคไทยสร้างไทยกับภูมิใจไทย ก็ได้นะ

(https://www.facebook.com/WatanaMuangsook/posts/2268969619905221, https://www.isranews.org/.../isranews/100580-ASTRAAA00.html, https://www.matichon.co.th/politics/news_2833802 และ https://www.facebook.com/thestandardth/posts/2798485090444365)