วันจันทร์, กรกฎาคม 05, 2564

เอกสารหลุดยืนยัน พวกเวชบริกรยอมรับ ‘ซิโนแวค’ ไร้ประสิทธิภาพ แล้วกีดกันไฟ้เซอร์-โมเดอร์น่า


เชี่ยไหมเนี่ย กำลังนึกอยู่ว่าเขาจะแถกันอย่างไร เรื่องเอกสารการประชุมวัคซีนไฟ้เซอร์หลุด ในเมื่อหลักฐานมันเต็มไปหมดว่าของแท้ พอเห็น อนุทิน ชาญวีรกูล แหวกไปได้น้ำขุ่นๆ ต้องตบเข่าผาง ว่าโอ้ว พวกเขาเอี้ยได้โล่ห์ จริงๆ

เสี่ยหนู “ยอมรับว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารภายใน จากการประชุมของคณะกรรมการวิชาการ” จริง ซึ่ง “เราไม่ควรที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเป็นเรื่องของวิชาการ” นี่ละเขาถึงว่า เอา รปภ.มาเป็นซีอีโอ เอาผู้รับเหมาก่อสร้างมาดูแลโรงพยาบาล มันจะบรรลัย

ตามหลักของการสร้างเสริมปัญญาน่ะนะ เรื่องวิชาการย่อมต้องถกเถียงให้หนัก จะได้ตกผลึกให้ผลที่เป็นแก่นแท้ ไม่ใช่กระพี้ แต่นี่ รมว.สาธารณสุขกลับห้ามวิจารณ์สิ่งที่ชาวบ้านรวมทั้งชุมชนแพทย์ เห็นแจ้งว่าผิดเพี้ยนและไม่เหมาะสม

หนักเข้าไปอีกกับการที่แก้ต่างอย่างตาบอดตาใสเลยว่า “ตราบใดที่ยังไม่ได้มาเป็นขั้นตอนปฏิบัติ ก็ยังไม่มีผลอะไร...ต้องมีอีกหลายขั้นตอนที่จะตกลงกันว่าจะปฏิบัติในแนวทางไหน” อย่ามามุสา ที่รัฐบาลนี้ทำมาแล้วแบบลักหลับบ่อยไป

ประชาชนรู้แกวถึงได้โวยวาย ก็ถ้าไม่มีการท้วงกันกระหึ่มขึ้น เกิดความเสียหายแล้วมิไถไปว่า น่า มันแล้วไปแล้ว หรือไร ข้อสรุปในเอกสารที่บันทึกไว้ระบุจะแจ้ง “มติที่ประชุม...เห็นชอบควรให้ฉีดวัคซีน Pfizer ที่ได้รับ” แก่ผู้สูงอายุ ๖๐ ขึ้นไป กับหญิงมีครรภ์ ๑๒ อาทิตย์


ชัดเจนว่าไม่เอาแนวคิดที่ให้แบ่งฉีดเป็นเข็มที่สามแก่หมอ พยาบาล และบุคคลากรการแพทย์ด่านหน้า ตามความเห็นของผู้ร่วมประชุมคนหนึ่ง ซึ่งต้องเป็นคนสลักสำคัญเอาการ ว่า “ถ้าเอามาฉีดกลุ่ม ๓ (ด่านหน้า) แสดงว่าเรายอมรับ

ว่า Sinovac ไม่มีผลในการป้องกัน แล้วจะแก้ตัวยากมากขึ้น” ความจริงที่เอกสารนี้หลุดออกมาบอกกับสาธารณชนอยู่ที่ “เท่ากับรับ ” ดังที่ผู้คนร้องแรกแหกกระเฌอกันมาพักใหญ่ ทว่าพวกเวชบริกรพยายามโป้ปดว่าได้ผล ๑๐๐%

นี่ต่างหากทำให้เอกสารหลุดชุดนี้มีความสำคัญต่อการที่รัฐบาลจะต้องยอมรับความผิดพลาด และ/หรือความไร้เดียงสาในการแก้ปัญหาโรคระบาดทั่วทุกคาบสมุทรครั้งนี้ แต่ไม่เคยเลยที่จะน้อมรับความผิดของตนแล้วตั้งหน้าแก้ไข

ที่ผ่านๆ มา ได้แต่ปัดสวะออกไปพ้นตัว โยนความผิดไปให้คนนั้นคนนี้ โทษรัฐบาลก่อนๆ โทษประชาชน โทษทั้งโลก แม้กระทั่งวัคซีนไฟ้เซอร์ชุดนี้ ๑.๕ ล้านโด๊สเซสที่ได้มา ก็ด้วยการบริจาคของสหรัฐ ซึ่ง ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งจะกระแนะกระแหนไปเมื่อเร็วๆ นี้

นายกฯ ไทยให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อไม่นานมานี้เองว่า ในสหรัฐมีการติดเชื้อจำนวนมากกว่าไทย ใช่สิในเมื่อประชากรต่างกันในหลัก ๖๐ ล้านกับ ๓๐๐ ล้าน แต่ถ้าวัดจำนวนผู้ติดเชื้อต่อประชากร ๑ ล้านแล้ว ไทยมีเปอร์เซ็นต์ติดเชื้อมากกว่าสหรัฐ

อีกอย่างที่ประยุทธ์เหน็บอย่างผิดๆ ว่าการตรวจหาเชื้อในสหรัฐสู้ไทยไม่ได้ เพราะไม่มีการสั่งให้รอดูผล ๓๐ นาฑีเหมือนที่ไทยทำ มันเป็นความเขลาและการเสียมารยาทอย่างยิ่ง ที่นายกฯ ไทยไปหยามหมิ่นประเทศมหาอำนาจอย่างผิดๆ เช่นนั้น

ทุกคนที่ได้รับการตรวจหาเชื้อโควิดในสหรัฐ ล้วนต้องรอดูว่าจะมีอาการแทรกซ้อนหรือไม่ เป็นเวลา ๑๕ นาฑีก่อนกลับบ้านทั้งนั้น และกับการสั่งซื้อวัคซีนโมเดอร์น่าก็เช่นกัน มีความลักลั่นจนดูเหมือนเจตนาที่จะผลักไสออกไปแต่ต้น หรือถ่วงเวลาในระยะหลังๆ

ปัจจัยหน่วงเหนี่ยวให้วัคซีนผลิตในสหรัฐชนิดนี้ ไม่สามารถเข้าไทยได้ก่อนไตรมาสที่สี่ของปีนี้ อยู่ที่รัฐบาลไม่ทำการสำรองจ่าย หรือให้งบประมาณดำเนินการ ต่างจากที่การขอซื้อวัคซีนซิโนแว็คและซิโนฟาร์ม กระทำได้

องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้จัดซื้อวัคซีนโมเดอร์น่า ตามที่โรงพยาบาลเอกชนต่างๆ แสดงความประสงค์ต้องการ โดยที่มีระเบียบว่าผู้ซื้อจะต้องจ่ายเงินเมื่อสั่งจอง องค์การเภสัชฯ อ้างว่าโรงพยาบาลเอกชนไม่ได้โอนเงินมัดจำเพื่อสั่งซือให้ทันการ

องค์การเภสัชฯ เพิ่งจะได้เริ่มกระบวนการสั่งซื้อเมื่ออาทิย์ที่แล้ว ทำใหวัคซีนโมเดอร์น่าไม่สามารถส่งให้ไทยได้ก่อนปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า โรงพยาบาลรามาธิบดีแก้ปัญหาขาดแคลนวัคซีน ด้วยการสั่งซื้อวัคซีน ทางเลือก มาใช้ในโรงพยาบาลเอง

เสริมด้วยการเปิดให้ประชาชนทั่วไปสั่งจองกันได้ เช้าวันนี้การเปิดจองทางเว็บไซท์ดำเนินไปได้ไม่ถึงสิบนาฑี ก็ปรากฏว่าจองกันเต็มหมดแล้ว ใช่ว่าเพราะราคาถูกกว่า (๑,๕๐๐ บาทต่อโด๊ส) ผ่านเอกชน (๑,๘๐๐) แต่เพราะผู้คนหวาดระแวงต่อ วัคซีนที่มี

คนจำนวนมากฉีดซิโนแว็คโด๊สแรกแล้วต้องการฉีดโมเดอร์น่าเป็นโด๊สสอง และ/หรือสาม ด้วยซ้ำไป ฉะนี้การไม่มีศรัทธาต่อวัคซีนซิโนแว็ค อาจจะแปลงเป็นความสิ้นศรัทธา รัฐบาลที่จัดการกับปัญหาการระบาดอย่างขาดประสิทธิภาพได้ ในไม่ช้า

(https://www.bbc.com/thai/thailand-57705203, https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_440772 และ https://www.facebook.com/thanapol.eawsakul/posts/4388038567929615)