วันศุกร์, กรกฎาคม 16, 2564

จับโกหกรัฐบาล ‘ซุปเปอร์ดีลวัคซีนม้าเต็ง แอสตร้าฯ’ 600 ล้าน สนับสนุน สยามไบโอไซเอนซ์



พรรคก้าวไกล - Move Forward Party
4h ·

[ จับโกหกรัฐบาล ‘ซุปเปอร์ดีลวัคซีนม้าเต็ง’ อ้างได้ ‘แอสตร้าฯ’ ก่อน ใครก็มาตัดยอดไม่ได้ จนรัฐบาลใช้ภาษีประชาชน 600 ล้านหนุน ‘สยามไบโอไซเอนซ์’ สุดท้ายพังไม่เป็นท่า ถูกเลื่อนส่งไปถึงกลางปี 65 แต่ย้อนมาดู กลับไม่พบเงื่อนไขจำกัดการส่งออกในกรอบการทำสัญญา อย่างนี้โกหกกันตั้งแต่แรกนี่นา??? ]
.
เข้าสู่ไตรมาส 3 แล้ว แต่วัคซีนยังไม่เต็มแขนประชาชน และไม่ได้มีมากล้นโรงพยาบาลจนไม่มีที่จะเก็บดังที่อนุทินได้เคยกล่าวคำลวงกลางสภาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา สิ่งที่ชวนเจ็บปวดหดหู่ไปกว่านั้นคือความไม่รู้สึกรู้สา แต่ละวันมีแต่คำแก้ตัวของรัฐบาลที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ในขณะที่ทุกวันนี้สิ่งเต็มแขนของประชาชนกลับเป็นด้ายดิบสายสิญจน์ที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาร่วงหล่นบนตราสังมัดรั้งผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ศพแล้วศพเล่า ส่วนในโรงพยาบาลเตียงก็กำลังล้นและเต็มไปด้วยผู้ป่วยหนัก
.
ประเทศที่ระบบสาธารณสุขมีความเข้มแข็งเป็นลำดับต้นของโลกอันน่าภาคภูมิใจ เดินทางมาสู่สถานการณ์ที่วิกฤตที่สุดขนาดนี้ได้อย่างไร ปฏิเสธไม่ได้ว่าแผนวัคซีนแบบ ‘แทงม้าเต็ง’ หรืออีกมุมก็คือการ ‘แทงม้าตัวเดียว’ เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่พาพวกเราเดินมาถึงจุดนี้ และในวันนี้ ‘วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ จะมา ‘จับโกหก’ ในสารพัดความสับปลับของรัฐบาลชุดนี้และรัฐมนตรีสาธารณสุข ผ่านเหตุการณ์ต่างๆที่ปรากฏและสิ่งที่ซ่อนไว้ใน ‘สัญญาวัคซีน’ ที่ถูกโฆษณาเกินจริงมาตลอดเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา
.
*** ‘วัคซีนสูตรผสม’ เพิ่มประสิทธิภาพหรือแค่แก้ปัญหา AstraZeneca มาไม่ทัน???***
.
12 กรกฎาคม 2564 - ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติเห็นชอบให้ฉีดวัคซีนโควิดสลับ 2 ชนิด เข็ม 1 เป็นวัคซีน Sinovac และเข็ม 2 เป็น AstraZeneca เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา
.
13 กรกฎาคม 2564 - ปรากฏเป็นข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการ ศบค. สั่งให้ทบทวนการฉีดวัคซีนสูตรผสม ดังกล่าว
.
14 กรกฎาคม 2564 - มีการชี้แจงเพิ่มเติมว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้สั่งระงับ แต่ให้ทุกฝ่ายรับฟังความเห็นของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติในกรณีการใช้วัคซีนสูตรผสม ซึ่งปัจจุบันยืนยันแล้วว่า รัฐบาลจะใช้วัคซีนสูตรผสมนี้ต่อไป
.
“แต่คำถามที่เกิดขึ้นในใจของประชาชนโดยทันที คือทำไมรัฐบาลไทยจึงตัดสินใจใช้วัคซีนสูตรผสมระหว่างวัคซีน Sinovac และ AstraZeneca? สำนักข่าวรอยเตอร์ ให้ข่าวว่าเป็นการตัดสินใจใช้เป็นครั้งแรกในโลก โดยที่ยังไม่มีการศึกษาวิจัยที่ทำอย่างเป็นระบบ และตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการในระดับนานาชาติที่มากเพียงพอ เมื่อเทียบเคียงกับประเทศอังกฤษ ที่ใช้วัคซีน AstraZeneca เป็นวัคซีนหลัก และมีโรงงานผลิตวัคซีน AstraZeneca เช่นเดียวกับประเทศไทย ก็ปรากฎว่าที่ประเทศอังกฤษ โดยคณะกรรมการร่วมด้านการให้วัคซีนและการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค (Joint Committee on Vaccination and Immunisation หรือ JCVI) ได้เสนอแนะต่อสำนักงานสาธารณสุขอังกฤษ (Public Health England หรือ PHE) ให้ใช้การฉีดวัคซีน AstraZeneca 2 เข็ม โดยร่นระยะเวลาเข็มที่ 2 ให้เร็วขึ้นจาก 12 สัปดาห์เป็น 8 สัปดาห์ ในการรับมือกับเชื้อสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทย ทั้งๆ ที่มีโรงงานผลิตวัคซีน AstraZeneca ตั้งอยู่ภายในประเทศเหมือนกัน”
.
พล.อ.ประยุทธ์ เคยแจ้งกับประชาชนไว้เมื่อวันที่ 17 มกราคมว่า “จะไม่ยอมให้รีบร้อนฉีดวัคซีนที่ยังทดสอบไม่ครบถ้วน และไม่ยอมเป็นประเทศทดลอง ดังนั้น เพื่อความรอบคอบ ผมจึงมีนโยบายสำคัญ คือ ต้องมั่นใจก่อนว่า วัคซีนนั้นปลอดภัย จึงจะนำมาใช้กับคนไทยได้”
.
กรณีนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในทำนองเดียวกันเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ว่า “การเอาคนไทยมาเป็นผู้ถูกทดลองวัคซีน ไม่เคยอยู่ในหัวของ รมว.สาธารณสุขคนนี้”
.
แม้ว่าจะมีเหตุผลชี้แจงว่า การใช้วัคซีนสูตรผสม Sinovac และ AstraZeneca เข็ม 2 จะใช้เวลาห่างกันเพียง 3-4 สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งเร็วกว่าการใช้ AstraZeneca ทั้ง 2 เข็ม ที่ต้องฉีดห่างกัน 8 สัปดาห์ แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า มีงานวิจัยที่มากเพียงพอหรือไม่ที่จะยืนยันว่าการฉีดวัคซีน Sinovac และ AstraZeneca ห่างกัน 3-4 สัปดาห์ จะมีประสิทธิผลต่อการรับมือเชื้อสายพันธุ์เดลต้าได้อย่างมีประสิทธิผล เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ประเทศไทยได้รับการบริจาควัคซีน AstraZeneca จากประเทศญี่ปุ่นจำนวน 1,050,000 โดส ซึ่งได้มีการรับมอบไปเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ประชาชนจำนวนไม่น้อยก็สงสัยว่า เหตุใดทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีโรงงานผลิตวัคซีน AstraZeneca ตั้งอยู่ภายในประเทศ หากรับบริจาควัคซีนยี่ห้ออื่น ก็พอเข้าใจเหตุผลได้ แต่การรับบริจาควัคซีนที่เรามีโรงงานของเราเอง ยิ่งทำให้ประชาชนสงสัยเป็นอย่างมากว่า
.
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า วัคซีน AstraZeneca ที่ผลิตในประเทศไทย จะไม่สามารถส่งมอบให้กับคนไทยได้ตามแผนการจัดหาที่รัฐบาลประกาศให้ประชาชนทราบ???”
.
*** จับสัญญาณ AstraZeneca ไม่มาตามนัด***
.
13 มิถุนายน 2564 อธิบดีกรมควบคุมโรค ออกมาให้ข่าวในทำนองว่า ตัวเลข 61 ล้านโดส ไม่ใช่ตัวเลขที่ AstraZeneca จะจัดส่งมอบวัคซีนให้กับรัฐบาลไทย แต่เป็นเพียงศักยภาพในการฉีดเท่านั้น ทำให้ประชาชนกังวลเป็นอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาแผนการจัดหาวัคซีน AstraZeneca จำนวน 61 ล้านโดส รัฐบาลได้สื่อสารให้กับประชาชนทราบในหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการสรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 20 เมษายน 2564 ที่เว็บไซต์ของรัฐบาลไทย เพจศูนย์ข้อมูล COVID-19 เพจไทยคู่ฟ้า หรือ เว็บไซต์ของสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งระบุข้อมูลตรงกันว่าในเดือนมิถุนายน 2564 จะได้รับวัคซีน AstraZeneca 6.3 ล้านโดส (6,333,000 โดส) กรกฎาคม-พฤศจิกายน เดือนละ 10 ล้านโดส และธันวาคมอีก 5 ล้านโดส รวมเป็น 61 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564
.
“ปัญหาการส่งมอบเกิดขึ้นจริงๆ เดือนมิถุนายน จากข้อมูลระบบติดตามตรวจสอบย้อนกลับโซ่ความเย็น ที่จัดทำขึ้นโดยกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) พบว่ามีการส่งมอบวัคซีน AstraZeneca เพียง 5,371,100 โดส ขาดส่งจากแผนการจัดหาวัคซีน 6,333,000 โดส อยู่ถึง 961,900 โดส ซึ่งหมายถึงชีวิตของประชาชนคนไทยเกือบ 1 ล้านคน ที่สูญเสียโอกาสในการปกป้องชีวิตของตนเองจากโรคระบาด”
.
ต่อมา วันที่ 2 กรกฎาคม 2564 ได้รับคำยืนยันจากผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติว่า ในเดือนกรกฎาคมนี้ AstraZeneca น่าจะส่งมอบวัคซีนได้เพียง 5-6 ล้านโดสต่อเดือน ไม่ถึง 10 ล้านโดส ตามแผนการจัดหาวัคซีน ทั้งๆ ที่ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อนุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎรด้วยตนเองว่า ในไตรมาสที่ 3 วัคซีน AstraZeneca จะมีเต็มโรงพยาบาล เต็มแขนพี่น้องประชาชนคนไทย มีจนไม่พอเก็บ นอกจากนี้ ในวันที่ 14 มีนาคม อนุทินก็ยังได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันอีกด้วยว่า วัคซีนหลักของประเทศไทยคือวัคซีน AstraZeneca
.
แต่ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลไทยกลับมีการสั่งหาวัคซีน Sinovac อย่างต่อเนื่องหลายระลอกทั้งที่มีและไม่มีมติ ครม. รวมๆ แล้ว 19.5 ล้านโดส ทำให้ประชาชนสับสนว่า ตกลงวัคซีนยี่ห้อไหนเป็นวัคซีนหลักกันแน่ หากวัคซีน AstraZeneca เป็นวัคซีนหลัก เหตุใดจำนวนการส่งมอบถึงได้มีน้อยกว่าวัคซีน Sinovac???
.
***จนมาวันนี้ ประกาศเลื่อนส่งครบ 61 ล้านโดสไป 6 เดือน กว่าจะมาครบจากสิ้นปี 2564 ปาไป พฤษภาคม 2565***
.
“คำถามที่ก้องอยู่ในใจของประชาชน ก็คือในเมื่อประชาชนมีความชอบธรรมที่จะได้รับวัคซีนได้ตามแผนการจัดหาวัคซีน 10 ล้านโดสต่อเดือน และรัฐมนตรีก็ได้ให้คำมั่นเอาไว้กลางสภา เหตุใดรัฐบาลจึงไม่พยายามที่จะหารือกับ AstraZeneca ในการปรับลดการส่งออกวัคซีน เพื่อให้คนไทยได้รับวัคซีนตามสิทธิที่พึงได้รับ ทำไมรัฐบาลถึงไม่รักษาผลประโยชน์ ไม่ปกป้องชีวิตของประชาชน อีกทั้งเมื่อเช้าวันนี้ วันที่ 15 กรกฎาคม ก็เพิ่งได้ทราบความจริงจากสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผ่านรายการเจาะลึกทั่วไทยฯ ว่า...
.
...วัคซีน AstraZeneca จำนวน 61 ล้านโดส ตามแผนที่ต้องส่งมอบให้ประชาชนคนไทยภายในธันวาคม 2564 ได้ถูกขยายออกไปเป็นเดือน พฤษภาคม 2565 และแจ้งด้วยว่า AstraZeneca จะส่งมอบวัคซีนให้กับรัฐบาลไทย 40% ของกำลังการผลิต ซึ่งก็คือ ราวๆ 6 ล้านโดสต่อเดือน...
.
ซึ่งก็ไม่เป็นไปตามแผนการจัดหาวัคซีนเดือนละ 10 ล้านโดส ตามที่รัฐบาลได้ให้คำมั่นเอาไว้กับประชาชนคนไทย และยังได้บอกเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ในสัญญาไม่ได้กำหนดระยะเวลาการส่งมอบ แต่อย่างไรก็ตาม โดยหลักการแล้วแม้ว่าจะไม่มีการกำหนดระยะเวลาการส่งมอบเอาไว้ในสัญญา แต่ก็ต้องระบุถึงแผนประมาณการการส่งมอบ ซึ่งไม่มีไม่ได้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลนำเอาแผนประมาณการการส่งมอบนั้น มาชี้แจงให้กับประชาชนคนไทยทราบ
.
“พรรคก้าวไกลเชื่อว่า ข้อความนี้น่าจะอยู่ในสัญญาบริเวณที่ถมดำที่ปิดบังไว้ไม่ให้ประชาชนทราบ ดังนั้นพรรคก้าวไกลขอเรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลเเละเอกสารดังกล่าวโดยเร็วที่สุด คำถามที่ยังกึกก้องอยู่ในหัวใจของประชาชนคนไทยทุกคน ในตอนนี้ ก็คือ ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายอนุทิน ชาญวีรกูล เเละนายสาธิต ปิตุเตชะ ยอมให้มีเลื่อนการจัดส่งวัคซีนได้อย่างไร และเหตุใดจึงไม่พยายามที่จะจำกัดการส่งออกวัคซีน เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้รับ ทั้งๆ ที่ คุณอนุทิน เคยบอกเอาไว้ชัดว่า “จะไม่มีวันที่คนไทยจะถูกตัดคิว ไม่มีวันที่จะมีคนมาแย่ง ไม่มีวันที่จะไม่ถึงมือคนไทย”
.
*** ข้อสังเกตใหม่ ไม่เคยมี “ไทยต้องได้ก่อน” ในสัญญา***
.
เมื่อมาตรวจสอบเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับสัญญาวัคซีน AstraZeneca ที่ได้รับมาจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ พบเรื่องที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง ในเอกสาร Letter of Intent หนังสือแสดงเจตจำนงก่อนการทำสัญญา รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยคุณอนุทิน ได้ไปลงนามเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 ย้ำว่า วันที่ 12 ตุลาคม 2563 โดยในหัวข้อที่ 1. ข้อย่อย C. ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า
.
“Agreeing to the export of the vaccine without limitations, based on the constructive discussion between MOPH and AstraZeneca แปลได้ว่า ได้ตกลงในเงื่อนไขการส่งออกวัคซีนโดยปราศจากข้อจำกัด ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการหารือกันอย่างสร้างสรรค์ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และ AstraZeneca”
.
“แม้ว่าหนังสือฉบับนี้จะไม่มีผลผูกพันกับกฎหมายเเต่เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องถามต่อพล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ และคุณอนุทิน ต้องตอบประชาชนว่า ทำไมถึงไปแสดงเจตจำนงในการทำสัญญาอย่างนั้น ไปตกลงให้มีการส่งออกโดยปราศจากข้อจำกัดได้อย่างไร แล้วเงื่อนไขการอุดหนุนงบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯ จำนวน 600 ล้านบาทให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด โดยระบุเงื่อนไขว่า “จะได้รับการส่งมอบวัคซีนเป็นอันดับแรกตามความต้องการ ที่เหลือจึงนำไปส่งออก” เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2563 นั้นไม่มีความหมายเลยหรืออย่างไร?!?
.
***ย้อนฟัง ‘อนุทิน’ เคยยืนยันหนุน ‘สยามไบโบไซเอนซ์’ ผลิต AstraZeneca วัคซีนไทยจะไม่มีวันถูกใครแย่ง?!?***
.
อนุทินเองก็เคยยืนยันเอาไว้อย่างหนักแน่น ในการชี้แจงต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า
.
“วัคซีน AstraZeneca จะไม่มีวันถูกตัดคิว ไม่มีวันถูกคนมาแย่ง ไม่มีวันที่จะไม่ถึงมือของเรา เพราะผลิตอยู่ในบ้านของเรา”
.
พอมาวันนี้ รัฐมนตรีช่วย สาธิต ปิตุเตชะ กลับบอกว่าทั้งหมดนี้ไม่มีในสัญญาแต่อย่างใด เป็นเพียงตัวเลขที่พูดคุยต่อรองกันเท่านั้น อ้าวววววว!!!???!!!!
.
/// คำถามสำคัญจึงกลับมาที่รัฐบาล ว่าทั้งหมดที่เคยป่าวประกาศกับประชาชนถึงตัวเลขจำนวนโดสและเงื่อนเวลาที่จะได้รับนั้น เป็นตัวเลขที่ฝ่ายเรามโนเองล้วนๆ ไม่มีในสัญญาหรอกหรือ??? และที่เคยพูดปกป้องดีลนี้พร้อมการสนับสนุนสยามไบโอไซเอนซ์อีก 600 ล้านบาท พร้อมกันที่ระบุในเอกสารเงินกู้ว่าไทยมีสิทธิในวัคซีนก่อนนั้น...ก็คือโกหกคำโตมาตลอด อย่างนั้นหรือ???///
.
ทั้งหมดนี้ ไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร? เพราะรัฐบาลก็เสียเครดิต ประชาชนก็ติดเชื้อตายกันวันละเป็นร้อย
.
คิดได้แค่อย่างเดียว ก็คือการชงให้บริษัทเอกชนเพียงรายเดียว ได้รับการอัปเกรดเครื่องไม้เครื่องมือโรงงานตนเอง และได้สิทธิ์รับจ้างผลิตวัคซีน ได้หน้าและได้เงินกันไปเท่านั้นหรือ?
.
นี่คือการ ‘แทงม้าตัวเดียว’ หวังว่าทุกอย่างจะดีตามที่คิด ไม่มีแผนเผื่อ ไม่กระจายความเสี่ยง เมื่อพลาดขึ้นมา กว่าจะรู้ตัว ก็บรรลัยกันแล้วทั้งชาติ
.
#ก้าวไกล #เปิดสัญญาวัคซีน #โควิด19 #วัคซีน
.....