วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 10, 2562

คสช.๒ กินบุญเศรษฐกิจมหภาคแข็ง แต่ไม่มีปัญญาแก้จุดอ่อนและปัจจัยบั่นทอน


ตู่ไปบ่นที่กองทัพบกในงานเปิดห้อง สองกบฏบวรเดชและศรีสิทธิสงคราม (ที่ถูกคณะราษฎรปราบได้ในปี ๒๕๗๖) “ตั้งแต่รับราชการมา ไม่เคยต้องโดนด่าเหมือนตอนมาเป็นนายกฯ” และยืนยันจะอยู่ตรงนี้ ไม่ยอมไปไหน

จะออดอ้อนอย่างไรกับพวกทหารด้วยกัน ก็ไม่ทำให้เหตุของการโดนด่าเหือดหายไปได้ ดูท่าแล้วว่ามันจะอยู่ติดตัวของตู่ไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ว่าเป็นผู้นำกลุ่มฉวยโอกาสทางการเมืองยึดอำนาจปกครอง แล้วใช้เวลา ๕ ปีกระชับอำนาจได้แน่นหนา

แต่ว่าไร้สมรรถภาพอย่างสิ้นเชิงในอันที่จะทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีได้ แล้วยังดึงดันจะอยู่ต่อด้วยกลเม็ดมดเท็จและวิชามารต่างๆ ทั้งดูด ทั้งโกง ทั้งกดขี่ข่มเหงฝ่ายตรงข้าม นั่งกินบนหลังประชาชน จนเป็นเหตุให้โดนด่าดังกล่าว
 
โชคดีที่ระบบการเงินของไทยยังมีเสถียรภาพพอสมควรในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา ตามการประเมินของ ไอเอ็มเอฟและ เวิร์ลด์แบ๊งค์“แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงบางจุดที่ยังไม่ปรับตัวดีขึ้น เช่น ความเปราะบางในภาคครัวเรือนที่มีภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง”

ทั้งนี้จากการแถลงของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับเลขาธิการสำนักงานกำกับหลักทรัพย์ และเลขาธิการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย เมื่อ ๗ ตุลาคมที่ผ่านมา


ความเข้มแข็ง พอประมาณทางเศรษฐกิจในระดับมหภาค จากผลพวงตกทอดของช่วงสิบปีที่แล้วนี่เองทำให้คณะทหาร คสช.ยังดึงดันที่จะครองอำนาจกันต่อไป ด้วยความร่วมมือของเทคโนแครทและเจ้าสัว นักฉวยโอกาสที่เรียกตัวว่า ประชารัฐ
 
รายงานดัชนีความสามารถทางการแข่งขัน หรือ World Economic Forum (WEF) ประจำปี ๒๕๖๒ แสดงว่าประเทศไทยได้คะแนนเพิ่มจากปีที่แล้ว ๐.๖ แต่ตกอันดับลงไปอยู่ที่ ๔๐ จากทั้งหมด ๑๔๑ ประเทศ ไม่เลวนักหรอก

ท่ามกลางอาการฝืดเคืองในการทำมาหากินของประชาชน การค้าปลีกในระดับรากหญ้า การเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนเพื่อการส่งออก ภาคบริการที่รองรับการท่องเที่ยว หนี้ครัวเรือน และเงินหมุนเวียนใช้จ่ายรายวัน ล้วนตรงข้ามกับผลประกอบการของบรรษัทยักษ์ใหญ่

ดร.วิเลิศ ภูริวัชร คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ตัวเลขรายงานของ WEF มองเห็นการชะลอตัวในประสิทธิภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทยในเวทีโลก

(อันนี้ทำให้ชาวบ้านผู้ประกอบการที่ไม่ใช่ เจ้าสัวต้องคิดหนักว่าถ้า คสช. ภายใต้จั่วหัว ตู่ ๒ยังครองอำนาจกันต่อไปอีกสี่ซ้าห้าปี มันจะชะลอไปถึงไหน จมปลักกองขยะสินค้าและผลิตผลขายไม่ออกเน่าเละ หรือว่าติดลบล้มละลาย)

เนื่องจากพบว่าจุดอ่อนของการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยมีสี่อย่าง แรกเลยคือ ขาด ทักษะเหมือนกับยกหางตนเป็น ไอทู้บ ๔.๐ แต่ปราศจากกึ๋น ปีนี้ไทยขยับลงใต้ไปอยู่อันดับ ๗๓ ปีก่อน ๖๖ รองลงไปเรื่องการแข่งขันตลาดภายในประเทศ คะแนนต่ำมากที่ ๕๓.๕

ข้อนี้น่าจะอธิบายได้ไม่ยากด้วยคำเดียว เซเว่นอะไรๆ ก็ไปอยู่ที่นั่น ตั้งแต่ ประชารัฐ ไปถึง อีอีซีตั้งแต่ ดิจิทัล ไปถึง ไฮสปีดไม่พ้น ซีพี-แท้ทรู


จุดอ่อนเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่เห็นกึ๋นของ ตู่ ๒ว่าจะแก้ไขได้อีกอย่างคือ สภาพแวดล้อมในหน่วยงานหรือ institutions ต่างๆ ปัจจุบันยังมีความโปร่งใส ไม่ดี นัก คะแนนลดลงจากปีที่แล้ว ๕๕.๑ มาอยู่ที่ ๕๔.๘ ซึ่งอธิบายด้วยภาษาพื้นบ้านได้ว่าวัฒนธรรมองค์กรยังข้น

เลยมีผลกระทบไปถึงจุดอ่อนข้อสี่ ที่ว่าความสามารถทางนวัตกรรม ‘Innovation Capability’ ของไทยดีขึ้น จาก ๔๒.๑ มาเป็น ๔๓.๙ แต่ว่าสภาพสังคมของไทย “ยังไม่สามารถพัฒนานวัตกรรมได้เอง” มีผู้ใหญ่-ผู้น้อย ห้ามล้ำหน้า อย่าดีเกิน


สรุปว่าแม้ไทยจะได้คะแนนดีขึ้นในความสามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจ แต่มีปัจจัยที่จะทำให้ด้อยลงเผชิญหน้าอยู่ ในขณะที่ความเป็นไปได้ในการมีประสิทธิภาพของรัฐบาล คสช.๒ ยังมองไม่เห็น
 
ดังนี้เมื่อศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๒ เหลือ ๒.% จากประมาณการเดิมที่ ๓.%” แม้จะอ้างว่าเป็นผลจากเศรษฐกิจโลกยังถดถอย สงครามการค้าสหรัฐ-จีน เป็นตัวการ บลา บลา บลา


แต่ว่า ‘Bottom line’ ท้ายที่สุดแล้วก็อยู่ที่ความสามารถแข่งขันและหาญสู้โดยพลังทางเศรษฐกิจไทย ที่อยู่ในกำกับของกิจการใหญ่ ซึ่ง ณ วันนี้ยังเกี่ยงให้ ประชารัฐ แบกรับความเสี่ยงเป็นหลัก (จำคำของ เจ้าสัว ธนินทร์ เจียรวนนท์ ได้นะ ๗๐-๓๐ ต่ำกว่านี้ผมไม่ทำ)

แล้วยังไม่บังเอิญเสียด้วย คนที่ครองอำนาจสืบทอดผลพวงที่ยึดแย่งเขามา ไม่รู้จะแย้งหรือหาทางออกอื่นได้อย่างไร คอยแต่กินบุญเก่าที่มีคนทำไว้เมื่อสิบปีที่แล้ว ครั้นเบื่อเต็มทนจะลงจากหลังเสือก็ไม่กล้า กลัวถูกเช็คบิลเอาคืน เพราะไปจองเวรเขาเอาไว้มาก