ประยุทธ์ไปพูดที่เมืองทองธานีเมื่อวันก่อนถึงงบประมาณปีหน้า
(๓.๒ ล้านล้าน ขาดดุล ๔๓.๖ แสนล้าน) “ถ้าไม่ผ่านคนเดือดร้อนกันทั้งประเทศ
เกษตรกรก็เดือดร้อน คงไม่ใช่ตนคนเดียว” น่าจะไม่ได้พูดพล่อยเกินไปนัก
ชาวบ้านธรรมดาย่อมเดือดร้อนอยู่แล้วไม่ว่างบประมาณจะผ่านหรือไม่
ตราบเท่าที่รัฐบาลชุดที่สองของประยุทธ์ยังคงสืบทอดอำนาจต่อไป งบประมาณไม่ผ่านจะทำให้คณะรัฐมนตรีพลังประชารัฐไปไม่เป็น
การบริหารเศรษฐกิจสับสนยิ่งกว่าเก่า
ถ้าผ่าน พวกรัฐมนตรีและเจ้าสัว
‘ประชารัฐ’ ก็จะไปคล่องดั่งตั้งใจ สังคมตกอยู่ในสภาพ ‘รวยกระจุก
จนกระจาย’ กันต่อไปยิ่งกว่าเดิม
และยืดอายุยาวขึ้นเพราะเจ้าสัวได้ป่านขดใหม่ไว้สาว
สามวันให้หลังประยุทธ์
เจ้าสัวใหญ่ประชารัฐ ธนินท์ เจียรวนนท์
ไปพูดที่อิมแพ็คฯ เหมือนกัน งานเปิดตัวหนังสือ ‘ความสำเร็จ
ดีใจได้วันเดียว’ ถึงเรื่องความเสี่ยงในการลงทุนว่า ‘ต้องคำนึง’ เพราะโลกยุค ไทยแลนด์ ๔.๐
มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
“การลงทุนในรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน
มีความเสี่ยงแต่ก็มีโอกาสสำเร็จ ถ้ารัฐบาลเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องของรัฐบาล
เป็นเรื่องเศรษฐกิจแท้ๆ ไม่ใช่เรื่องของประชาชน...
รัฐบาลต้องพร้อมร่วมรับผิดกับเอกชน
ถ้าเสี่ยงก็ต้องเสี่ยงด้วยกัน ถ้าล้มก็ต้องล้มด้วยกัน ไม่ใช่ปล่อยให้เอกชนเสี่ยง
รัฐบาลไม่เสี่ยง” เจ้าสัวธนินทร์ยังพูดถึงทฤษฎีลดความเสี่ยงของตนว่า “ถ้าบอกว่าเสี่ยง
๓๐% ได้ ๗๐% ผมทำ”
ย้อนไปอีกหนึ่งอาทิตย์ อนุทิน ชาญวีรกูล
รองนายกฯ คนที่เป็นตัวแปรสำคัญกับกลุ่มประชารัฐ
พูดถึงความล่าช้าของโครงการรถไฟเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบินว่า “เป็นหัวใจหลักของอีอีซี
สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนไทยและต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุน ถ้าไม่เกิดจะทำให้การลงทุนสะดุด”
ด้าน รมว.คมนาคม จากมุ้ง ‘ภูมิใจไทย’ น้องชายเนวินออกลูกขู่นิดๆ
เพราะตอนนั้นกลุ่มซีพียังไม่ยอมสรุปเงื่อนไขเซ็นสัญญาโครงการ “กลุ่มซีพีอาจยังมีปัญหาแหล่งเงินกู้
กับเป็นห่วงเรื่องการส่งมอบพื้นที่ที่อาจจะทำให้ก่อสร้างไม่ทันกำหนดเวลา ๕ ปี
ซึ่งการส่งมอบพื้นที่จะมอบให้ ๑๐๐%
ตามที่ต้องการไม่ได้ จะส่งมอบได้ตามความพร้อมและทยอยให้เสร็จใน ๒ ปี”
และ “ในทีโออาร์กำหนดให้เอกชนเป็นผู้รับภาระการตรวจสภาพพื้นที่ก่อสร้าง
คงไม่ใช้เวลาเคลียร์เป็นปีแล้วค่อยออกหนังสือให้เริ่มสัญญาโครงการ”
นายศักดิ์สยามเสียงแข็ง “ถ้าไม่เซ็นจะริบเงินค้ำประกัน
๒,๐๐๐ ล้านบาท ถูกขึ้นแบล็กลิสต์
และจะเรียกกลุ่ม BSR มาเจรจาทันที”
กลุ่มบีเอสอาร์นี่เป็นผู้ประมูลมาอันดับสอง ซึ่งในกลุ่มนี้มีบริษัทซีโน-ไทยของ ‘เสี่ยหนู’ เป็นพันธมิตรชิดชอบ
เจ้าสัวซีพีก็เห็นด้วยว่าถ้า ‘อีอีซี’ ไม่เกิดจะแสดงว่าไทยกำลังถดถอย และทุนต่างชาติจะย้ายไปลงที่เวียดนามกับอินโดฯ
แทน ทว่ายังยืนยัน “รัฐบาลต้องร่วมกับเอกชน เอาจุดเด่นของเอกชนมาบวกรวมกัน
มาลดจุดอ่อนของรัฐบาล แต่ TOR ไม่ใช่”
(https://www.thansettakij.com/content/411405#.XZoTaYH6SlE.twitter และ https://www.matichonweekly.com/column/article_233328)
จึงต้องย้อนไปอีกเพื่อดูภาพรวมใหญ่ เม็กกาโปรเจ็คไทยคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือบอร์ดอีอีซีที่มี พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา ที่รู้จักกันในแวดวงไอทีไทยว่า ‘I-Tube 4.0’ เป็นประธานใหญ่
นั้นได้เคาะ ‘โมเดล’ ผังเมือง ‘อีอีซี’
ออกมาแล้วสำหรับ ๓ จังหวัดภาคตะวันออก แปดริ้ว เมืองชล และระยอง เนื้อที่
๘,๒๙๐,๐๐๐ ไร่ แบ่งพื้นทีออกเป็น ๔ โซนนิ่ง สีแดง ๑ ล้าน ๖ หมื่นไร่เป็นเขตเมือง ฉะเชิงเทรา
ชลบุรี ศรีราชา แหลมฉบัง พัทยา อูตะเภา
สีม่วง ย่านอุตสาหกรรม ๔ ล้าน ๒ หมื่น
๔ พันไร่ อยู่ในชลบุรีและระยอง บางส่วนซึ่งไม่ใกล้ป่า แหล่งน้ำ และชายทะเล
ที่เหลือเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ราว ๔ ล้าน ๘ แสน ๗ หมื่นไร่ หดไปจากผังเมืองเดิมเล็กน้อย
(แค่ ๒ ล้านไร๋) เพราะตัดเอาไปเป็นเขตอุตสาหกรรมและชุมชนเมือง
เขตสุดท้ายเป็นพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรและธรรมชาติ
มี ๑ ล้าน ๖ แสน ๗ หมื่นไร่ ทั้งนี้โดยประมาณการว่าภายในปี ๒๕๘๐ พื้นที่ทั้ง ๓
จังหวัดดังกล่าว จะ “มีประชากรเพิ่มขึ้นจาก ๓ ล้านคน เป็น ๖ ล้านคน รองรับนักท่องเที่ยวได้ ๕๕.๔๗ ล้านคน”
ข้อสำคัญจะก่อให้เกิด “การจ้างงาน ๒.๗ ล้านตำแหน่งงาน ก่อให้เกิดการเติบโตของจีดีพี ๑๐ ล้านล้านบาท” ในเวลาเกือบ ๓๐ ปีนี่นะ
วัดจากกึ๋นของทีมประชารัฐที่สืบเนื่องมาจากรัฐบาล
คสช.๑ ตลอด ๕ ปีที่ผ่านมา เชื่อยากว่าควาสสำเร็จอีอีซีจะได้เท่าที่ฝัน
หากไม่ตีกลับล้มคว่ำไม่เป็นท่า ถ้าความเสี่ยงของเจ้าสัวเกิน ๓๐% นักท่องเที่ยวไม่มา นักลงทุนไม่มี
ยิ่งเมื่อดูจากสัดส่วนผังเมืองด้วยแล้วพื้นที่อยู่อาศัยในชุมชนเมือง
ด้านอสังหาริมทรัพย์คงจะ ‘บูม’ แน่ เห็นซีพีไปกว้านซื้อที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา แถวบางคล้า บางน้ำเปรี้ยวเตรียมไว้ล่วงหน้าหลายหมื่นไร่
สำหรับโครงการหมู่บ้านอยู่อาศัยและมอลขนาดใหญ่
เรื่องรถไฟไปถึงคงไม่เป็นปัญหา
ขอให้คมนาคมส่งมอบที่ดินตามสัญญาก็แล้วกัน ภายในสองปีนี่สายสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา
ไปได้แค่ต้นทางกรุงเทพฯ ถึงแปดริ้วก็โอเคเนอะ