ตัวเลขเศรษฐกิจไทยเวลานี้มีแต่ ‘เตี้ยลง ๆ’ สภาพัฒน์ฯ เผยจีดีพีไทยไตรมาสสี่ของปีนี้ ขยายเพียง ๐.๖% ก็ยังดีกว่าไตรมาสที่แล้วซึ่งติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านั้น ถึงอย่างไรยังนับว่าไม่ถึงขั้นตกอับสู่ภาวะเงินฝืด
แต่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของไทยรั้งท้ายประเทศอาเซียน ที่อัตรา ๑.๒% โดยมีเวียดนามนำลิ่วที่ ๘.๒๓% ตามด้วยมาเลเซีย ๕.๒% อินโดนีเซีย ๕.๐๔% ฟิลิปปินส์ ๔% และสิงคโปร์ ๒.๙%
ทั้งปี ๖๘ สภาพัฒน์ฯ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในระดับ ๒% ต่ำกว่าเมื่อปีที่แล้ว (๖๗) ที่โต ๒.๕% ขณะที่คาดการปี ๖๙ แนวโน้มการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ ๑.๒ ถึง ๒.๒ โดยประมาณการค่ากลางอยู่ที่ ๑.๗%
ทั้งนี้อ้างว่าสอดคล้องกับมาตรการภาษีของสหรัฐพอดี แม้นว่าสถานการณ์ที่เป็นมาก่อนหน้า ตลอด ๙ เดือนแรกของปีนี้ การลงทุนภาครัฐลดลงไปแล้วเหลือ ๕.๓% จาก ๑๐.๑% ของปีที่ผ่านมา รวมความว่าภาพลักษณ์ทางเศรษฐกิจของไทยไม่ดีเลย
ทั้งๆ ที่สถานการณ์ภายในสหรัฐ ประธานาธิบดีทรั้มพ์จำยอมระงับใช้มาตรการภาษีศุลกากรบางอย่าง เนื่องจากที่ผ่านมาก่อให้เกิดภาวะของแพง และถูกบรรษัทอุตสาหกรรมหลายแห่งบ่นว่ามาตรการของทรั้มพ์ทำให้กิจการขัดสนฝืดเคือง
ท่าทีของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ต่อปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ว่าไม่แคร์ภาษีสหรัฐ ไม่ยับยั้งชั่งใจกับนโยบายระงับข้อตกลงสันติภาพ โหมวาทกรรมคลั่งชาติ บวกกับการตามเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีน แล้วเอามาโหนเรื่องขายข้าว
มีส่วนกระทบกระทั่งไม่มากก็น้อยกับภูมิรัฐศาสตร์ทางการค้าและการลงทุน ภาพลักษณ์เศรษฐกิจในปลายปีนี้จึงยังซึมเซา และจะหงอยเหงาต่อไปในปีหน้า จิตวิทยามวลชนเป็นผลต่อความกระปี้กระเป่าทางเศรษฐกิจ และความกระตือรือล้นทางการเมืองด้วย
เหตุนี้ โพลนิด้า ๓ ภาคตั้งแต่ระหว่าง ๒๗-๓๐ ตุลา (ภาคอีสาน) ๓๐ ตุลา- ๔ พฤศจิกา (ภาคเหนือ) และ ๑๐-๑๓ พฤศจิกา (ภาคกลาง) ออกมาเหมือนๆ กัน คือ ยังไม่เห็นใครเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป และไม่มีพรรคการเมืองใดได้รับความนิยมสูงสุด
นั้นเป็นภาวะการณ์ที่เสียงของประชาชนมิได้เหนียวแน่น พอให้เกิดพลังขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าอย่างแข็งขันได้ ก่อให้เกิดการช่วงชิงอำนาจและสถานะนำ ด้วยชั้นเชิง รวมทั้งเล่ห์กลต่างๆ นานา โดยฝักฝ่ายต่างๆ เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความสมานฉันท์ในทางประชาธิปไตย

