วันศุกร์, พฤศจิกายน 14, 2568

ชาวบ้านใน จ.พระนครศรีอยุธยา ต้องใช้ชีวิตอยู่กับน้ำท่วมมาตั้งแต่เดือน พ.ค. ในขณะที่ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยา และจนถึงตอนนี้ยังไม่มีการอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่ พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร



เปิดสาเหตุน้ำท่วมหนักอยุธยา เพราะภูมิประเทศหรือบริหารผิดพลาด ?

12 พฤศจิกายน 2025
บีบีซีไทย

สถานการณ์น้ำท่วมในเขต จ.พระนครศรีอยุธยายังคงวิกฤต หลังจากต้องรับน้ำและเผชิญกับน้ำท่วมมาแล้วเป็นเวลานานมากกว่าสี่เดือน ขณะที่พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบก็ขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง จนในขณะนี้พื้นที่ 13 อำเภอ จากทั้งหมด 16 อำเภอของจังหวัดต้องจมอยู่ในน้ำท่วม

ขณะเดียวกันการประกาศปรับอัตราการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ของกรมชลประทาน จากเดิม 2,800 ลบ.ม./วินาที เป็นอัตรา 2,900 ลบ.ม./วินาที ดูเหมือนจะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ที่วิกฤตอยู่แล้วของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำด้านท้ายเขื่อนให้เลวร้ายลงไปอีก

วันนี้ (12 พ.ย.) นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ลงพื้นที่บริเวณวัดบันไดช้าง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา พบปะประชาชนพร้อมกล่าวขออภัยและยอมรับเรื่องการตัดสินใจระบายน้ำผิดพลาดซึ่งเป็นเหตุให้ชาวอยุธยาได้รับผลกระทบหนัก

"ต้องกราบขออภัยพ่อแม่พี่น้อง ที่ทำให้ต้องประสบความลำบากยากเย็น ปกติปลายเดือน ต.ค. น้ำจะไปหมดแล้ว ปีนี้ฝนก็ไม่ได้มากขึ้น แต่คงต้องแก้ปัญหาเรื่องการตัดสินใจในการระบายน้ำออกไปตามช่องทางต่าง ๆ ต้องไปแก้ไขในส่วนนี้ เพื่อไม่ให้มีความเดือดร้อนอย่างปีนี้อีก" นายกฯ กล่าว

สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริงเป็นอย่างไร บีบีซีไทยประมวลสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมกับสอบถามชาวบ้านในพื้นที่ว่า ที่ผ่านมาต้องเผชิญกับอะไรบ้าง สะท้อนการบริหารจัดการน้ำในจังหวัดที่ถือว่าเป็นทุ่งรับน้ำอย่างไร

ชาวบ้านเปิดใจ "ไปทำงานได้ แต่ก็ต้องทุลักทุเล"

แม้ชาวบ้านใน จ.พระนครศรีอยุธยา จะต้องใช้ชีวิตอยู่กับน้ำท่วมมาตั้งแต่เดือน พ.ค. ในขณะที่ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยา แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่ประสบภัยเพราะประชาชนยังอาศัยอยู่ที่บ้านเรือนได้

"ที่นี่ไม่มีการอพยพออกจากพื้นที่ เพราะว่าประชาชนเขาสามารถอยู่บ้านได้นะครับ ไม่ได้ท่วมจนไม่สามารถอยู่บ้านเรือนได้" เจ้าหน้าที่จากกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ปภ.อยุธยา) บอกกับบีบีซีไทยเมื่อวานนี้ (11 พ.ย.)

เจ้าหน้าที่รายนี้ อธิบายเพิ่มเติมว่าภาพที่ปรากฏตามสื่อที่มีชาวบ้านออกมากางเต็นท์บริเวณถนนก็เป็นไปเพื่อ "จอดรถ เก็บทรัพย์สินพวกมอเตอร์ไซค์"

ขณะที่รายการ เดอะ แอคทีฟ (The Active) ไทยพีบีเอส รายงานสถานการณ์เมื่อวานนี้ (11 พ.ย.) บริเวณที่พักชั่วคราวผู้ประสบภัยของหน่วยงานท้องถิ่น ริมถนนสายหลักของหมู่บ้าน ต.บ้านกุ่ม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ว่ามีประชาชนจำนวนหนึ่งออกมาอาศัยอยู่ที่พักชั่วคราว ซึ่งชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นบอกว่า พวกเขาไม่รู้จะย้ายไปอยู่ที่ไหน เนื่องจากระดับน้ำขึ้นสูง

"เบื่อแต่เราไม่รู้จะหนีไปอยู่ที่ไหน ก็อยู่กับบ้านเรา เรียกร้องอะไรไม่ได้" นางทองอาบ นัยรัตน ชาวบ้าน ต.บ้านกุ่ม อ.บางบาล ที่อาศัยอยู่บริเวณที่พักชั่วคราวผู้ประสบภัย บอกในรายการ เดอะ แอคทีฟ


สถานการณ์น้ำท่วมใน อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ยังคงเผชิญภาวะน้ำท่วมขังต่อเนื่องยาวนานกว่า 4 เดือน มวลน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองสาขาเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ บ้านเรือนและถนนหลายสาย

นางสาวนก (นามสมมติ) วัย 40 ปี ชาวบ้าน ต.บ้านกุ่ม อ.บางบาล บอกกับบีบีซีไทยว่า ในพื้นที่ที่เธออยู่ มีผู้สูงอายุบางส่วนอพยพออกไปอยู่บ้านญาติบ้างแล้วเพื่อความปลอดภัย แต่การใช้ชีวิตอยู่ในสถานการณ์ที่น้ำใต้ถุนบ้านสูงขนาดนี้ก็สร้างความยากลำบากให้ไม่น้อย

นางสาวนก เล่าให้ฟังถึงสภาพการใช้ชีวิตของชาวบ้านที่เธอพบเห็นว่า พวกเขาต้องเดินทางไปทำงานลำบากมากขึ้น นับตั้งแต่มีน้ำท่วมขัง และตอนนี้ระดับน้ำสูงขึ้นอีกยิ่งลำบากมากขึ้น

"ไปทำงานได้ แต่ก็ต้องทุลักทุเล กว่าจะพายเรือออกมาจากบ้าน อย่างเคยออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า ก็ต้องเผื่อเวลาต้องออกจากบ้านตีสี่ครึ่ง" นางสาวนกอธิบายและเสริมด้วยว่า บ้านของคนอื่น ๆ หลายสิบหลังที่ยกพื้นสูงกว่าสามเมตรบางหลัง ตอนนี้ "มีน้ำอยู่บนพื้นบ้านในบ้านหลายหลังแล้ว"

ขณะที่นายทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สส.พระนครศรีอยุธยา เขต 1 จากพรรคประชาชน บอกกับบีบีซีไทยว่า ปัจจุบันชาวบ้านบางส่วนในจังหวัดยังไม่อพยพออกจากบ้านเพราะเป็นห่วงทรัพย์สินของตน แต่เขามองว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐต้องเตรียมพื้นที่อพยพที่มีสิ่งความอำนวยความสะดวกให้ประชาชน

"เขาไม่อยากออกมาจากบ้านก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เดือดร้อนหากต้องอยู่กับน้ำทุกวัน ไม่ได้หมายความว่าถ้ามีจุดอพยพที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้องน้ำสะอาด โรงครัว มุ้งนอน เขาจะไม่ออกมา" นายทวิวงศ์กล่าว

ทำไมบางพื้นที่น้ำท่วมหนักไม่เท่ากัน

สส.จากพรรคประชาชนเปิดเผยว่า หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พื้นที่ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ถูกน้ำท่วมหนักในปีนี้เป็นเพราะแผนการระบายน้ำแนวดิ่ง ซึ่งคือการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยามุ่งลงสู่อ่าวไทย โดยน้ำต้องเดินทางผ่านพื้นที่ปริมณฑลและเมืองหลวง ของกรมชลประทาน และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) แต่รัฐไม่สามารถระบายน้ำเข้าปริมณฑลและเมืองหลวงได้มาก เพราะต้องกันป้องกันความเสียหาย

"เราไม่สามารถที่จะระบายน้ำเข้าปริมณฑล และเมืองหลวงได้มาก ทำให้น้ำถูกขัง ถูกชะลอไว้ที่อยุธยา...แนวทางต่อมาก็คือ สนทช. และชลประทาน เลือกเก็บเอาพื้นที่ทุ่งรับน้ำหรือพื้นที่หน่วงน้ำเป็นที่สุดท้ายว่าถ้าหากมันมีปริมาณน้ำเยอะมากจริง ๆ ถึงจะเริ่มมีการระบายเข้าสู่ทุ่งรับน้ำ" นายทวิวงศ์ อธิบาย

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่โครงการชลประทานพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า ทุ่งลุ่มต่ำเพิ่งเริ่มเปิดรับน้ำให้เข้าไปเมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา และการผันน้ำไปพื้นที่ทุ่งรับน้ำช้าก็เป็นเหตุให้ปริมาณน้ำท่วมขังในแต่ละพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา หนักหนาไม่เท่ากัน

"ทุ่งลุ่มต่ำทั้ง 6 ทุ่งในพระนครศรีอยุธยา หลักการ [การผันน้ำ] ก็คือเราเข้าไปประชาคมกับชาวบ้านเกษตรกรในทุ่ง เขาก็ให้ข้อสังเกตว่าจะเริ่มปล่อยน้ำได้ก็ต่อเมื่อเกษตรกรในพื้นที่เก็บเกี่ยวแล้วเสร็จทั้งหมด มันเลยเป็นโจทย์ว่าทำไมถึงเอา [น้ำ] เข้าช้า เพราะมันมีบางพื้นที่ที่ยังเก็บเกี่ยวไม่เสร็จ" เจ้าหน้าที่รายนี้กล่าว พร้อมเสริมด้วยว่า ปัจจุบันพื้นที่ทุ่งลุ่มต่ำก็ถูกน้ำท่วมเช่นกัน แต่ "อาจจะไม่นานเท่าริมน้ำ เพราะริมน้ำคือเขาได้รับผลกระทบมาตั้งแต่ช่วง พ.ค. และ มิ.ย."

ด้านเจ้าหน้าที่จาก ปภ.อยุธยา ยืนยันกับบีบีซีไทยว่า ปัจจุบันมีการระบายน้ำออกไปตามพื้นที่ลุ่มต่ำแล้ว โดยทุ่งที่รับน้ำไปมากที่สุดคือ ทุ่งบริเวณ อ.เสนา, อ.บางบาล, และ อ.ผักไห่


สถานการณ์น้ำท่วมที่วัดเชิงท่า อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา หลังน้ำในแม่น้ำน้อยเอ่อเข้าท่วมจนเต็มพื้นที่ สูงประมาณ 1 เมตร เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2568

สส.พระนครศรีอยุธยา เขต 1 จากพรรคประชาชน บอกว่าการเปิดประตูระบายน้ำไปยังพื้นที่ทุ่งลุ่มต่ำช้าก็ยิ่งทำให้บ้านเรือนบริเวณริมน้ำได้รับความเสียหายมาก

"เขาจะพิจารณาการระบายน้ำเข้าทุ่ง ก็ต่อเมื่อที่การระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาเริ่มต้นที่ 2,500 ลบ.ม./วินาที เป็นต้นไป ซึ่ง 2,500 [ลบ.ม./วินาที] ก็ต้องบอกเลยว่าประชาชนใน อ.เสนา อ.บางบาล อ.ผักไห่ จะได้รับผลกระทบมาแล้วอย่างน้อย ๆ หนึ่งเดือนถึงสองเดือน" นายทวิวงศ์บอก

บีบีซีไทยสรุปสาเหตุสำคัญสองประการจากคำให้สัมภาษณ์กับนายทวิวงศ์ ว่าเพราะเหตุใดทางการจึงเก็บพื้นที่ทุ่งลุ่มต่ำ ใน จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพื้นที่รับน้ำที่สุดท้าย ดังนี้
  • ทางระบายน้ำเข้าไปสู่ทุ่งรับน้ำ เช่น ท่อลอด หรือประตูน้ำต่าง ๆ มีน้อย ทำให้ภาครัฐไม่สามารถควบคุมน้ำได้ ถ้าระบายน้ำเข้าสู่ทุ่งรับน้ำ
  • รัฐบาลไม่มีมาตรการเยียวยาเกษตรกรที่ไร่นาถูกระบายน้ำเข้าไป ดังนั้น ค่าใช้จ่ายสูบน้ำออกจึงตกเป็นภาระของเกษตรกร
นางสาวนกให้ความเห็นต่อประเด็นนี้ว่า จากการทำประชาคม ซึ่งเป็นการพูดคุยกันของชาวบ้านแต่ละฝ่ายไปแล้ว ชาวบ้านเจ้าของพื้นที่ลุ่มต่ำบอกว่า การเปิดประตูระบายน้ำจะทำให้พื้นที่ของพวกเขาเสียหาย แต่เธอกลับมองว่า นั่นเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เพราะชาวบ้านพื้นที่อื่น ๆ ในจังหวัดก็ได้รับความเสียหายมากเช่นกัน

"อย่างพื้นที่รับน้ำในทุ่ง เวลาเราจะให้ปล่อยน้ำ เหมือนประตูน้ำบางทุ่งที่ต้องให้เราไปยืนประท้วงขอให้เขาเปิด เขาก็อ้างสิทธิ์ว่าระดับน้ำในทุ่งจะต้องมีระดับน้ำที่ 3.5 เมตร เท่านั้น รับน้ำได้แค่นั้น แต่ความเป็นจริงจะไปวัดอย่างนั้นก็ไม่ถูก เพราะคุณต้องดูสถานการณ์ปัจจุบัน" เธอกล่าว

"เขาก็พูดแต่ว่า [พื้นที่] ของเขากำลังจะได้รับความเสียหายจากน้ำแล้ว ก็เลยบอกว่าต้องมาดูพื้นที่ของเราด้วยว่าตอนนี้พื้นที่ของเราเป็นยังไงบ้าง" เธอกล่าวเสริม

ผลกระทบน้ำท่วมกินวงกว้างแค่ไหน

เจ้าหน้าที่จาก ปภ.อยุธยา ระบุกับบีบีซีไทยเมื่อวานนี้ (11 พ.ย.) ว่า ปัจจุบันพื้นที่ 13 อำเภอ จากทั้งหมด 16 อำเภอของจังหวัดต้องจมอยู่ในน้ำท่วม โดยพื้นที่ประสบภัยน้ำ ล่าสุดกินพื้นที่รวม 162 ตำบล, 920 หมู่บ้าน และ 55 ชุมชน และมีประชาชนได้รับผลกระทบราว 58,000-59,000 ราย

ขณะที่ข้อมูลล่าสุดวันนี้ (12 พ.ย.) จากศูนย์ข้อมูลน้ำระดับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แสดงระดับน้ำใน 21 สถานีวัดระดับน้ำในจังหวัด บริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ว่ามีน้ำล้นตลิ่งแล้ว 13 สถานี ขณะที่อีก 8 สถานีมีปริมาณน้ำมาก

พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ที่มีน้ำล้นตลิ่งสูงที่สุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย
  • สะพานหัวเวียง ต.หัวเวียง อ.เสนา: น้ำล้นตลิ่ง 3.04 ม.
  • บ้านบางหลวงโดด ต.บางหลวงโดด อ.บางบาล: น้ำล้นตลิ่ง 2.73 ม.
  • คลองบางหลวง ต.บางหลวงโดด อ.บางบาล: น้ำล้นตลิ่ง 2.68 ม.

พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ที่มีปริมาณน้ำมาก แต่มีน้ำต่ำกว่าตลิ่งมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ
  • สถานีท่าเรือ ต.ท่าเรือ อ.ท่าเรือ: น้ำต่ำกว่าตลิ่ง 1.79 ม.
  • ปตร.ลาดชิด (ทุ่งผักไห่) ต.จักราช อ.ผักไห่: น้ำต่ำกว่าตลิ่ง 0.90 ม.
  • ปตร.ลาดชะโด (ทุ่งผักไห่) ต.อมฤต อ.ผักไห่: น้ำต่ำกว่าตลิ่ง 0.77 ม.
สถานการณ์น้ำท่วมใน อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ยังคงเผชิญภาวะน้ำท่วมขังต่อเนื่องยาวนานกว่า 4 เดือน โดยระดับน้ำยังไม่ลดลง สาเหตุหลักมาจากการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2568

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่โครงการชลประทานพระนครศรีอยุธยา ยืนยันกับบีบีซีไทยเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ว่าพื้นที่ทุ่งผักไห่ มีน้ำท่วมเต็มบริเวณแล้ว

จากการที่เขื่อนเจ้าพระยาได้มีการทยอยปรับปริมาณการระบายน้ำออกจากเขื่อนมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยนี้จึงทำให้ชุมชนในพื้นที่ริมแม่น้ำใน จ.พระนครศรีอยุธยาและจังหวัดอื่น ๆ ได้รับผลกระทบ

บีบีซีสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่โครงการชลประทานพระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่รายหนึ่งให้ข้อมูลว่า หากเพียงเขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำมากเกิน 700 ลบ.ม./วินาที ชุมชนแถวริมน้ำในจังหวัดก็จะได้รับผลกระทบแล้ว

แต่เมื่อย้อนดูสถิติการปล่อยน้ำของกรมชลประทาน บีบีซีไทยพบว่ามีการปล่อยน้ำสูงถึง 2,000 ลบ.ม./วินาที มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ก.ย. โดยมีการปรับขึ้นและลงเป็นบางช่วง
  • เดือน ก.ย. ปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา เป็นอัตรา 2,000 - 2,200 ลบ.ม./วินาที
  • เดือน ต.ค. ปรับเพิ่ม-ลด การระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา เป็นอัตรา 2,400 - 2,100 ลบ.ม./วินาที
  • เดือน พ.ย. ปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา เป็นอัตรา 2,400 - 2,900 ลบ.ม./วินาที
สถานการณ์จะคลี่คลายลงเมื่อไหร่ ?

เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยภายหลังการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำว่า การระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาในอัตราสูงสุดที่ 2,900 ลบ.ม./วินาที จะดำเนินการต่อเนื่องประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนจะปรับลดเหลือประมาณ 1,000 ลบ.ม./วินาที ในเดือน ธ.ค. และปรับเข้าสู่ระดับปกติราว 700 ลบ.ม./วินาที ในเดือน ม.ค.

นอกจากนี้ กรมชลประทาน มีการจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำเร่งระบายน้ำตอนปลายลุ่มน้ำเจ้าพระยา ออกสู่อ่าวไทยที่ จ.สมุทรปราการ จ.ฉะเชิงเทรา ตลอดจนจะระบายน้ำเข้าคลองบางสายของ กทม. ในอัตราที่เหมาะสม

ร้อยเอกธรรมนัสบอกด้วยว่าจะเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีเพื่อเตรียมมาตรการเยียวยาเป็นพิเศษให้แก่เกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำที่ได้รับผลกระทบยาวนานจากน้ำท่วมต่อไป


ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์และแนวทางการบริหารจัดการน้ำ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 68

ด้านเจ้าหน้าที่โครงการชลประทานพระนครศรีอยุธยา บอกกับบีบีซีไทยว่าจะมีการรับน้ำเพิ่มในทางฝั่งคลองชัยนาท-อยุธยา และมีการเร่งสูบน้ำออกทะเลเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นการบรรเทาสถานการณ์น้ำท่วมใน จ.พระนครศรีอยุธยา

"ตอนนี้ต้องเร่งสูบออกอย่างเร็วเลย เพราะว่ามันเต็มทุกพื้นที่แล้ว มันไม่รู้จะเบี่ยงซ้ายขวายังไงแล้ว ต้องเร่งเอาออก" เขาอธิบาย

"จากการคาดการณ์ของกรมชลประทานกับ สทนช. ระบุว่า สัปดาห์หน้าสถานการณ์น่าจะเริ่มคลี่คลายลงแล้ว เพราะว่าปัจจุบันความกดอากาศลดลงมากแล้ว ทำให้ฝนจะตกไม่ค่อยหนักแล้ว...พอฝนหมดวันที่ 13 หรือ 14 พ.ย. เป็นต้นไป ก็คิดว่าระดับน้ำน่าจะลงเรื่อย ๆ ประกอบกับน้ำทะเลหนุนก็ลดลงแล้วตอนนี้" เขากล่าว

ขณะที่นายทวิวงศ์คาดว่า สถานการณ์ในพื้นที่น่าจะคลี่คลายลงในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า แต่ก็ไม่ตัดทิ้งความเป็นไปได้ของการเกิด "น้ำท่วมข้ามปี"

"สถานการณ์น่าจะคลี่คลายลงช่วงสิ้นเดือน พ.ย. เพราะว่าระดับน้ำจากเขื่อนที่เริ่มระบายมาในตอนนี้มากแล้ว น่าจะค่อย ๆ ลดระดับการระบายลงเรื่อย ๆ ช่วงสิ้นเดือน พ.ย. จนถึงต้นเดือนธ.ค. แต่ว่าก็มีโอกาส และเป็นสิ่งที่น่ากังวลสูงสุดคือ น้ำท่วมข้ามปีไปถึงเดือน ธ.ค. [หากระบายน้ำไม่ทันกาล]" นายทวิวงศ์ กล่าวทิ้งทาย

https://www.bbc.com/thai/articles/c98n21ldgddo