
...
Phil Saengkrai
15 hours ago
·
เหตุผลที่ไม่ควรทำประชามติเรื่อง MOU43 และ MOU44
MOU ทั้งสองฉบับไม่ใช่เรื่องการบริหารจัดการชายแดนโดยทั่วไป แต่เป็นเรื่องทางเทคนิคมาก
- MOU43 เป็นเรื่องการสำรวจและทำหลักเขตแดนทางบก
- MOU44 เป็นเรื่องการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลและยกร่างความตกลงเพื่อใช้ทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันสองประเทศ
ดังนั้น จึงต้องอาศัยความรู้ทางเทคนิค ในมิติกฎหมายระหว่างประเทศ วิศวกรรมสำรวจ การทำแผนที่ มิติอุทกศาสตร์ ภูมิศาสตร์พลังงาน และเทคนิคการสู้คดีในศาลระหว่างประเทศ การจะคาดหมายให้ประชาชนทั่วไปมาใช้เวลาทำความเข้าใจข้อมูลในเรื่องเหล่านี้เป็นไปได้ยากมาก แม้แต่นักกฎหมายเองยังพลาดในรายละเอียดทางเทคนิคเหล่านี้
แต่ผมคิดว่า มีเหตุผลที่สำคัญกว่าปัญหาเรื่องความรู้ทางเทคนิคอีก 2 ข้อ
วันนี้ มีผลโพลว่าประชาชนไม่เข้าใจ MOU (จริงๆ NIDA เคยทำตั้งแต่ปีที่แล้ว) แต่ทางแก้ปัญหาไม่ได้อยู่ว่า ก็แค่เอาข้อมุลมาให้ประชาชนเข้าใจ
แน่นอนว่า มีประชาชน/ผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่น้อยที่มีความสนใจ ความห่วงใยและมีสติปัญญามากพอที่จะศึกษาเรื่อง MOU แต่แม้ว่าอยากจะศึกษาทำความเข้าใจแค่ไหน ก็ยังต้องเจอข้อจำกัดในด้านการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นอยู่ดี
ในภาพนี้ เป็นข้อความจากหนังสือพระราชทานเพลิงศพของพลเรือเอกถนอม เจริญลาภ ซึ่งเป็นปูชนียบุคคลสำคัญในด้านเขตแดนทางทะเลของไทย เป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคในการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมสนธิสัญญากฎหมายทะเล เป็นครูบาจารย์สอนกฎหมายทะเลและเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ท่านถนอมได้เขียนหนังสือชุดใหญ่ไว้เกี่ยวกับเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่ทรงคุณค่ามาก แต่ไม่สามารถเผยแพร่เป็นการทั่วไป เพราะข้อมูลจำนวนมากอยู่ในชั้นความลับ
หมายความว่า เราไม่มีทางจัดเวทีสาธารณะ เพื่ออธิบาย หรือถกเถียงข้อดีข้อเสียของ MOU อย่างเต็มที่ได้เลย เนื่องจากข้อมูลจำนวนมากเป็นความลับราชการ
ยังมีประเด็นอีกว่า ทั้งสองประเทศยังดำเนินการเจรจากันอยู่ หากให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยมาอธิบายก็จะอธิบายได้แค่เพียง "ท่าทีการเจรจา" ที่ไทยใช้กับกัมพูชาเท่านั้น คงไม่สามารถมาอธิบายเป็นการสาธารณะได้ว่า ท่าทีไทยจะได้เปรียบในจุดไหน หรือฝ่ายไทยจะยอมกัมพูชาในจุดใดได้บ้าง ซึ่งก็เป็นสภาพของการเจรจาโดยทั่วไป
ดังนั้น ในการออกเสียงประชามติ ประชาชนจะได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ไม่ครบถ้วน ขาดข้อมูลสำคัญๆ รวมถึง ข้อมูลบางส่วนที่ระบุว่าฝ่ายไทยได้เปรียบอย่างไรบ้าง
เหตุผลอีกข้อหนึ่งซึ่งส่วนตัวคิดว่าสำคัญที่สุด คือ งานวิชาการที่ศึกษาเรื่องการทำเขตแดนทั้งทางบกและทะเลได้สรุปบทเรียนข้อหนึ่งจากกรณีศึกษาของหลายๆ ประเทศว่า หากอยากจะทำเส้นเขตแดนให้ประสบความสำเร็จ จะต้อง "depoliticise" ประเด็นเรื่องเขตแดน
หมายความว่า เราต้องเอาปัจจัยต่างๆ ในทางการเมืองของฝ่ายการเมืองออกจากเรื่องนี้ให้ได้ แล้วปล่อยให้เป็นเรื่องกฎหมายและเรื่องเทคนิค
การทำเรื่องเขตแดนให้สำเร็จเสร็จสิ้นควรจะเป็นการเรื่องแสวงหาผลประโยชน์ของชาติในกรอบหลักวิชาที่เกี่ยวข้อง และเป็นเรื่องที่ทำร่วมกันจนเจ้าหน้าที่ของประเทศที่เกี่ยวข้องรู้สึกว่าทุกฝ่ายสามารถ "รับได้" กระบวนการก็จะสิ้นสุดหยุดลง ณ จุดนั้น
หากท่าทีหนึ่งๆ ซึ่งควรจะเป็นท่าทีโดยรวมของประเทศถูกนำไปโยงกับพรรคการเมืองหนึ่งซึ่งเป็นรัฐบาล (หรือฝ่ายค้าน) เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล ท่าทีของประเทศก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับว่าพรรคไหนจะเป็นรัฐบาล หากเป็นเช่นนี้ ไม่มีทางเจรจาได้สำเร็จโดยเร็ว
ในแง่นี้ ผมจึงเสนอมาตลอดว่า เรื่องเขตแดน (และเรื่องความมั่นคงพื้นที่ชายแดน) ควรจะเป็นเรื่อง non-partisan
แต่ขณะนี้ เรื่อง MOU ทั้งสองฉบับเริ่มกลายเป็นเรื่องทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองไปเสียแล้ว ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง (จริงๆ ก็เคยเป็นมาแล้วช่วงคดีพระวิหารเมื่อสิบกว่าก่อน) หากเดินหน้าทำประชามติต่อ กระแสการเมืองนี้ก็ยิ่งจะชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นอุปสรรคต่อการเจรจาทั้งทางบก และทางทะเล
สุดท้าย หากผลประชามติออกมาว่าประชาชนต้องการให้ยกเลิก อาจจะมีปัญหาทางกฎหมายระหว่างประเทศว่า ไทยจะยกเลิกได้หรือไม่ และจะเกิดปัญหาตามมาอย่างไร โดยเฉพาะในทางคดี และจะป้องกันล่วงหน้าอย่างไร ซึ่งจะได้อธิบายต่อไป
คำถามถัดมาคือ ถ้าไม่ทำประชามติ แล้วจะทำอะไร
ผมเสนอว่า เสียงประชาชนเป็นสิ่งสำคัญแน่นอน และเคล็ดลับความสำเร็จเรื่องเขตแดนอีกข้อหนึ่งจากงานวิชาการ คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนในกระบวนการ ดังนั้น เราก็ควรจะจัดเวทีให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ข้อกังวล ปัญหา และหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป
ถ้าเช่นนั้น เราไม่ทำ "ประชามติ" แต่ว่าทำเป็น "ประชาพิจารณ์" ได้ไหม
เท่าที่ได้ฟังมาบ้าง ผมคิดว่า ปัญหาหลายๆ อย่างที่ภาคประชาชนเสนอขึ้นมาเป็นปัญหาที่แก้ได้ในระดับ "การตีความ" หรืออาจจะขอเจรจาแก้ไขบางมาตรา แต่ไม่มีความจำเป็นต้องไปยกเลิกสนธิสัญญาแล้วจึงเริ่มเจรจาใหม่ ซึ่งเดี๋ยวได้เล่าให้ฟังต่อไป

https://www.facebook.com/photo?fbid=10165813651684989&set=a.143967509988
·


- MOU43 เป็นเรื่องการสำรวจและทำหลักเขตแดนทางบก
- MOU44 เป็นเรื่องการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลและยกร่างความตกลงเพื่อใช้ทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันสองประเทศ
ดังนั้น จึงต้องอาศัยความรู้ทางเทคนิค ในมิติกฎหมายระหว่างประเทศ วิศวกรรมสำรวจ การทำแผนที่ มิติอุทกศาสตร์ ภูมิศาสตร์พลังงาน และเทคนิคการสู้คดีในศาลระหว่างประเทศ การจะคาดหมายให้ประชาชนทั่วไปมาใช้เวลาทำความเข้าใจข้อมูลในเรื่องเหล่านี้เป็นไปได้ยากมาก แม้แต่นักกฎหมายเองยังพลาดในรายละเอียดทางเทคนิคเหล่านี้
แต่ผมคิดว่า มีเหตุผลที่สำคัญกว่าปัญหาเรื่องความรู้ทางเทคนิคอีก 2 ข้อ
วันนี้ มีผลโพลว่าประชาชนไม่เข้าใจ MOU (จริงๆ NIDA เคยทำตั้งแต่ปีที่แล้ว) แต่ทางแก้ปัญหาไม่ได้อยู่ว่า ก็แค่เอาข้อมุลมาให้ประชาชนเข้าใจ

ในภาพนี้ เป็นข้อความจากหนังสือพระราชทานเพลิงศพของพลเรือเอกถนอม เจริญลาภ ซึ่งเป็นปูชนียบุคคลสำคัญในด้านเขตแดนทางทะเลของไทย เป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคในการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมสนธิสัญญากฎหมายทะเล เป็นครูบาจารย์สอนกฎหมายทะเลและเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ท่านถนอมได้เขียนหนังสือชุดใหญ่ไว้เกี่ยวกับเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่ทรงคุณค่ามาก แต่ไม่สามารถเผยแพร่เป็นการทั่วไป เพราะข้อมูลจำนวนมากอยู่ในชั้นความลับ
หมายความว่า เราไม่มีทางจัดเวทีสาธารณะ เพื่ออธิบาย หรือถกเถียงข้อดีข้อเสียของ MOU อย่างเต็มที่ได้เลย เนื่องจากข้อมูลจำนวนมากเป็นความลับราชการ
ยังมีประเด็นอีกว่า ทั้งสองประเทศยังดำเนินการเจรจากันอยู่ หากให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยมาอธิบายก็จะอธิบายได้แค่เพียง "ท่าทีการเจรจา" ที่ไทยใช้กับกัมพูชาเท่านั้น คงไม่สามารถมาอธิบายเป็นการสาธารณะได้ว่า ท่าทีไทยจะได้เปรียบในจุดไหน หรือฝ่ายไทยจะยอมกัมพูชาในจุดใดได้บ้าง ซึ่งก็เป็นสภาพของการเจรจาโดยทั่วไป
ดังนั้น ในการออกเสียงประชามติ ประชาชนจะได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ไม่ครบถ้วน ขาดข้อมูลสำคัญๆ รวมถึง ข้อมูลบางส่วนที่ระบุว่าฝ่ายไทยได้เปรียบอย่างไรบ้าง

หมายความว่า เราต้องเอาปัจจัยต่างๆ ในทางการเมืองของฝ่ายการเมืองออกจากเรื่องนี้ให้ได้ แล้วปล่อยให้เป็นเรื่องกฎหมายและเรื่องเทคนิค
การทำเรื่องเขตแดนให้สำเร็จเสร็จสิ้นควรจะเป็นการเรื่องแสวงหาผลประโยชน์ของชาติในกรอบหลักวิชาที่เกี่ยวข้อง และเป็นเรื่องที่ทำร่วมกันจนเจ้าหน้าที่ของประเทศที่เกี่ยวข้องรู้สึกว่าทุกฝ่ายสามารถ "รับได้" กระบวนการก็จะสิ้นสุดหยุดลง ณ จุดนั้น
หากท่าทีหนึ่งๆ ซึ่งควรจะเป็นท่าทีโดยรวมของประเทศถูกนำไปโยงกับพรรคการเมืองหนึ่งซึ่งเป็นรัฐบาล (หรือฝ่ายค้าน) เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล ท่าทีของประเทศก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับว่าพรรคไหนจะเป็นรัฐบาล หากเป็นเช่นนี้ ไม่มีทางเจรจาได้สำเร็จโดยเร็ว
ในแง่นี้ ผมจึงเสนอมาตลอดว่า เรื่องเขตแดน (และเรื่องความมั่นคงพื้นที่ชายแดน) ควรจะเป็นเรื่อง non-partisan
แต่ขณะนี้ เรื่อง MOU ทั้งสองฉบับเริ่มกลายเป็นเรื่องทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองไปเสียแล้ว ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง (จริงๆ ก็เคยเป็นมาแล้วช่วงคดีพระวิหารเมื่อสิบกว่าก่อน) หากเดินหน้าทำประชามติต่อ กระแสการเมืองนี้ก็ยิ่งจะชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นอุปสรรคต่อการเจรจาทั้งทางบก และทางทะเล


ผมเสนอว่า เสียงประชาชนเป็นสิ่งสำคัญแน่นอน และเคล็ดลับความสำเร็จเรื่องเขตแดนอีกข้อหนึ่งจากงานวิชาการ คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนในกระบวนการ ดังนั้น เราก็ควรจะจัดเวทีให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ข้อกังวล ปัญหา และหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป
ถ้าเช่นนั้น เราไม่ทำ "ประชามติ" แต่ว่าทำเป็น "ประชาพิจารณ์" ได้ไหม
เท่าที่ได้ฟังมาบ้าง ผมคิดว่า ปัญหาหลายๆ อย่างที่ภาคประชาชนเสนอขึ้นมาเป็นปัญหาที่แก้ได้ในระดับ "การตีความ" หรืออาจจะขอเจรจาแก้ไขบางมาตรา แต่ไม่มีความจำเป็นต้องไปยกเลิกสนธิสัญญาแล้วจึงเริ่มเจรจาใหม่ ซึ่งเดี๋ยวได้เล่าให้ฟังต่อไป

https://www.facebook.com/photo?fbid=10165813651684989&set=a.143967509988