
Teerayuth Makchumpol
10 hours ago
·
เห็นโปสเตอร์งานนี้ของเพื่อไทย เลยคิดว่าสิ่งนี้เหมาะที่จะพูดในช่วงเวลานี้
——
วิเคราะห์พรรคเพื่อไทยด้วยสายตานางแบก
บอกไว้ก่อนว่างานชิ้นนี้ unpopular opinion ยาว ไม่น่ารัก ไม่อ่อนโยน และมองจากมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงอะไรได้
——
ถ้าจะมีพรรคไหนในไทยที่ “มีประสบการณ์เรื่องการเมือง” มากที่สุด พรรคเพื่อไทยคงอยู่ในอันดับต้น ๆ
พรรคนี้ผ่านทั้งยุคเฟื่องฟูและยุคถดถอย
รู้ดีว่าการบริหารรัฐต้องต่อรองอย่างไรกับระบบราชการ ศาล และกองทัพ รู้ด้วยว่าการเลือกตั้งต้อง “ขายฝันให้คนธรรมดา” อย่างไรให้กลายเป็นคะแนนเสียง
แต่ปัญหาของเพื่อไทยในวันนี้คือ
พรรคที่เคย “ขายได้เพราะบริหารได้” กลับกลายเป็นพรรคที่ “ขายไม่ได้และบริหารครึ่งผีครึ่งคน”
และถูกทุบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากฝั่งที่ตัวเองพยายามทำดีด้วย
⸻
จากพรรคมวลชน สู่พรรคที่สับสนในตัวเอง
ยุคไทยรักไทยคือจุดสูงสุดของ เสน่ห์ที่พรรคการเมืองหนึ่งพึงมี ภาษาวิชาการอาจเรียกสิ่งนี้ว่า electoral appeal หรือการดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
พรรคเป็นเสียงของคนทำงาน คนชนบท คนที่รัฐไม่เคยเหลียวแล
นโยบายอย่าง 30 บาทรักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้าน, OTOP ทำให้คนรู้สึกว่า “การเมืองเปลี่ยนชีวิตได้จริง”
แต่นับจากรัฐประหาร ยุบพรรค การลี้ภัยของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ และการถอดถอนนายกฯ เก่ง ๆ อย่างเศรษฐา มาถึงยุคมาดามแพทองฯ เพื่อไทยค่อย ๆ สูญเสียรากของ “การเมืองแบบมวลชน” จากพรรคที่เคยยืนข้างประชาชน กลายเป็น “พรรคเพื่อการอยู่รอด”
ในฐานะกองเชียร์ ฉันเห็นว่าเพื่อไทยยังบริหารได้
แต่คำถามคือบริหาร … เพื่อใคร
เสน่ห์ของเพื่อไทยไม่เคยอยู่ที่นโยบายเท่านั้น แต่อยู่ที่ “ความเชื่อมั่น” ที่คนมีต่อพรรค
วันนี้สิ่งนั้นหายไป
การข้ามขั้วจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งปี 2566 คือรอยแผลใหญ่ที่ยังรักษาไม่ได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องศีลธรรมทางการเมือง แต่คือการสูญเสีย electoral appeal
เพราะเมื่อพรรคที่เคยยืนข้างประชาชน กลับไปอยู่ข้างอำนาจที่เคยปราบคนเสื้อแดง ความไว้วางใจจึงหายไป พร้อมกับความชอบธรรม
เพื่อไทยต้องเข้าใจว่า “เสื้อแดง” ไม่ใช่แค่ฐานเสียง
แต่มันคือ ฐานอารมณ์ทางสังคม
และอารมณ์นั้นได้เปลี่ยนจาก “ศรัทธา” เป็น “ความระแวง”
ในแง่ของความสามารถในการปกครองหรือบริหารงานภาครัฐ (governing capacity) เพื่อไทยยังบริหารได้ แต่กองเชียร์กลับรู้สึกว่าพรรคขาดจิตวิญญาณในการบริหาร
รัฐมนตรีส่วนใหญ่เข้าใจระบบราชการ มีเครือข่ายพร้อมทั้งการเมืองและธุรกิจ แต่ทั้งหมดกลับถูกใช้เพื่อ “ประคองอำนาจ” ให้พรรคอยู่รอดมากกว่าผลักนโยบาย
กองเชียร์ไกล ๆ อย่างฉัน แม้จะเข้าใจข้อจำกัดเรื่อง 141 เสียง แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าพรรคกำลังบริหารด้วย เทคนิค ไม่ใช่การบริหารด้วย อุดมการณ์
การจัดตั้งรัฐบาลที่ประชาชนเกิดคำถาม
การแต่งตั้งบุคคลที่ไม่เหมาะสมกับงาน
ทั้งหมดสะท้อนว่าพรรคยังมีความสามารถในการต่อรองแต่ขาดความสามารถในการบริหารรัฐที่แท้จริง
หากเพื่อไทยต้องการฟื้นความเชื่อมั่นและศรัทธากลับมา
พรรคต้องกล้ากลับไปยืนในที่ที่เคยชนะ ในฐานะ “พรรครากหญ้า” อย่างเต็มตัว
ไม่ใช่พรรคเทคโนแครต
ไม่ใช่พรรคของนักต่อรองทางอำนาจ
ฐานที่มั่นคงที่สุดของเพื่อไทย
ไม่ใช่ชนชั้นกลางเมือง และไม่ใช่คนรุ่นใหม่
แต่คือคนทำงานนับล้านที่ยังถูกระบบเศรษฐกิจบีบคั้น
และยังไม่มีใครพูดแทนพวกเขาได้จริง
หากเพื่อไทยยังพยายามแข่งขันกับพรรคประชาชนด้วยภาษาของ “อุดมการณ์เสรีนิยม” หรือ “ความเท่ของคนรุ่นใหม่” พรรคนี้จะแพ้แน่ เพราะมันไม่ใช่สนามที่ตัวเองถนัด
สิ่งที่เพื่อไทยมีคือประสบการณ์ ความเข้าใจในชีวิตของคนชั้นล่าง และเครือข่ายในพื้นที่ แต่สิ่งที่หายไปคือ integrity ที่จะยืนข้างคนเหล่านั้นอีกครั้ง
เพื่อไทยต้องกำหนดศัตรูให้ถูก
มันไม่ใช่พรรคประชาชน ไม่ใช่ภูมิใจไทย
แต่คือ ระบบรัฐราชการ ที่ผูกขาดอำนาจทางนโยบาย
และเป็นโครงสร้างที่กำลังแข่งกับเวลาและสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
คุณต้องชี้ให้ชาวบ้านเห็น ว่าเลือกคุณแล้วคุณจะสู้กับอุปสรรคเหล่านั้นอย่างไร
ผู้สนับสนุนเพื่อไทยไม่ต้องการพรรคที่พูดเก่งกว่าคนอื่น
แต่ต้องการพรรคที่ “พูดแล้วทำได้จริง”
เพื่อไทยเคยเป็นพรรคนั้น แต่ตอนนี้มันกลายเป็นความพยายามปกป้องอดีตอันรุ่งเรืองของตัวเอง
โจทย์ที่เพื่อไทยต้องหาคำตอบให้ไวคือ
จะฟื้น electoral appeal กลับมาอย่างไร ในเวลาที่ทุกพรรคต่างถูกตั้งคำถามเหมือน ๆ กัน (หลัง grand compromise ของพรรคประชาชน)
เพื่อไทยในอดีตชนะเลือกตั้ง เพราะพูดภาษาของคนที่ไม่มีใครพูดแทน
แต่วันนี้พรรคกลับพูดภาษาของชนชั้นกลางเมือง
พูดเรื่องเทคโนโลยี เศรษฐกิจใหม่ การลงทุน AI
ซึ่งทั้งหมดไม่ผิด แต่ไม่มีใครในชนบทเข้าใจว่ามันจะเปลี่ยนชีวิตเขาอย่างไร
พรรคกำลังสื่อสารคนละภาษากับผู้คนที่เคยเป็นฐานของตัวเอง
เพื่อไทยต้องทำให้การเมืองของคนใช้แรงงานกลับมามีศักดิ์ศรีอีกครั้ง
พูดถึงค่าจ้าง มาตรฐานแรงงาน การคุ้มครองผู้ใช้แรงงานนอกระบบ ไม่ใช่พูดแต่เรื่อง GDP หรือ FDI ที่ไม่มีใครเห็นผลในชีวิตจริง
อีกปัญหาที่อยากฝากไปคือ คนรุ่นใหม่ในพรรคยังไม่มีอำนาจจริง
คุณจอม คุณเผ่าภูมิ คุณหนุ่ม ชนินทร์ คุณอิ่ม คุณน้ำ ฯลฯพวกเขาเป็นเพียง “ผู้พูดแทนแบรนด์” ไม่ใช่ “ผู้ร่วมกำหนดทิศทางพรรค”
ตราบใดที่ภาพของเพื่อไทยยังอาศัย legacy ของคนรุ่นเก่า ต่อให้ PR ดีแค่ไหนมันก็ยังมี “กลิ่นแก่”
เพื่อไทยไม่มีเครือข่ายสหภาพแรงงานที่แข็งแรง
ไม่มีองค์กรเยาวชนของตัวเอง
ไม่มีช่องทางสื่ออิสระที่แข็งแรงพอจะต่อสู้กับสื่อกระแสหลัก
ทั้งหมดนี้ทำให้เพื่อไทยกลายเป็น “พรรคที่มีชีวิตเฉพาะตอนเลือกตั้ง”
หากพรรคสร้างฐานโครงสร้างเหล่านี้ขึ้นใหม่ได้
มันจะมี “ชีวิตทางการเมือง” ที่ยั่งยืนกว่าฤดูกาลเลือกตั้ง
และอาจฟื้นความเชื่อได้อีกครั้งว่า เพื่อไทยไม่ใช่พรรคที่แค่หวังเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของชนชั้นนำอนุรักษ์ แต่คือพรรคที่อยู่เพื่อมวลชนอย่างแท้จริง
3 hours ago
·
บรรดานายแบกและนางแบก"เพื่อไทย" ควรเปิดใจอ่านบทวิเคราะห์นี้
พรรคที่เคยเป็นที่พึ่งของคนรากหญ้า พรรคที่พูดจริงทำจริง พรรคที่มีคำขวัญที่ว่า หัวใจคือประชาชน. แต่ความนิยมศรัทธาเหล่านี้ กลับถูกทำลายลงไป เพราะการยึดมั่นอยู่กับตัวบุคคล "ทักษิณ ชินวัตร" ที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและกาลเวลา จนสุดท้ายกลายเป็นหลุมดำ ดูดดึงเอาความเชื่อมั่นศรัทธาทั้งหมดที่เคยทำไว้กลับไปสู่จุดที่ตกต่ำที่สุด. เพราะยิ่งเห็นชัดว่า พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ หัวใจคือประชาชน อีกต่อไป แต้คือ พรรคที่ใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน.
·
บรรดานายแบกและนางแบก"เพื่อไทย" ควรเปิดใจอ่านบทวิเคราะห์นี้
พรรคที่เคยเป็นที่พึ่งของคนรากหญ้า พรรคที่พูดจริงทำจริง พรรคที่มีคำขวัญที่ว่า หัวใจคือประชาชน. แต่ความนิยมศรัทธาเหล่านี้ กลับถูกทำลายลงไป เพราะการยึดมั่นอยู่กับตัวบุคคล "ทักษิณ ชินวัตร" ที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและกาลเวลา จนสุดท้ายกลายเป็นหลุมดำ ดูดดึงเอาความเชื่อมั่นศรัทธาทั้งหมดที่เคยทำไว้กลับไปสู่จุดที่ตกต่ำที่สุด. เพราะยิ่งเห็นชัดว่า พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ หัวใจคือประชาชน อีกต่อไป แต้คือ พรรคที่ใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน.