
Pinkaew Laungaramsri
11 hours ago
·
การหลอกตัวเอง และปัญหาพื้นฐานของพวกที่อ้างตนว่าเป็น pragmatists
1) ปัญหาการวัดผล: พวก pragmatists มักอ้างว่า พวกเขาสามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำว่า อะไร “จะได้ผล” แม้ในความเป็นจริง การทำนายพลวัตทางสังคมและการเมืองที่ซับซ้อน ไม่ใช่สิ่งที่สามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ ดังที่กล่าวอ้าง สิ่งที่ดูว่า “เป็นไปได้” ในระยะสั้นอาจเป็นหายนะในระยะยาว และในทางกลับกัน
2) การพังทลายของหลักการ: วิธีคิดแบบเน้นการปฏิบัติเฉพาะหน้าแบบ pragmatism ถึงที่สุดแล้ว จะนำไปสู่การละทิ้งหลักการสำคัญอย่างค่อยเป็นค่อยไป การประนีประนอมแต่ละครั้งดูสมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาแยกกัน แต่เมื่อรวมกันแล้ว นำไปสู่การทำลายหลักการที่เหล่า pragmatists ต้องการส่งเสริมตั้งแต่แรก คุณอาจชนะในเชิงยุทธวิธี แต่ยุทธวิธีนั้นๆ กลับไม่นำไปสู่ชัยชนะอะไรแม้แต่อย่างเดียว
3) กรงขังของ "สิ่งที่เป็นไปได้": พวก pragmatists มักสร้างกรงขังตัวเองเอาไว้ในสิ่งที่ดูเหมือนจะบรรลุได้ทันที แต่กรงประเภทนี้ เป็นกรงที่พวกเขากำหนดขึ้นเอง และเฝ้าบอกตัวเองว่าเป็น “สิ่งที่เป็นจริง” ในขณะที่พวก pragmatists ไล่ตามสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็น "สิ่งที่เป็นจริง" เท่านั้น อยู่ภายในกรงขังแคบๆที่พวกเขาได้สร้างขึ้นไว้ขังตัวเอง พวกเขาได้ทำลายโอกาสในการขยายสิ่งที่ถือว่าเป็นไปได้ผ่านการตัดสินใจ และการกระทำที่กล้าหาญ
4) การละทิ้งมโนธรรมสำนึก: ในการเลือกกระทำการเฉพาะสิ่งที่ถูกคำนวณว่ามีโอกาสสำเร็จโดยทันทีเพียงอย่างเดียวพวก pragmatists พร้อมที่จะเอาหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ที่สำคัญอื่นๆ โยนทิ้งไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการเป็นพยานต่อความอยุติธรรม การรักษาความซื่อสัตย์ หรือการปฏิเสธที่จะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับการกระทำผิด ลัทธิ pragmatism นี้ถึงที่สุดแล้ว จะทำลายมโนธรรมสำนึก อันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ลง กลายเป็นกลจักรที่มุ่งแต่จะคิดคำนวณถึงผลสำเร็จเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียว
5) การทำลายขบวนการและการเปลี่ยนแปลงสังคม: มนุษย์ประเภท pragmatists ใช้ชีวิตเพียงเพื่อผลลัพธ์ระยะสั้น เข้าร่วมเฉพาะเมื่อชัยชนะดูแน่นอน และทิ้งเรือทันทีที่เห็นสัญญาณแรกของความยากลำบาก คนเหล่านี้ไม่เพียงเป็นพวกนักฉวยโอกาสที่ไว้ใจไม่ได้ แต่ยังอันตรายต่อการสร้างขบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
6) ความตาบอดทางประวัติศาสตร์: สิ่งที่เราถือว่า "ถูกต้องอย่างชัดเจน" ในปัจจุบัน หลายเรื่อง ในอดีตนั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิบัติได้ หรือเป็นไปไม่ได้มาก่อน ตัวอย่างกฎหมายที่ก้าวหน้า และที่ “เป็นไปไม่ได้” มากมายในไทย เป็นบทพิสูจน์ความตาบอดทางประวัติศาสตร์ของพวก pragmatists เป็นอย่างดี ผลงานของพวก pragmatist ในวันนี้ จะกลายเป็นตัวอย่างของความขลาดเขลา คิดสั้น และปราศจาก accountability ที่จะถูกจดจารไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
ลัทธิ pragmatism เมื่อผลักให้ถึงที่สุดของตรรกะ มันจะกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของลัทธิสัมพัทธ์นิยมทางศีลธรรมที่ปลอมตัวภายใต้หน้ากากของการคิดเชิงกลยุทธ์ หน้ากากประเภทนี้ ทำให้พวกนัก pragmatists ลอยตัวเหนือความรับผิดใดๆ ไม่ว่าจะต่อสังคม ต่อชีวิตและเสรีภาพของผู้คน หรือแม้แต่ต่อมโนธรรมสำนึกของตนเอง
https://www.facebook.com/arunothai.ruangrong/posts/24480079071612490
Atukkit Sawangsuk
ในที่สุดก็ละทิ้งมโนธรรมสำนึก ทำลายขบวนการและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
·
การหลอกตัวเอง และปัญหาพื้นฐานของพวกที่อ้างตนว่าเป็น pragmatists
1) ปัญหาการวัดผล: พวก pragmatists มักอ้างว่า พวกเขาสามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำว่า อะไร “จะได้ผล” แม้ในความเป็นจริง การทำนายพลวัตทางสังคมและการเมืองที่ซับซ้อน ไม่ใช่สิ่งที่สามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ ดังที่กล่าวอ้าง สิ่งที่ดูว่า “เป็นไปได้” ในระยะสั้นอาจเป็นหายนะในระยะยาว และในทางกลับกัน
2) การพังทลายของหลักการ: วิธีคิดแบบเน้นการปฏิบัติเฉพาะหน้าแบบ pragmatism ถึงที่สุดแล้ว จะนำไปสู่การละทิ้งหลักการสำคัญอย่างค่อยเป็นค่อยไป การประนีประนอมแต่ละครั้งดูสมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาแยกกัน แต่เมื่อรวมกันแล้ว นำไปสู่การทำลายหลักการที่เหล่า pragmatists ต้องการส่งเสริมตั้งแต่แรก คุณอาจชนะในเชิงยุทธวิธี แต่ยุทธวิธีนั้นๆ กลับไม่นำไปสู่ชัยชนะอะไรแม้แต่อย่างเดียว
3) กรงขังของ "สิ่งที่เป็นไปได้": พวก pragmatists มักสร้างกรงขังตัวเองเอาไว้ในสิ่งที่ดูเหมือนจะบรรลุได้ทันที แต่กรงประเภทนี้ เป็นกรงที่พวกเขากำหนดขึ้นเอง และเฝ้าบอกตัวเองว่าเป็น “สิ่งที่เป็นจริง” ในขณะที่พวก pragmatists ไล่ตามสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็น "สิ่งที่เป็นจริง" เท่านั้น อยู่ภายในกรงขังแคบๆที่พวกเขาได้สร้างขึ้นไว้ขังตัวเอง พวกเขาได้ทำลายโอกาสในการขยายสิ่งที่ถือว่าเป็นไปได้ผ่านการตัดสินใจ และการกระทำที่กล้าหาญ
4) การละทิ้งมโนธรรมสำนึก: ในการเลือกกระทำการเฉพาะสิ่งที่ถูกคำนวณว่ามีโอกาสสำเร็จโดยทันทีเพียงอย่างเดียวพวก pragmatists พร้อมที่จะเอาหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ที่สำคัญอื่นๆ โยนทิ้งไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการเป็นพยานต่อความอยุติธรรม การรักษาความซื่อสัตย์ หรือการปฏิเสธที่จะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับการกระทำผิด ลัทธิ pragmatism นี้ถึงที่สุดแล้ว จะทำลายมโนธรรมสำนึก อันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ลง กลายเป็นกลจักรที่มุ่งแต่จะคิดคำนวณถึงผลสำเร็จเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียว
5) การทำลายขบวนการและการเปลี่ยนแปลงสังคม: มนุษย์ประเภท pragmatists ใช้ชีวิตเพียงเพื่อผลลัพธ์ระยะสั้น เข้าร่วมเฉพาะเมื่อชัยชนะดูแน่นอน และทิ้งเรือทันทีที่เห็นสัญญาณแรกของความยากลำบาก คนเหล่านี้ไม่เพียงเป็นพวกนักฉวยโอกาสที่ไว้ใจไม่ได้ แต่ยังอันตรายต่อการสร้างขบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
6) ความตาบอดทางประวัติศาสตร์: สิ่งที่เราถือว่า "ถูกต้องอย่างชัดเจน" ในปัจจุบัน หลายเรื่อง ในอดีตนั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิบัติได้ หรือเป็นไปไม่ได้มาก่อน ตัวอย่างกฎหมายที่ก้าวหน้า และที่ “เป็นไปไม่ได้” มากมายในไทย เป็นบทพิสูจน์ความตาบอดทางประวัติศาสตร์ของพวก pragmatists เป็นอย่างดี ผลงานของพวก pragmatist ในวันนี้ จะกลายเป็นตัวอย่างของความขลาดเขลา คิดสั้น และปราศจาก accountability ที่จะถูกจดจารไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
ลัทธิ pragmatism เมื่อผลักให้ถึงที่สุดของตรรกะ มันจะกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของลัทธิสัมพัทธ์นิยมทางศีลธรรมที่ปลอมตัวภายใต้หน้ากากของการคิดเชิงกลยุทธ์ หน้ากากประเภทนี้ ทำให้พวกนัก pragmatists ลอยตัวเหนือความรับผิดใดๆ ไม่ว่าจะต่อสังคม ต่อชีวิตและเสรีภาพของผู้คน หรือแม้แต่ต่อมโนธรรมสำนึกของตนเอง
https://www.facebook.com/arunothai.ruangrong/posts/24480079071612490
Atukkit Sawangsuk
ในที่สุดก็ละทิ้งมโนธรรมสำนึก ทำลายขบวนการและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม