
จำคุก-ยกฟ้อง-ตาย ปลายทางคดี 112 ของผู้ป่วยทางจิต
2/08/2025
iLaw
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจัดทำสถิติผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พบว่า มีประชาชนถูกดำเนินคดีในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างน้อย 169 คน และในช่วง 2563-2568 อย่างน้อย 281 คน โดยส่วนใหญ่มีต้นเหตุจากการแสดงออกทางการเมืองหรือเข้าร่วมการชุมนุม ในจำนวนนี้มีผู้ต้องหาที่เป็นผู้ป่วยจิตเวชอย่างน้อย 14 ราย สะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายอาญามาตรา 112 สามารถถูกนำมาใช้ดำเนินคดีกับผู้ที่มีภาวะป่วยทางจิตได้ แม้บางรายจะมีประวัติการรักษาอย่างต่อเนื่อง หรือมีใบรับรองจากแพทย์ว่าอยู่ในภาวะหลงผิด เข้าใจข้อเท็จจริงผิดเพี้ยนไปจากความจริง ไม่สามารถควบคุมตนเองขณะเกิดเหตุ แต่ก็ยังถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ถูกควบคุมตัวระหว่างสอบสวน และต้องต่อสู้คดีเช่นเดียวกับผู้ต้องหาทั่วไป
อาการจิตเภท
โรคจิตเภท (Schizophrenia) คือโรคที่มีความผิดปกติทางจิตที่รุนแรงและเรื้อรัง ส่งผลต่อการพูด การคิด การรับรู้ ความรู้สึก และการแสดงออกของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการต่างๆ อย่างเช่น ประสาทหลอน หลงผิด ปลีกตัวจากสังคม หรือไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยจิตเภทหากกระทำผิดจะได้รับข้อยกเว้นในการไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ป่วยจิตเภทหากกระทำผิดก็ยังคงต้องได้รับโทษตามทางกฎหมาย โดยจะถูกส่งฟ้องหรือไม่ส่งฟ้องนั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้รับเรื่องหรือศาล หากส่งฟ้องผู้ป่วยจะถูกส่งตัวไปรักษาอาการให้หายก่อน จึงกลับมารับโทษตามปกติ โดยโทษนั้นจะเบาลงหรือเท่าเดิมขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
จากการสำรวจคดีของผู้ป่วยจิตเวชที่ถูกดำเนินคดีในข้อหามาตรา 112 อย่างน้อย 14 ราย พบผลการดำเนินคดี 5 รูปแบบ ดังนี้
1.ลงโทษโดยไม่คำนึงอาการป่วย
สมัคร ชาวนาในจังหวัดเชียงราย มีประวัติรักษาอาการจิตเภท ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากเหตุทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ขณะมึนเมาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2557 โดยกระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นในศาลทหาร แม้จะมีประวัติการรักษาและพยานยืนยันอาการจิตเภท ที่แสดงให้เห็นว่าสมัครอาจไม่มีเจตนาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ แต่กระบวนการต่อสู้คดีที่ล่าช้าในศาลทหาร สืบพยานได้เพียง 3 ปาก ใน 8 เดือน ทั้งยังเลื่อนนัดบ่อยครั้ง ทำให้สมัครซึ่งถูกคุมขังมาเกือบหนึ่งปี เกิดความเครียดอย่างหนัก จึงตัดสินใจรับสารภาพในที่สุด ศาลทหารพิพากษา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2558 จำคุก 5 ปี และปรับ 50 บาท โดยไม่พิจารณาถึงอาการป่วยของจำเลย
ฤาชา อดีตทหารยศจ่าสิบเอกและผู้ป่วยโรคจิตเภท ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่กว่า 20 นายที่บ้านในระยองเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 ฐานโพสต์ข้อความหมิ่นพระราชินีและองค์รัชทายาทบนเฟซบุ๊ก 3 ข้อความ เข้าข่ายผิดมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมฯ โดยไม่มีหมายจับหรือหมายค้น เขาถูกควบคุมตัวที่ มทบ.11 ก่อนฝากขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แพทย์วินิจฉัยว่าเขาไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ทำให้ต้องถูกจำคุกนาน 234 วัน ระหว่างรักษาอาการทางจิตจนกว่าแพทย์จะประเมินว่าสามารถต่อสู้คดีได้ ก่อนศาลทหารสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้ไปรักษาตัว แต่กระบวนการในศาลทหารไม่คืบหน้า กระทั่งคดีถูกโอนเข้าสู่ศาลยุติธรรมตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 และแม้แพทย์จะยืนยันว่าฤาชาไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ศาลอาญากลับให้เริ่มสืบพยานลับ ศาลเชื่อว่าจำเลยป่วยจริง แต่ยังสามารถบังคับตัวเองได้ พิพากษาจำคุก 5 กรรม รวม 5 เดือน 50 วัน แต่เนื่องจากเขาถูกคุมขังมาแล้ว 234 วัน จึงไม่ต้องรับโทษเพิ่มเติม
“ปุญญพัฒน์” (นามสมมติ) อายุ 28 ปี ผู้มีภาวะพัฒนาการช้าและสมาธิสั้น ถูกดำเนินคดีมาตรา 112และ พ.ร.บ.คอมฯ จากการโพสต์ข้อความในกลุ่มเฟซบุ๊ก “รอยัลลิสต์มาร์เกตเพลส” เมื่อวันที่ 9–10 พฤษภาคม 2563 รวม 4 ข้อความ ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับรัชกาลที่ 10 โดยมีประชาชนในสมุทรปราการเป็นผู้แจ้งความ ทำให้เขาต้องเดินทางจากกำแพงเพชรเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกกรรมละ 3 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งเนื่องจากรับสารภาพ เหลือโทษจำคุกรวม 4 ปี 24เดือน แม้แม่จำเลยให้การว่าเขามีพัฒนาการช้าและสมาธิสั้นตั้งแต่เด็ก จนอายุ 29 ปีแล้วยังไม่สามารถออกจากบ้านตามลำพังได้ แต่ศาลเห็นว่าไม่มีเหตุให้บรรเทาโทษ หลังทราบคำพิพากษา ทนายความยื่นขอประกันตัวเพื่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ โดยใช้หลักทรัพย์จากกองทุนราษฎรประสงค์รวม 225,000 บาท ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 โดยเห็นว่าไม่มีเหตุให้บรรเทาโทษเพิ่มเติม
ธเนศ ชาวเพชรบูรณ์ ผู้ประกอบธุรกิจขายสินค้าเกษตรออนไลน์ ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมฯ จากกรณีส่งอีเมลแนบลิงก์ที่มีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นสถาบันกษัตริย์ไปยังชาวอังกฤษในปี2553 โดยเจ้าหน้าที่จับกุมเขาที่บ้านพี่สาวในปี 2557 พร้อมยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หลังการจับกุม ธเนศถูกควบคุมตัว 7 วันในค่ายทหาร ก่อนถูกส่งตัวให้ตำรวจสอบสวนและแจ้งข้อหา เขารับสารภาพในชั้นสอบสวน แม้แพทย์จะวินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง ซึ่งเป็นอาการทางจิตที่มีผลต่อพฤติกรรมในคดีนี้ แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 5 ปี ลดเหลือ 3 ปี 4 เดือน เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ โดยไม่พิจารณาถึงอาการป่วยของจำเลย
2.พิพากษาว่าผิด แต่ลดโทษเพราะอาการป่วย
รัชพิญ จ. ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2551 ขณะอยู่ในโรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน โดยระหว่างที่มีการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนฉายภาพยนตร์ เขาไม่ลุกขึ้นยืนเพื่อถวายความเคารพ ยกเท้าทั้งสองข้างพาดไปทางจอภาพยนตร์ และตะโกนคำหยาบหลังเพลงจบ ภายหลังศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพ จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง และพิจารณาว่าจำเลยมีอาการบกพร่องทางจิต จึงมีคำสั่งให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี
บัณฑิต นักเขียนและนักแปลที่มีประวัติรักษาอาการทางจิต ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 แล้วอย่างน้อยสี่ครั้ง แต่มีสองครั้งที่บัณฑิตได้รับการปล่อยตัวและลดโทษเนื่องด้วยอาการทางจิตเภทคือ ครั้งแรกในปี 2518 เขาเล่าว่าถูกเจ้าหน้าที่ สน.ชนะสงคราม ดำเนินคดีหมิ่นเบื้องสูง แต่ได้รับการปล่อยตัว ครั้งที่สองในปี 2547 เขาถูกฟ้องหลังแสดงความคิดเห็นและขายเอกสารในเวทีสัมมนาทางวิชาการ โดยศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 4 ปี แต่ให้รอลงอาญา 3 ปีเนื่องจากอาการป่วยจิตเภท ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาให้จำคุก 2 ปี 8 เดือนไม่รอลงอาญา แต่บัณฑิตได้รับการประกันตัวให้มาสู้คดีในชั้นฎีกา ท้ายที่สุดศาลฎีกากลับไปพิพากษาตามศาลชั้นต้น จำคุก 4 ปี รอลงอาญา 3 ปี และรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติเป็นเวลา 2 ปี
บุปผา ผู้ป่วยจิตเวช ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมฯ จากการโพสต์เฟซบุ๊ก 13 ข้อความ โดยบางข้อความกล่าวถึงพระบรมวงศานุวงศ์ที่ไม่เข้าข่ายมาตรา 112 หลังถูกจับกุมในเดือนพฤษภาคม 2559 เธอถูกฝากขังโดยไม่มีการพิจารณาคดีราว 2 ปีจึงได้รับการประกันตัว เนื่องจากกระบวนการตรวจวินิจฉัยอาการทางจิตและประเมินความสามารถในการต่อสู้คดีของศาลทหารล่าช้า คดีเริ่มพิจารณาเป็นการลับที่ศาลทหาร จ.ชลบุรี ก่อนถูกโอนมากลับศาลพลเรือนซึ่งพิจารณาลับเช่นกัน ต่อมาวันที่ 18 สิงหาคม 2563 ซึ่งเป็นช่วงหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระเมตตารับสั่งไม่ให้ใช้ มาตรา 112 กับประชาชน
ศาลจังหวัดพัทยาพิพากษายกฟ้องข้อหามาตรา 112 โดยเห็นว่าเธอไม่มีเจตนาและขณะกระทำป่วยทางจิตจริง แต่ยังบังคับตนเองได้บางส่วนในการกดโพสต์ ลงโทษตาม พ.ร.บ.คอมฯ กรรมละ 6 เดือน รวม 78 เดือน ให้รอลงอาญาและคุมประพฤติ คดีนี้ต่อสู้จนถึงศาลฎีกา โดยศาลฎีกาพิพากษาลงโทษเฉพาะ 4 ข้อความที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์และองค์รัชทายาท จำคุก 24 เดือน รอลงอาญา 3 ปี ให้จําเลยรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 6 ครั้ง ภายในระยะเวลา 2 ปี และให้รักษาอาการทางจิตเวชต่อ
สุภิสรา (สงวนนามสกุล) หญิงวัย 28 ปี ผู้ป่วยจิตเวช ถูกจับกุมตามหมายจับในข้อหามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมฯ จากการโพสต์ภาพและข้อความเกี่ยวกับรัชกาลที่ 10 บนเฟซบุ๊ก 4 ครั้ง เมื่อวันที่ 6–7 มกราคม 2564 โดยแอดมินเพจเชียร์ลุง เป็นผู้แจ้งความ เธอรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาโดยไม่มีทนาย ขณะที่ครอบครัวยื่นเอกสารยืนยันประวัติรักษาจิตเวชถึง 3 ครั้ง อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนและอัยการยังมีคำสั่งฟ้องต่อศาลอาญา โดยชี้ว่าเนื้อหาหมิ่นพระเกียรติและส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ทั้งนี้ อัยการคัดค้านประกันตัว แต่ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวด้วยหลักทรัพย์ 90,000บาทจากกองทุนราษฎรประสงค์ ต่อมา ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกกรรมละ 3 ปี รับสารภาพลดเหลือกรรมละ 1 ปี 6 เดือน รวม 4 ปี 24 เดือน แต่จากรายงานแพทย์ระบุว่าจำเลยมีอาการป่วยจิตขั้นรุนแรง ควบคุมตนเองไม่ได้ ศาลจึงให้รอการลงโทษ 2 ปี และคุมประพฤติ 1 ปี
3.กลับคำพิพากษาจากเห็นว่าป่วยเป็นลงโทษโดยไม่สนอาการป่วย
ฐิตินันท์ มีประวัติรักษาอาการป่วยทางจิต ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากเหตุใช้เท้าเตะพระบรมฉายาลักษณ์ในระหว่างการชุมนุมให้กำลังใจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2555 แม้ในชั้นศาลชั้นต้น ฐิตินันท์รับสารภาพและศาลเห็นว่ามีปัญหาทางจิต จึงพิพากษาจำคุก 2 ปี ลดเหลือ 1 ปีและให้รอลงอาญา แต่ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา ไม่ให้รอลงอาญา โดยเห็นว่าแม้จะป่วยเป็นโรคทางจิตเวช แต่ขณะกระทำผิดก็ยังพอมีสติรับรู้ คดีถึงที่สุดในปี 2559 เมื่อศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุก 1 ปีโดยไม่รอลงอาญา เพราะเห็นว่า แม้จำเลยจะป่วยด้วยโรคอารมณ์สองขั้ว แต่ขณะกระทำความผิดก็พอจะรู้ตัวอยู่บ้าง ฐิตินันท์จึงถูกคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลางเป็นเวลา 221 วัน ก่อนจะได้รับอภัยโทษและถูกปล่อยตัวในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน
4.พิพากษายกฟ้อง
เสาร์ ชายชาติพันธุ์ไทลื้อวัย 51 ปี ผู้ป่วยจิตเภท ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากกรณียื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2558 เพื่อขอเป็นคู่ความกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในคดียึดทรัพย์ โดยอ้างว่าได้รับมอบหมายจากรัชกาลที่ 9 ผ่านการสื่อสารทางโทรทัศน์ ศาลฎีกาไม่รับคำร้องและแจ้งความดำเนินคดี ทำให้เขาถูกแจ้งข้อหาในเดือนพฤษภาคม 2558 และคุมขังอยู่ราว 3 เดือนแม้แพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคจิตเภทและมีอาการหลงผิด แต่เห็นว่าเขาสามารถต่อสู้คดีได้ ทำให้อัยการศาลทหารมีความเห็นสั่งฟ้องในเดือนเมษายน 2559 กระบวนการสืบพยานในศาลทหารยืดเยื้อนานหลายปี ก่อนจะมีคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 ให้โอนคดีกลับสู่ศาลพลเรือน ศาลชั้นต้นเชื่อว่าเสาร์ยังพอบังคับตัวเองได้บ้าง จึงพิพากษาว่าเสาร์มีความผิดตามมาตรา 112 แต่ลดโทษเพราะอาการป่วยทางจิต ให้จำคุก 2 เดือน 20 วัน แต่เสาร์ถูกขังมานานเกินกว่าที่ศาลพิพากษาจึงไม่ต้องกลับเข้าเรือนจำอีก ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าแม้เสาร์จะกระทำผิดจริง แต่เนื่องจากขณะกระทำอยู่ในภาวะจิตเวช ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือบังคับตนเองได้ มีเหตุให้ยกเว้นโทษใช้เวลากว่า 7 ปีคดีจึงสิ้นสุด
“ชัยชนะ” (นามสมมติ) ชายวัย 33 ปีจาก จ.ลำพูน ผู้ป่วยจิตเภทและมีบัตรผู้พิการทางจิตเวช ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112และ พ.ร.บ.คอมฯ จากการโพสต์เฟซบุ๊ก 4 ข้อความ ต้องเดินทางไกลกว่า 1,800 กิโลเมตร มาสู้คดีที่ จ.นราธิวาส ซึ่งมีผู้กล่าวหาอยู่ในพื้นที่ แม้โจทก์อ้างว่าโพสต์หมิ่นกษัตริย์ฯ แต่หลักฐานเป็นเพียงภาพแคปหน้าจอที่ขาดความน่าเชื่อถือ และไม่มีข้อมูลระบุตัวผู้โพสต์ เช่น URL และ IP Address ขณะเดียวกัน แพทย์จาก 3 โรงพยาบาลยืนยันว่าเขาป่วยจิตเภท มีอาการหวาดระแวง พูดคุยกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง และเชื่อว่าตนสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวได้ ศาลจังหวัดนราธิวาสจึงพิพากษายกฟ้องทุกกรรม เพราะไม่อาจชี้ชัดว่าเขาเป็นผู้โพสต์ และให้ประโยชน์แห่งความสงสัยจากประวัติการป่วย
“แต้ม” (นามสมมติ) ผู้ป่วยจิตเวชวัย 34 ปี ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 และข้อหาทำให้เสียทรัพย์ จากกรณีทุบทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 10 จำนวน 3 จุดใน อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2564 ขณะมีอาการจิตเภทและขาดการรักษา ศาลชั้นต้นพิจารณาว่าแม้แต้มป่วยจิตเภทเรื้อรังกว่า 10 ปี แต่ยังรู้ผิดชอบได้บ้าง จึงยกฟ้องข้อหา หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และลงโทษสถานเบาในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ จำคุก 3 เดือน ปรับ 6,000 บาท รอลงอาญา 5 ปี พร้อมเงื่อนไขให้เข้ารับการรักษาและชดใช้ค่าเสียหายกว่า 20,000 บาท ต่อมาอัยการยื่นอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 โดยเห็นว่าแต้มอยู่ในภาวะจิตบกพร่อง ไม่สามารถประเมินเจตนาอาฆาตได้แน่ชัด จึงยกฟ้องมาตรา 112 และคงโทษสถานเบาในข้อหาทำให้เสียทรัพย์
5.เสียชีวิตก่อนคดีถึงที่สุด
ประจักษ์ชัย ช่างขัดอลูมิเนียมวัย 41 ปี ผู้ป่วยจิตเภทและมีสติปัญญาต่ำกว่าปกติ เชื่อว่าตนเองเป็นพระเจ้าอยู่หัว ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากการยื่นหนังสือร้องเรียนที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อปี 2558 ซึ่งเนื้อหาถูกตีความว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทกษัตริย์ เขาถูกคุมขังนาน 8 เดือน ทั้งที่มีอาการป่วยทางจิตเวชและโรคตับ แพทย์ยืนยันว่าเขาหลงผิดรุนแรงและควรได้รับการดูแลนอกเรือนจำ แม้ได้รับการประกันตัว แต่กระบวนการพิจารณาคดีในศาลทหารล่าช้า ใช้เวลากว่า 4 ปี ในการสืบพยาน โดยนัดพิจารณาไม่ต่อเนื่อง มีการเลื่อนนัดซ้ำซาก ประจักษ์ชัยต้องเดินทางจากศรีสะเกษมาฟังการพิจารณาคดีที่กรุงเทพถึง 15 ครั้งโดยไม่เคยได้ให้การใดๆ ด้วยตนเองเลย ระหว่างดำเนินคดีเขามีอาการพูดจาวกวน เงียบ ไม่ตอบสนอง ก่อนคดีจะถูกโอนมาศาลอาญาตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 เขาเสียชีวิต เนื่องจากเลือดออกในกระเพาะอาหารเมื่อ 12 กรกฎาคม 2562 หลังผ่านไปมากกว่า 4 ปี คดียังสืบพยานไม่เสร็จ ทำให้คดีถูกจำหน่ายออกโดยไม่มีคำพิพากษา
สิชล (นามสมมติ) ผู้ป่วยจิตเภทวัย 29 ปี ถูกดำเนินคดีจากการโพสต์วิจารณ์กษัตริย์ในปี 2559 เดิมถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 112 จากศาลทหาร แต่ต่อมาอัยการศาลทหารสั่งไม่ฟ้องและเปลี่ยนข้อหาเป็นยุยงปลุกปั่นตาม มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมฯ มาตรา 14 (3) และ (5) คดีถูกโอนสู่ศาลพลเรือน เขาถูกขังในเรือนจำ 48 วัน ระหว่างนั้นมีอาการหวาดกลัว ควบคุมตนเองไม่ได้ ต้องเข้ารับการรักษาในหลายโรงพยาบาล ระหว่างสืบพยาน พนักงานสอบสวนยอมรับว่าไม่มีหลักฐานว่าการโพสต์ก่อความไม่สงบ ขณะที่แพทย์ยืนยันว่าเขาเป็นโรคจิตเภท 12 ธันวาคม 2562 ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องข้อหา มาตรา 116 แต่ลงโทษตาม พ.ร.บ.คอมฯ จำคุก 3 ปี ลดเหลือ 2 ปี เหตุป่วยทางจิตแต่ยังรับรู้ผิดชอบบางส่วน ก่อนให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาทนายและสิชลยื่นอุทธรณ์เมื่อ 7 เมษายน 2563 แต่หลังจากนั้นไม่นานสิชลหายตัวไป ก่อนถูกพบเสียชีวิตจากการกระโดดน้ำฆ่าตัวตายในวันที่ 12 เมษายน 2563 หลังจากพยายามมาก่อนหน้านี้แล้วสองครั้งแต่ไม่สำเร็จ
https://www.ilaw.or.th/articles/53781