
“น่านเจ้า-อัลไต” ประวัติศาสตร์สร้างชาติไทยเวอร์ชั่น “เกลียดจีน”
ศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2568
ศิลปวัฒนธรรม
สุจิตต์ชี้! เรารับวัฒนธรรมและเทคโนโลยีจีนมามากมาย แต่ไม่ค่อยให้ “เครดิต” จีน เน้นยกย่องอินเดีย แม้ประเทศจีนจะมีคนไท (ไม่มี ย. ยักษ์) แต่ไม่ใช่คนไทยเหมือนในประเทศไทยทุกวันนี้ “คนไทย” จึงไม่ได้มาจากจีน แต่เป็นคน “สยาม” สมัยอยุธยา ซึ่งเป็นคนกลุ่มแรกที่เรียกตัวเองว่า “ไทย” ส่วนจีนเพียงแต่แผ่อำนาจเข้ามา “จัดการ” เพื่อผลประโยชน์ของจีนเอง
วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เวลา 13.30-15.00 น. ที่ Zone Classroom 1 อาคาร West ชั้น 2 True Digital Park มีกิจกรรม Talk “ไทย ‘ไม่มา’ จากจีน แต่จีน– ‘มา’ จัดการไทย” โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ และผู้ก่อตั้งนิตยสารศิลปวัฒนธรรม มาเล่าประสบการณ์การเดินทางไปจีนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวการแลกเปลี่ยนที่หล่อหลอมความสัมพันธ์สองชาติ
กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “Thai-Chinese Golden Fest 2025 เทศกาลร้อยเรื่องราวไทย-จีน” เทศกาลสุดยิ่งใหญ่ที่พาทุกคนร่วมเดินทางผ่านร้อยเรื่องราวของสองชาติตั้งแต่อดีตสู่ปัจจุบัน พร้อมมองอนาคตผ่านสายตาของมิตรประเทศที่เติบโตเคียงข้างกันมาโดยตลอด เพื่อเฉลิมฉลองวาระสุดพิเศษครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน โดยสำนักพิมพ์มติชน ศิลปวัฒนธรรม ศูนย์ข้อมูลมติชน (MIC) และเส้นทางเศรษฐี ในเครือมติชน
ประวัติศาสตร์ “กระแสหลัก” กล่อมเกลาให้เราเกลียดจีน
สุจิตต์ เล่าว่า ประวัติศาสตร์ “กระแสหลัก” ในอดีตที่เรื่องถิ่นกำเนิดคนไทยจากอัลไต-น่านเจ้า-ถูกจีนรุกรานจนต้องมาตั้งอาณาจักรสุโขทัย เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์รองรับ มีการคัดค้านเรื่องนี้มาตลอดด้วยหลักฐาน แต่ทางการไม่ฟัง
“ถ้าคนไทยมาจากภูเขาอัลไต-น่านเจ้าจริง กุบไลข่านตีน่านเจ้า พ.ศ. 1797 พ.ศ. 1800 ตั้งอาณาจักรสุโขทัย สร้างทันได้ยังไง จารึกพ่อขุนรามคำแหงฯ ห่างจากน่านเจ้าแตก 38 ปี ความทรงจำ ‘พ่อขุนราม’ ไม่มีเรื่องของอาณาจักรน่านเจ้าเลย เป็นไปได้ยังไง ?”
นั่นเพราะประวัติศาสตร์ไทยรับใช้การเมือง ทั้งการเมืองภายในประเทศและการเมืองโลก ประวัติศาสตร์ชาตินิยมไทย-ต่อต้านจีนคอมมิวนิสต์ ถูกสร้างขึ้นท่ามกลางสงครามเย็นที่เรา (ไทย) อยู่ข้างโลกเสรี ซึ่งมีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ ส่วนจีนอยู่ฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์
แต่ความเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นเมื่อสหรัฐฯ คืนดีกับจีน ประวัติศาสตร์ไทยก็เริ่มเปลี่ยนด้วย หลัง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปเยือนกรุงปักกิ่ง ปรากฏว่า 3 ปีต่อมา “อัลไต” ถูกถอดออกจากประวัติศาสตร์ไทย 9 ปีต่อมา “น่านเจ้า” ก็ถูกถอดออกตามไปด้วย หายไปแบบเงียบ ๆ เป็นหลักฐานว่าประวัติศาสตร์ไทยสนองการเมือง ไม่มีงานวิจัยหรือการศึกษาอย่างถูกหลักวิชาการรองรับ
ในปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ไทยฉบับหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2557 ยังระบุอยู่ว่า คนไทยมาจากตอนใต้ของจีน คือ “ลดเพดาน” จากอัลไต-น่านเจ้าลงมา แต่ยังต้องมาจากจีนอยู่ดี ผู้ก่อตั้งนิตยสารศิลปวัฒนธรรมตั้งข้อสังเกตว่า ผู้มีอำนาจในการกำหนดเนื้อหาแบบเรียนดูจะไม่สนับสนุนให้ศึกษาเรื่องจีน เน้นไปทางอินเดียเป็นหลัก ทั้งที่เรามีสัมพันธ์กับจีนมาอย่างยาวนาน

จีนเข้ามา “จัดการ” ไทย ด้วยเหตุผลด้านอำนาจ-การค้า
สุจิตต์ อธิบายถึงต้นกำเนิดความเป็นคนไทยจาก “ชาวสยาม” ที่เมืองอโยธยา บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วแผ่ความเป็นไทยขึ้นไปยังสุโขทัย โดยชาวสยามเป็นลูกผสม ร้อยพ่อ-พันแม่ หลากหลายชาติพันธุ์ แบ่งอย่างไม่เป็นทางการได้เป็น “สยามบก” คือ พวกดินแดนตอนใน ตั้งแต่สุพรรณบุรีถึงลุ่มแม่น้ำมูล “สยามทะเล” ตั้งแต่เพชรบุรีลงไปถึงนครศรีธรรมราช ทั้งหมดพูดภาษาไต-ไท เหมือนกัน และสยามทั้ง 2 พวกเป็นกำลังสำคัญในการสถาปนาอโยธยาและกรุงศรีอยุธยา
บทบาทสำคัญของชาวสยามคือการควบคุมเส้นทางการค้าทางบกและข้ามคาบสมุทรมลายู ด้านจีนที่กำลังขยายเส้นทางการค้าทางทะเลมาถึงบริเวณอ่าวไทย เพื่อทดแทนการค้าทางบกบนเส้นทางสายไหม พบปัญหาว่าช่องแคบมะละกาเต็มไปด้วยโจรสลัด จึงอยากใช้เส้นทางบกข้ามคาบสมุทรที่สยามคุมอยู่ ซึ่งจีนคุ้นเคยกับพวกสยามแห่งลุ่มแม่น้ำท่าจีน-แม่กลอง หรือทีเรียกว่า “เสียน” อันมีศูนย์กลางที่เมืองสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) อยู่แล้ว
จีนจึงหนุนสยามเมืองสุพรรณฯ ให้ “เจ้านครอินทร์” โอรสขุนหลวงพระงั่วแห่งสุพรรณบุรี ไปเมืองจีนถึง 2 ครั้ง และส่งเสริมให้เข้ายึดอำนาจอยุธยาจากราชวงศ์ “ละโว้” ซึ่งปกครองอยุธยาอยู่ในตอนนั้น โดยเจิ้งเหอส่งทัพเรือเข้ามาสนับสนุน พอราชวงศ์ “สุพรรณภูมิ” ปกครองอยุธยาได้อย่างมั่นคง ก็ “จิ้มก้อง” ให้จีนอย่างสม่ำเสมอนับแต่นั้น
“จีนต้องการเมืองขึ้น เราไม่ได้ว่าอะไร แต่ไม่พูดกันตรง ๆ ว่า ‘จิ้มก้อง’ ไม่ต่างจากการเป็นเมืองขึ้น เพราะเสียหน้า… ตั้งแต่อดีตเรารับวิทยาการจากจีนเยอะมาก ความเป็นไทยที่เราอวดกันนักหนา จริง ๆ เรารับจากเขามา มาตราชั่ง ตวง วัด รับมาจากจีน อาหารไทยที่ใช้กระทะเหล็กก็เทคโนโลยีจากจีน” สุจิตต์กล่าว
นอกจากนี้ นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์คนดังยังฝากความเห็นด้วยว่า ประวัติศาสตร์ชาติทำให้เราหลงผิด คิดว่าตัวเองใหญ่โต ทั้งที่ความเป็นไทยคือความอยู่รอด หลักฐานทางโบราณคดีชี้ว่าเราติดต่อกับอินเดีย ค้าขายกับอินเดียจนเกิดเป็นรัฐมั่งคั่งขึ้นในดินแดนไทย แต่ก่อนหน้านั้น เรารับเทคโนโลยีถลุงโลหะ ทั้งทองแดง ดีบุก และเหล็ก มาจากจีน