วันเสาร์, กรกฎาคม 26, 2568

อ.ปวินบอก จะเกาะติดเรื่องเขมรและทักษิณทั้งวัน เริ่มด้วย จดหมายที่ไทยส่งไปถึงคณะทูตถาวรและผู้แทนสังเกตการณ์ของประเทศต่างๆ ที่ UN + วิเคราะห์เพิ่มเติม ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา


Pavin Chachavalpongpun
13 hours ago
·
มาแล้วค่ะ จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายอย่างเป็นทางการที่ไทยส่งไปถึงคณะทูตถาวรและผู้แทนสังเกตการณ์ของประเทศต่างๆ ที่สหประชาชาติ (UN) เนื้อหาหลักเป็นการแจ้งให้โลกรู้ถึงสถานการณ์ที่ร้ายแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งไทยมองว่าเป็นการรุกรานและกระทบต่ออธิปไตยของไทยค่ะ
1. ประเด็น "กับระเบิด" ที่กัมพูชาวางใหม่: ไทยเริ่มด้วยการบอกว่า เมื่อวันที่ 16 และ 23 กค ทหารไทยได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการเหยียบกับระเบิดชนิด PMN-2 ในเขตแดนไทย ซึ่งระเบิดเหล่านี้เป็นกับระเบิดที่เพิ่งถูกนำมาวางใหม่ ทั้งๆ ที่ไทยเคยรายงานเรื่องการทำลายกับระเบิดต่ออนุสัญญาห้ามกับระเบิดแล้ว และกัมพูชาเองก็เคยประกาศว่าทำลายกับระเบิดเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ปี 2546 และใช้กับระเบิดที่เหลือแค่เพื่อการฝึกเท่านั้น แต่รายงานล่าสุดเมื่อสิ้นปี 2567 กลับระบุว่ากัมพูชายังคงมีกับระเบิดชนิด PMN-2 อยู่ การที่กัมพูชายังมีและมีการวางใหม่ ทำให้ไทยมองว่าไม่เป็นไปตามข้อตกลง
2. กัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนและโจมตีพลเรือน: จุดสำคัญที่สุดในจดหมายคือ ไทยยืนยันว่า เมื่อวันที่ 24 กค เวลา 08.20 น. ทหารกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงใส่ฐานทัพไทยที่ตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ก่อน ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บทันที 2 นาย จากนั้น ทหารกัมพูชาได้โจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมายใส่พลเรือนและสิ่งปลูกสร้างของประชาชนใน 4 จังหวัดชายแดน คือ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อชีวิตพลเรือน ทั้งผู้หญิงและเด็ก มีผู้เสียชีวิต 11 ราย บาดเจ็บ 24 ราย (สาหัส 8 ราย) และยังทำลายโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน เช่น โรงพยาบาล ด้วย ทำให้ประชาชนมากกว่า 102,000 คน ต้องอพยพออกจากบ้านเรือน
3. ไทยอ้างสิทธิ์ "ป้องกันตัวเอง" และกัมพูชาละเมิดกฎหมาย UN: ไทยชี้แจงว่า การโจมตีของกัมพูชาเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 2(4) ที่ห้ามการคุกคามหรือใช้กำลังกับอธิปไตยของประเทศอื่น และเป็นการละเมิดหลักการเพื่อนบ้านที่ดี ไทยยืนยันว่าได้ใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างที่สุด และการที่ไทยใช้มาตรการตอบโต้ทางทหารก็เป็นเพียงการ "ป้องกันตัวเอง" ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 โดยเน้นว่าการตอบโต้ของไทยมีขอบเขตจำกัด และทำไปเพื่อหยุดยั้งอันตรายที่กำลังเกิดขึ้นเท่านั้น
4. การประณามการโจมตีพลเรือนและโรงพยาบาล: ไทยประณามอย่างรุนแรงต่อการที่กัมพูชาโจมตีพลเรือน สิ่งปลูกสร้างของพลเรือน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาล ซึ่งไทยชี้ว่าเป็นการ ละเมิดอนุสัญญาเจนีวาปี 1949 อย่างร้ายแรง โดยเฉพาะมาตรา 18 ที่คุ้มครองโรงพยาบาล และมาตรา 19 ที่คุ้มครองผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บ การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมนี้ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานแก่พลเรือนผู้บริสุทธิ์อย่างมาก
5. ไทยยังคงต้องการแก้ปัญหาอย่างสันติ: ท้ายที่สุด ไทยยืนยันว่ายังคงยึดมั่นในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทอย่างสันติ และเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการสู้รบและกลับสู่การพูดคุยเจรจาโดยทันที ไทยยังยืนยันความพร้อมที่จะเข้าร่วมกลไกการเจรจาทวิภาคีที่มีอยู่แล้ว เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission) ที่มีกำหนดประชุมในต้นเดือน กย 2568 เพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งที่ยังค้างคา
...โดยรวมแล้ว จดหมายฉบับนี้เป็นการที่ไทยใช้เวที UN เพื่อชี้แจงให้โลกเห็นว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ก่อความรุนแรง และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการโจมตีพลเรือนและโรงพยาบาล และไทยจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง แต่ก็ยังคงต้องการแก้ปัญหาด้วยการเจรจาอย่างสันติค่ะ ดังนั้น ที่เขียนไปแล้วเรื่องทักษิณยุให้กองทัพสู้ต่อ จึงเข้าทางเขมรแทน นี่กลัวว่า กต ไทยจะทำงานเหนื่อยเปล่าถ้าทักษิณยังไม่หุบปาก

https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/9700886656679677
.....

Pavin Chachavalpongpun
13 hours ago
·
การที่ทักษิณออกมาพูดในเชิงที่ว่า -- ให้กองทัพไทยสั่งสอนให้เขมรเข็ดหลาบ -- ถือเป็นการเติมเชื้อไฟให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชารุนแรงขึ้นอย่างมาก แทนที่จะช่วยให้เรื่องสงบลง คำพูดนี้เหมือนเป็นการยุยงให้ทหารสู้ต่อและอยากให้จัดการอีกฝ่ายให้หลาบจำ ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่จะทำให้ปัญหาลดความตึงเครียดหรือหาทางออกกันดีๆ เลย ที่น่าแปลกคือ คำพูดนี้ออกมาหลังจากเรื่องโทรศัพท์รั่วระหว่างแพทองธารกับฮุน เซน ที่ถูกมองว่า "อ่อนข้อ" ให้เขมรและตำหนิกองทัพไทย การที่ทักษิณออกมาพูดแบบนี้จึงดูย้อนแย้งกับภาพลักษณ์เดิมของครอบครัว และอาจทำให้คนมองว่ากำลังพยายามแสดงความแข็งกร้าวเพื่อสู้กับคำวิจารณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ที่ว่าตระกูลชินวัตรไม่เด็ดขาดกับเรื่องความมั่นคง การที่ฮุน เซน เอาเรื่องส่วนตัวระหว่างทักษิณกับลูกสาวมาแฉ จนทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยดีกันพังทลายลงและกลายเป็นชนวนให้ความขัดแย้งชายแดนปะทุขึ้นมาตอนนี้ ก็ทำให้ทักษิณถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของต้นตอที่ทำให้เรื่องวุ่นวาย ดังนั้น การที่ออกมาพูดแบบนี้อีก ยิ่งทำให้บทบาทของตัวเองในปัญหานี้ซับซ้อนไปใหญ่
...คำพูดของทักษิณยังสร้างความลำบากใจให้กับรัฐบาลที่กำลังพยายามหาทางคลี่คลายวิกฤตนี้ เพราะรัฐบาลอาจต้องเผชิญกับแรงกดดันให้ทำตามคำพูดที่ดูแข็งกร้าวของทักษิณ ซึ่งอาจขัดแย้งกับแนวทางการทูต นอกจากนี้ ในสายตาของต่างประเทศ คำพูดนี้อาจถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ชัดเจนจากประเทศไทย และอาจถูกฝ่ายกัมพูชาเอาไปใช้โจมตีไทยในเวทีโลกได้ว่าเราเป็นฝ่ายก้าวร้าว ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการต่อสู้ที่ UN และจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศโดยรวม ดังนั้น การแสดงความคิดเห็นที่ดูจะยั่วยุแบบนี้ จึงไม่เพียงแต่ทำให้ความขัดแย้งชายแดนรุนแรงขึ้น แต่ยังทำให้การเมืองภายในประเทศวุ่นวาย และภาพลักษณ์ของไทยในสายตาต่างชาติก็อาจได้รับผลกระทบด้วย
...ดิชั้นแนะนำให้ทักษิณหุบปากค่ะ
.....

Pavin Chachavalpongpun
17 hours ago
·
วิเคราะห์เพิ่มเติมนะคะ ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา: ปมขัดแย้งเก่า ปัญหาใหม่ และเดิมพันที่สูงขึ้น
1. ต้นตอความรุนแรงจากการผิดใจกันระหว่างทักษิณและฮุนเซน: ต้องยอมรับว่าความรุนแรงในระดับที่เห็นเมื่อวานนี้ มีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างจากความขัดแย้งชายแดนในอดีตอย่างมาก และปมสำคัญที่ทำให้สถานการณ์บานปลายอย่างน่าตกใจคือ ความสัมพันธ์ที่แตกร้าวอย่างรุนแรงระหว่างทักษิณ กับฮุน เซน ที่เคยเป็นมิตรสนิทกันมายาวนานกว่าสองทศวรรษ ความสัมพันธ์ส่วนตัวนี้เคยทำหน้าที่เป็นช่องทางลับในการลดความตึงเครียดและคลี่คลายข้อพิพาทชายแดนมาหลายครั้งในอดีต แต่การที่ฮุน เซน ตัดสินใจเปิดเผยบทสนทนาส่วนตัวกับแพทองธาร ซึ่งนำไปสู่การถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีของแพทองธารนั้น ถือเป็นการหักหลังความสัมพันธ์ส่วนตัวอย่างโจ่งแจ้ง การกระทำนี้ถูกตีความว่าเป็นการทำลาย "สะพานเชื่อม" ที่สำคัญที่สุด และทักษิณเองก็ได้ออกมาแสดงความตกใจและผิดหวังอย่างเปิดเผย โดยกล่าวหาว่าฮุน เซน เป็นผู้สั่งการโจมตีล่าสุด การที่ช่องทางส่วนตัวที่เคยใช้คลี่คลายวิกฤตถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของความบาดหมางที่รุนแรงนี้ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างรวดเร็วและควบคุมได้ยากกว่าที่เคย
2. ท่าทีของรัฐบาลไทยที่ยังคง "โยนความผิด" ให้ผู้อื่น: ในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนและรุนแรงเช่นนี้ ท่าทีของรัฐบาลไทยที่ดูเหมือนจะเน้นไปที่การโทษว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้กระทำผิดเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่มีการประเมินหรือยอมรับถึงพลวัตภายในประเทศ หรือบทบาทของความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ซับซ้อนนั้น อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในสายตานานาชาติได้ แม้ว่าการที่กัมพูชาอาจเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อนและมีการทำลายทรัพย์สินพลเรือนจะเป็นจุดแข็งที่สำคัญของไทยในการโต้แย้งในเวที UN ตามที่ได้วิเคราะห์ไปแล้ว แต่การที่รัฐบาลเพิกเฉยต่อบริบททางการเมืองภายในและผลพวงจากความสัมพันธ์ส่วนบุคคลที่ซับซ้อน อาจทำให้การสื่อสารขาดมิติความเข้าใจเชิงลึกในระยะยาว การเน้นแต่การกล่าวโทษฝ่ายเดียวโดยไม่แสดงท่าทีที่พร้อมจะควบคุมสถานการณ์หรือเปิดช่องทางการเจรจาอย่างจริงจัง อาจทำให้ประชาคมโลกมองว่าไทยยังขาดความพร้อมในการจัดการวิกฤตที่ซับซ้อนเช่นนี้อย่างรอบด้าน
3. บทบาทของทักษิณที่ออกมาให้สัมภาษณ์และสร้างความสับสน: การที่ทักษิณได้ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์นี้ ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนและอาจซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกล่าวชมกองทัพไทยในขณะที่ลูกสาวตัวเองเพิ่งถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่จากการที่บทสนทนาส่วนตัวที่ไปพาดพิงกองทัพรั่วไหลออกมานั้น สร้างความสับสนและเป็นข้อกังขาถึงวาระที่แท้จริงของการแสดงความเห็น การที่ทักษิณยังคงมีบทบาทและส่งสัญญาณที่ไม่สอดคล้องกันผ่านสื่อสาธารณะ อาจถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงทางการเมืองในช่วงวิกฤต ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อเสถียรภาพของรัฐบาลรักษาการ และทำให้การจัดการความขัดแย้งกับกัมพูชายิ่งซับซ้อนขึ้น เพราะเป็นการนำประเด็นการเมืองภายในเข้ามาผสมโรงกับความมั่นคงระหว่างประเทศ
4. ฮุน มาเน็ต เดิมพันอย่างดุเดือด เป็นบวกและลบต่อกัมพูชา: การที่กัมพูชาภายใต้การนำของฮุน มาเน็ต มีท่าทีแข็งกร้าวและยกระดับความรุนแรงในครั้งนี้ ถือเป็นการ "เล่นพนัน" ทางการเมืองที่ดุเดือดและมีความเสี่ยงสูง ซึ่งมีทั้งผลบวกและลบต่อกัมพูชา:
ข้อดี (บวก): การแสดงความแข็งกร้าวและปกป้องอธิปไตยในกรณีพิพาทชายแดนเป็นกลยุทธ์ที่ฮุน เซน ผู้เป็นพ่อใช้มาโดยตลอด เพื่อปลุกกระแสชาตินิยมและรวมพลังประชาชน ไว้เบื้องหลังรัฐบาล ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความชอบธรรมและภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งของฮุน มาเน็ต ในช่วงเริ่มต้นของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ การใช้ความรุนแรงอย่างรวดเร็วอาจเป็นการสร้างแรงกดดันต่อไทยให้ยอมเจรจาในเงื่อนไขที่กัมพูชาต้องการในอนาคต โดยอาศัยการสนับสนุนและอิทธิพลจากจีนเบื้องหลัง
ข้อเสีย (ลบ): การโจมตีเป้าหมายพลเรือนดังที่ไทยกล่าวอ้างและการเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน หากพิสูจน์ได้ จะทำให้กัมพูชาถูกประณามอย่างหนักจากประชาคมโลก และอาจนำไปสู่การถูกพิจารณามาตรการลงโทษหรือการสอบสวนอาชญากรรมสงครามได้ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และสถานะของกัมพูชาในเวทีโลกอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ การยกระดับความรุนแรงที่ควบคุมไม่ได้อาจนำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจ และการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของทั้งสองฝ่าย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน
5. การต่อสู้ใน UN และสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น: เมื่อทั้งสองประเทศต่างนำความขัดแย้งเข้าสู่เวทีสหประชาชาติ การต่อสู้ใน UN จะเป็นไปในลักษณะของการประชันหลักฐาน การชี้แจงจุดยืน และการแสวงหาการสนับสนุนทางการทูต ประเทศไทยจะใช้โอกาสนี้ในการนำเสนอหลักฐานที่ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มยิงและโจมตีเป้าหมายพลเรือน ซึ่งจะเป็นจุดแข็งสำคัญที่ไทยจะใช้กดดันกัมพูชาให้ต้องเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ คาดว่าคณะมนตรีความมั่นคงฯ จะเรียกร้องให้มีการหยุดยิงทันที และเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายกลับสู่โต๊ะเจรจา อาจมีการเสนอให้ส่งคณะสังเกตการณ์ของ UN เข้าไปในพื้นที่ หรือให้เลขาธิการสหประชาชาติเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ UN จะสามารถทำได้นั้นยังขึ้นอยู่กับฉันทามติของสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่สมาชิกถาวรทั้ง 5 ประเทศ (โดยเฉพาะจีน) จะเลือกใช้อำนาจยับยั้งหรือไม่ หากจีนเลือกที่จะไม่ใช้สิทธิยับยั้งและสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ อาจจะทำให้กระบวนการยุติความขัดแย้งเดินหน้าได้รวดเร็วขึ้น แต่หากมีการใช้อำนาจยับยั้งหรือมีผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน การแก้ไขปัญหาผ่าน UNSC ก็อาจถูกจำกัดลง และอาจต้องพึ่งพาบทบาทขององค์กรระดับภูมิภาคอย่างอาเซียน หรือการเจรจาทวิภาคีเป็นหลักต่อไป ซึ่งในสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศกำลังแตกหัก การเจรจาหาทางออกก็จะยิ่งยากลำบากและยาวนานขึ้นไปอีก
ต้องดูกันยาวๆ แล้วค่ะ


Keng Susumpow
ขอบคุณสำหรับโพสครับ สนใจอยากรู้เพิ่มครับว่า
ข้อ 2 รูปร่างของ การไม่เพิกเฉยต่อ “บริบททางการเมืองภายในและผลพวงจากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน…” มันเป็นยังไงนะครับ ขอบคุณครับ

Pavin Chachavalpongpun
Keng Susumpow ต้องยอมรับว่า ทักษิณมีส่วนทำให้ความขัดแย้งนี้มันเกิดขึ้นค่ะ


https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun