
‘สีกากอล์ฟ’ สู่กฎหมายคุ้มครองพุทธศาสนา: เมื่อกฎหมายอาจกลายเป็นกฎห้ามหมิ่น และเพิ่ม ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ให้สังคมไทย
ชลธิชา ทักษิณาเวศน์
28 Jul 2025
101 World
พระทำผิดวินัยไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องราวฉาวโฉ่ของวงการผ้าเหลืองก็เป็นเชื้อไฟที่สร้างประกายร้อนแรงให้สังคมไทยได้ไม่ยาก ตั้งแต่เรื่องเงินทอง เรื่องยาเสพติด จนถึงเรื่องความสัมพันธ์กับสีกา จึงไม่แปลกเลยที่กรณี ‘สีกากอล์ฟ’ จะได้รับความสนใจจากวงกว้าง
อันที่จริงถือว่าข่าวนี้เป็นอีกหนึ่งกรณีที่เขย่าศรัทธาวงการสงฆ์ครั้งใหญ่ เนื่องจากมีพระสงฆ์ ‘แรงค์สูง’ อย่างน้อย 13 รูปจากหลากวัดหลายจังหวัดที่ประกาศลาสึกเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ยังไม่รวมกรณีอดีตพระเทพพัชราภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่ายักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หลังพบว่าโอนเงินหลักแสนให้สีกากอล์ฟด้วยบัญชีของวัด
ขณะที่ ‘สีกากอล์ฟ’ ถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 โดยถูกแจ้งสามข้อหา ได้แก่ สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รับของโจร และฟอกเงิน ทั้งนี้ ตำรวจสอบสวนกลางแถลงด้วยว่ามีเงินหมุนเวียนประมาณ 385 ล้านบาทในเส้นทางการเงินของเธอ
“อยากให้รัฐออกกฎหมายปกป้องศาสนาพุทธ” “อยากให้สังคายนากฎหมายเพื่อจัดการพระที่ผิดวินัยร้ายแรง” เหล่านี้คือเสียงของกลุ่มที่ต้องการให้รัฐใช้อำนาจจัดการศาสนา ล่าสุดพรรคเพื่อไทยก็มีท่าทีตอบสนอง พร้อมประกาศเตรียมยกร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพุทธศาสนาฯ อันอาจกำหนดโทษทางอาญาสำหรับผู้ที่กระทำผิดอันเข้าข่ายเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะในสงฆ์หรือฆราวาส
สกู๊ปชิ้นนี้ไม่ใช่การล้วงลึกลากไส้เรื่องฉาวของสงฆ์และสีกา หากอยากชวนสำรวจปฏิกิริยาของสังคมไทยที่กำลังเรียกร้องหา ‘กฎหมาย’ หรือการใช้อำนาจรัฐเพื่อควบคุมพฤติกรรมของพระสงฆ์ในไทย
อะไรคือข้อควรพิจารณาในการออกกฎหมายคุ้มครองพุทธศาสนา การเกิดขึ้นของกฎหมายคุ้มครองศาสนาจะสร้างผลกระทบอย่างไร ขณะที่ความสัมพันธ์ (ที่ควรจะเป็น) ระหว่าง ‘รัฐ’ และ ‘ศาสนา’ นั้นเป็นอย่างไร วันโอวันชวนหาคำตอบไปด้วยกัน
ปรากฏการณ์เรียกหากฎหมายจัดการ ‘พุทธไม่แท้’
ความพยายามเรียกร้องให้มีกฎหมายจัดการพระที่ทำให้ศาสนาเสื่อมเสียนั้นมีมาตลอด พุทธศาสนิกชนจำนวนหนึ่งต้องการให้รัฐใช้อำนาจจัดการพระที่ ‘ไม่ดี’ หรือพระที่ทำผิดทางวินัยและศีลธรรม ทั้งยังหวังให้รัฐกู้วิกฤตศรัทธาศาสนาพุทธและทำให้ศาสนาพุทธกลับมาขาวสะอาดอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่าปรากฏการณ์ที่สังคมไทยพยายามหากฎหมายเพื่อเอาผิดพระและฆราวาส คือปรากฏการณ์ที่สะท้อนว่าพุทธคือศาสนาประจำชาติอย่างแท้จริง แม้รัฐธรรมนูญปัจจุบันจะไม่ได้ประกาศศาสนาประจำชาติก็ตาม
“ศาสนาในหลายประเทศถือเป็นเรื่องส่วนตัว (private) กล่าวคือเป็นความเชื่อใครความเชื่อมันและแยกออกจากรัฐ แต่เมื่อศาสนามีปัญหา คนไทยก็พยายามหากฎหมายเพื่อจัดการ ปรากฏการณ์นี้อาจสะท้อนว่าพุทธคือศาสนาประจำชาติของจริง”
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ราชกิจจานุเบกษาออกประกาศยกเลิกพระบรมราชโองการสถาปนาสมณศักดิ์และพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ 81 รูป เข็มทองมองว่าประกาศนี้ยิ่งตอกย้ำความไม่เป็น ‘เรื่องส่วนตัว’ ของศาสนา และตอกย้ำว่าศาสนาพุทธไทยอยู่ใต้รัฐมาโดยตลอด
เข็มทองเล่าว่าวิธีคิดของพุทธเถรวาท คือศาสนาต้องได้รับการอุปถัมป์จากรัฐทางโลก มิติหนึ่งคือการอุปถัมภ์ทางทรัพยากร แต่อีกมิติหนึ่งที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง คือการอุปถัมภ์ผ่านการใช้อำนาจและการลงโทษ กล่าวคือเรียกร้องให้รัฐใช้ความรุนแรงในการลงโทษหรือชำระให้ศาสนาสะอาด
การเรียกร้องให้รัฐมีอำนาจจัดการพระผิดวินัยเคยเป็นเรื่องสมเหตุสมผลในยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์ เข็มทองกล่าวว่าอำนาจรัฐและอำนาจศาสนาเคยผสมปนกันในโลกยุคหนึ่ง ดังนั้น หน้าที่ส่วนหนึ่งของรัฐยุคนั้นจึงเป็นการอุปถัมภ์ศาสนา แต่เมื่อรัฐเริ่มเข้าสู่การเป็นรัฐโลกวิสัย (secularization) กล่าวคือรัฐและศาสนาถูกแยกจากกัน ข้อเรียกร้องเรื่องอุปถัมภ์ศาสนาจึงเริ่มหายไป
ทว่าการ secularization ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกรัฐ เข็มทองชี้ว่าการ secularization อาจเกิดขึ้นแค่ในรัฐโลกตะวันตกเท่านั้น ขณะที่รัฐกลุ่มประเทศโลกใต้ (global south) อย่างรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือแม้กระทั่งรัฐไทยเองก็อาจไม่เกิดปรากฏการณ์นี้ ทำให้การแยกรัฐออกจากศาสนายังไม่สำเร็จ และข้อเรียกร้องให้รัฐต้องอุปถัมภ์ศาสนานั้นยังคงอยู่
“คัมภีร์ศาสนาคริสต์จะมีบทที่อธิบายถึงเหรียญทองในวิหาร มีคนถามพระเยซูว่าต้องให้ใคร พระเยซูตอบว่าอะไรที่มีรูปของซีซาร์ก็ให้ซีซาร์ อะไรที่เป็นของพระเจ้าก็ถวายแด่พระเจ้า สะท้อนวิธีคิดเรื่องแยกรัฐและศาสนาออกจากกัน ภายหลังศาสนาคริสต์มีคริสตจักรเพื่อบริหารงานเองด้วย เมื่อศาสนามีองค์กรปกครองกลางของตนเอง ก็แยกจากรัฐตั้งแต่ตรงนั้น”
ทั้งนี้ เข็มทองอธิบายเสริมต่อว่ากระบวนการแยกรัฐจากศาสนานั้นไม่แล้วเสร็จไปอีกประมาณ 500 ปี แต่จุดแตกหักระหว่างศาสนาและอำนาจทางโลกเกิดขึ้นในเยอรมนีเมื่อ ค.ศ. 1100 กล่าวคือข้อขัดแย้งเรื่องการสถาปนาสมณศักดิ์ (The Investiture Conflict) ที่จักรพรรดิแห่งเยอรมนีทะเลาะกับพระสันตปาปา ทว่าศาสนาก็ยังไม่แยกออกจากกัน จนกระทั่งการมาถึงของลัทธิโปรเตสแตนท์และการเขียนจดหมายว่าด้วยความอดกลั้น (Letter on Toleration) ของนักปรัชญานามจอห์น ล็อค (John Locke) ในยุคภูมิปัญญา
“ส่วนศาสนาพุทธในแง่คัมภีร์จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยพูดว่าการปกครองที่ดีเป็นอย่างไร อาจบอกให้ไม่ยุ่งเรื่องทางโลก แต่ขณะเดียวกัน จากพุทธประวัติจะพบว่าพระพุทธเจ้าให้คำปรึกษาและสอนธรรมะแก่กษัตริย์อยู่ตลอด”
“พุทธจึงเป็นศาสนาที่เหมือนจะพยายามปลีกตัวจากทางโลก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถปลีกตัวได้” เข็มทองกล่าว
อีกประเด็นน่าสนใจคือศาสนาพุทธไม่มีองค์กรกลางระดับโลกให้พึ่งพิง เข็มทองอธิบายว่าถึงที่สุดแล้วโครงสร้างและวินัยของศาสนาพุทธกำหนดให้พระต้องบิณฑบาตเพื่อปากท้อง ดังนั้น พระในระดับปัจเจกก็ต้องพึ่งชาวบ้าน ระดับวัดก็ต้องพึ่งหมู่บ้าน ส่วนระดับองค์กรสงฆ์ก็ต้องอยู่กับสถาบันกษัตริย์หรือองค์อุปถัมป์ของรัฐนั้นๆ เพื่อความอยู่รอด
เมื่อถามว่าปัจจัยที่ทำให้รัฐไทยไม่เป็นรัฐโลกวิสัยคืออะไร เข็มทองตอบว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะโครงสร้างและวินัยของศาสนาพุทธเอง แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่รัฐสมัยใหม่ในยุครัชกาลที่ 5 เป็นการเปลี่ยนผ่านที่โครงสร้างใหญ่ของสังคมไม่ขยับและสถาบันเชิงจารีตยังคงถูกรักษาไว้
“เกือบสำเร็จจริงๆ คือช่วงปี 2475” เข็มทองเล่า ก่อนจะอธิบายว่าในช่วงเวลานั้นมีความพยายามร่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับใหม่ ซึ่งพยายามสลายนิกายและจัดให้องค์กรพระมีความเป็นประชาธิปไตย แต่ก็ไม่สำเร็จ
“อนุรักษนิยมมักอธิบายว่าพุทธศาสนาไทยเริ่มเสื่อมตั้งแต่มีประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยแยกรัฐออกจากศาสนาและรัฐธรรมนูญก็กดศาสนาลง พวกเขาอธิบายเสมอว่าถ้าอยากให้ศาสนากลับมาดีงาม ต้องเอาศาสนากลับมาใกล้ชิดรัฐให้มากที่สุด”
รัฐธรรมนูญกับพุทธศาสนา
“คนไทยไม่เคยห่างจากศาสนาพุทธ แม้กระทั่งในยามที่ประชาธิปไตยเบ่งบานที่สุด” เข็มทองว่าอย่างนั้น ท่ามกลางความหลากหลายของอุดมการณ์ คนไทยจำนวนมากยังนิยามตนเองแบบเชื่อมโยงกับพุทธศาสนา เพียงแต่อาจแตกต่างกันในเหลี่ยมของความเชื่อเท่านั้น – บางคนสายเกจิ บางคนสายพระป่า หรือบางคนสายมู
แม้แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งมักถูกนิยามว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ก็ไม่มีประเด็นเรื่องการแยกรัฐออกจากศาสนา แต่ในทางกลับกันมีกระแสเรียกร้องให้เน้นย้ำความสำคัญของศาสนาพุทธ ให้รับรองพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ด้วยวิธีคิดว่าประชาชนไทยเสียงข้างมากเป็นพุทธศาสนิกชน
เสียงเรียกร้องให้รับรองพุทธเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 นั้นไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เข็มทองชี้ว่าภายใต้ความไม่สำเร็จ แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐก็ยังคงบอกให้รัฐต้องส่งเสริมและคุ้มครองพุทธศาสนาและศาสนาอื่นให้ประกอบพิธีกรรมตนเองได้ เผยแพร่ความเชื่อตนเองได้ และอยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์
ในส่วนของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน เข็มทองเล่าว่าเนื้อหาเขียนว่า “รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพุทธศาสนาและศาสนาอื่น” และเขียนด้วยว่า “รัฐต้องสนับสนุน ปกป้อง และคุ้มครองพุทธศาสนาเถรวาทให้พ้นจากการบ่อนทำลาย” ซึ่งถือเป็นการเขียนที่แปลก สะท้อนวิธีคิดของรัฐไทยที่ไปไม่พ้นเรื่องศาสนา และมองว่ารัฐต้องเป็น ‘ผู้ช่วย’ ในเรื่องศาสนาอยู่เสมอ
ย้อนดู พ.ร.บ.คณะสงฆ์
พ.ร.บ.คณะสงฆ์ บังคับใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งล่าสุดใน พ.ศ. 2561 กฎหมายฉบับนี้มีขึ้นเพื่อดำเนินกิจการและจัดการปกครองของคณะสงฆ์ โดยเนื้อหาระบุถึงอำนาจที่เกี่ยวข้อง อาทิ อำนาจในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชของพระมหากษัตริย์ อำนาจในการตรากฎหรือออกข้อบังคับของมหาเถรสมาคม ตลอดจนอำนาจในการบังคับสึกพระที่ล่วงละเมิดพระธรรมวินัยของมหาเถรสมาคม
เมื่อถามว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มีปัญหาอย่างไร เข็มทองอธิบายว่ากฎหมายนี้กำหนดโครงสร้างให้มีกรรมการเพียงชุดเดียวที่ดูแลองค์กรสงฆ์ทั่วประเทศ ส่งผลให้กรรมการนั้นๆ มีอำนาจเยอะเหนือพระสงฆ์ในไทย ขณะที่การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่องค์กรเดียวก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล
ทั้งนี้ เข็มทองเผยด้วยว่ากฎหมายกำหนดให้มหาเถรสมาคมมีอำนาจชี้ว่าใครอยู่หรือไม่อยู่ในคณะสงฆ์ไทย ซึ่งหากไม่ถูกนับหรือถูกขับออกจากคณะสงฆ์ไทย บุคคลนั้นจะไม่มีสิทธิแต่งตัวเป็นสงฆ์ ไม่มีสิทธิอยู่วัด และไม่มีสิทธิประกอบศาสนกิจ
มหาเถรสมาคมจะควบคุมและชี้ขาดผ่านสองประเด็นหลัก ได้แก่ เรื่องคำสอน (orthodoxy) และเรื่องวัตรปฏิบัติ (orthopraxy) เช่น หากวัดไหนสอนเรื่องจิตและสมาธิไม่ถูกต้องตามแนวทางที่วางไว้ มหาเถรสมาคมจะมีอำนาจในการขับออกจากคณะสงฆ์ ซึ่งบางองค์กรที่ถูกขับออก -ถ้าอยากดำเนินการต่อ- ก็ต้องใช้วิธีเปลี่ยนชุดและเรียกตัวเองว่านักบวชหรือนักพรตแทน เพราะการทำตัวเหมือนเป็นพระสงฆ์นั้นมีโทษทางอาญา
อย่างไรก็ตาม เข็มทองตั้งข้อสังเกตว่าพุทธเถรวาทในไทยอาจไม่มีคำสอนกลางด้วยซ้ำ เนื่องจากแต่ละวัดก็สอนกันคนละแบบ บางวัดเป็นพระป่า บางวัดไหว้ชูชก เป็นต้น ขณะที่สิ่งที่มหาเถรสมาคมสนใจดูจะเป็นเรื่องวัตรปฏิบัติมากกว่า กล่าวคือปล่อยให้สอนคำสอนได้หลากหลายแบบ แต่ถ้าวัตรปฏิบัติไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น ปั้นพระพุทธรูปใส่แว่นดำ ก็จะไม่ปล่อยไว้
นอกจากนี้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ยังกำหนดให้พระเจ้าอาวาสเป็น ‘เจ้าพนักงาน’[1] ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งตำแหน่งเจ้าพนักงานมักจะพ่วงมาด้วยอำนาจทางกฎหมายและงบประมาณแผ่นดิน แต่เจ้าอาวาสซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกลับไม่อยู่ในเขตการตรวจสอบของศาลปกครอง
“เจ้าอาวาสคือเจ้าพนักงาน ตามหลักคืออำนาจและงบประมาณจะถูกจัดสรรให้แก่คนที่เป็นเจ้าพนักงาน เมื่อพระเป็นเจ้าพนักงานก็จะได้ทั้งอำนาจและทรัพยากร แต่หลักความรับผิดรับชอบดันไม่ตามมาด้วย”
“ขณะที่มหาเถรสมาคมเป็นองค์กรที่ล่วงอำนาจเยอะเกินไป แต่ไม่มีความรับผิดรับชอบ ไม่สามารถตรวจสอบได้ และไม่มีความโปร่งใส นี่คือประเด็นที่กฎหมายคณะสงฆ์ถูกวิจารณ์มาโดยตลอด เมื่อกฎหมายเป็นเช่นนี้ก็คาดหมายได้ว่าองค์กรสงฆ์จะมีปัญหา มีเรื่องอื้อฉาว หรือตัดสินใจได้ไม่ดี”
ต้องเอารัฐออกจากศาสนา (secularization)
ที่ผ่านมา นักวิชาการหลายคนเห็นตรงกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยและศาสนานั้นแยกจากกันไม่ขาดและสร้างปัญหามาโดยตลอด โดยเฉพาะปัญหาความสัมพันธ์ที่แนบชิดจนต่างฝ่ายต่างใช้กันและกันเป็นเครื่องมือ – รัฐใช้ศาสนาสร้างความชอบธรรม องค์กรศาสนาได้ประโยชน์จากรัฐ เป็นต้น จึงมีข้อเรียกร้องให้ seculrization เรื่อยมา เพื่อกู้วิกฤตศรัทธาศาสนาพุทธ เพื่อป้องกันการทับซ้อนของอำนาจ และเพื่อป้องกันการผูกขาดการตีความศาสนาและความเชื่อ
เข็มทองเสนอว่า หากมหาเถรสมาคมออกจากการเป็นองค์กรรัฐและปรับเป็นองค์กรเอกชน แน่นอนว่ามหาเถรสมาคมจะยังถูกคุ้มครองเรื่องสิทธิเสรีภาพทางศาสนา รวมถึงมีสิทธิตีความคัมภีร์และกำหนดวัตรปฏิบัติภายในองค์กร แต่จะไม่มีสิทธิห้ามไม่ให้บุคคลที่อยากตีความคัมภีร์แบบอื่นไม่ให้เป็นสงฆ์ ป้องกันไม่ให้รัฐมีอำนาจไปชี้นิ้วบอกว่าใคร ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ พระ
“เรื่องที่รัฐอาจเข้าไปยุ่งคือเรื่องการเงินและการถือครองทรัพย์สิน เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่การเข้าไปตรวจสอบเพื่อให้ศาสนาสะอาด ไม่ใช่การทำนุบำรุง แต่ตรวจสอบในฐานะหน่วยงานที่ได้รับเงินบริจาคจากประชาชนเยอะ เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนผู้บริจาคถูกโกง” เข็มทองกล่าว
เพื่อคุ้มครองสิทธิของบุคคล – นี่คือวิธีคิดที่รัฐควรใช้ในการเข้าไปยุ่งกับศาสนา ที่นอกจากเรื่องเงินทองที่เล่าไปข้างต้น เข็มทองเสนอว่ารัฐอาจเข้าไปยุ่งในกรณีที่เกิดความผิดทางอาญา เช่น การล่วงละเมิดทางเพศเณรผู้เยาว์ เป็นต้น
“เวลาที่เราบอกว่ารัฐไม่ควรยุ่งกับศาสนา หมายความว่ารัฐไม่ควรเข้าไปยุ่งกับความเชื่อและไม่ควรทำหน้าที่รับรองความถูกผิดของคำสอน เพราะทุกคนควรมีอิสระและเจตจำนงในการตีความคำสอนของตนเอง”
“แต่รัฐจะเข้าไปยุ่งกับศาสนาได้ หากเป็นไปเพื่อคุ้มครองสังคมจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากองค์กรทางศาสนา อย่างกรณีพระเปิดบัญชีฝากเงินที่ต่างประเทศ กรณีนี้รัฐก็ควรเข้าไปตรวจสอบหรือเปล่า แต่สิ่งที่รัฐทำกลับเป็นการอธิบายว่าคำสอนนี้ถูกหรือผิด”
เมื่อถามว่าเหตุใดมหาเถรสมาคมซึ่งมีอำนาจ ถึงไม่ให้ความสำคัญกับการจัดการพระที่มีพฤติกรรมก่อผลเสียต่อประชาชน โดยเฉพาะกรณีการเงินของวัด เข็มทองตอบเพียงว่า “ถ้าเอาออกเดี๋ยวไม่เหลือสักวัด”
พ.ร.บ.คุ้มครองพระพุทธศาสนา อาจกลายเป็นกฎหมายห้าม ‘ลบหลู่’
เข็มทองมองว่าสังคมไทยไม่ควรมีกฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนา เนื่องจากการกำหนดระเบียบวิธีอาจไม่สมเหตุสมผล ขณะที่รัฐอาจรับรองว่าบางวัดถูกต้อง บางวัดไม่ถูกต้อง อันจะนำไปสู่การตั้งคำถามสารพัดว่าการตีความและวัตรปฏิบัติแบบใดถึงถูกต้องที่สุด
มากไปกว่านั้น กฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนาอาจกลายเป็นกฎหมายห้าม ‘ลบหลู่’ ที่อาจละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนบางกลุ่มได้ เข็มทองอธิบายว่า “เนื้อหากฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนาจะกลายเป็น blasphemy laws หรือก็คือกฎหมายที่ต่อต้านการลบหลู่ศาสนา ซึ่งกฎหมายแบบนี้ไม่ใช่สัญญาณของความก้าวหน้า”
“มันคือกฎหมายห้ามหมิ่นที่เพิ่มสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างให้สังคมไทย” เข็มทองกล่าว ก่อนเสริมว่าหากกฎหมายถูกพัฒนาและบังคับใช้ การสอนผิดอาจไม่ใช่แค่เรื่องความแตกต่างในการตีความ แต่กลายเป็นเรื่องลบหลู่ดูหมิ่นศาสนา
ทั้งนี้ เข็มทองชี้ว่าไทยมีกฎหมายป้องกันการดูหมิ่นศาสนาในปัจจุบันก็จริง แต่กฎหมายมีลักษณะเป็นกลาง เช่น ป้องกันไม่ให้คนปั่นป่วน สร้างความวุ่นวาย หรือทำลายรูปเคารพไม่ว่าจะของศาสนาใดก็ตาม กฎหมายป้องกันการดูหมิ่นศาสนาฉบับนี้จึงมีวิธีคิดเพื่อคุ้มครองความสงบโดยรวมและรับรองสิทธิในการนับถือศาสนา
“มันเป็นกฎหมายที่มีความเป็นกลาง แต่กฎหมายคุ้มครองพุทธศาสนาอาจทำให้พุทธศาสนากลายเป็นศาสนาที่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์กว่าศาสนาอื่น”
“สังคมไทยคือสังคมที่ทุกอย่างศักดิ์สิทธิ์ การเพิ่มอำนาจศาสนาพุทธอาจทำให้สิทธิและเสรีภาพในการคิดและแสดงออกของสังคมหดลง ซึ่งไม่เพียงกระทบศาสนิกชนเท่านั้น แต่กระทบนักวิชาการหรือประชาชนที่ต้องการวิจารณ์มหาเถรสมาคมด้วย เพราะวิจารณ์ไปก็อาจโดนกฎหมายหมิ่นศาสนา”
ท้ายที่สุด เข็มทองระบุว่ามหาเถรสมาคมอาจขาดความสามารถในการใช้อำนาจ กล่าวคือยังขาดกลไกพัฒนาคนในองค์กร รูปแบบวิธีคิดขององค์กรยังโบราณ แต่กลับเป็นองค์กรที่อำนาจเยอะ และอาจเยอะยิ่งขึ้นอีกหากกฎหมายคุ้มครองพุทธศาสนาเบ่งบาน
แต่สังคมไทยเป็นสังคมตลก เข็มทองว่าอย่างนั้น เขากล่าวว่าข่าวเจ้าอาวาสมีสัมพันธ์กับสตรีหรือข่าวพระโอนเงินเปย์หญิงนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ “นี่ไม่ใช่ข่าวใหม่ในสังคมไทยนะ แต่คนไทยเป็นคนตลก และสังคมไทยก็เป็นสังคมที่ตลกที่ยังตื่นตระหนกและตกใจกับเรื่องนี้”
https://www.the101.world/buddhism-protection-act/
101 World
พระทำผิดวินัยไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องราวฉาวโฉ่ของวงการผ้าเหลืองก็เป็นเชื้อไฟที่สร้างประกายร้อนแรงให้สังคมไทยได้ไม่ยาก ตั้งแต่เรื่องเงินทอง เรื่องยาเสพติด จนถึงเรื่องความสัมพันธ์กับสีกา จึงไม่แปลกเลยที่กรณี ‘สีกากอล์ฟ’ จะได้รับความสนใจจากวงกว้าง
อันที่จริงถือว่าข่าวนี้เป็นอีกหนึ่งกรณีที่เขย่าศรัทธาวงการสงฆ์ครั้งใหญ่ เนื่องจากมีพระสงฆ์ ‘แรงค์สูง’ อย่างน้อย 13 รูปจากหลากวัดหลายจังหวัดที่ประกาศลาสึกเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ยังไม่รวมกรณีอดีตพระเทพพัชราภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่ายักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หลังพบว่าโอนเงินหลักแสนให้สีกากอล์ฟด้วยบัญชีของวัด
ขณะที่ ‘สีกากอล์ฟ’ ถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 โดยถูกแจ้งสามข้อหา ได้แก่ สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รับของโจร และฟอกเงิน ทั้งนี้ ตำรวจสอบสวนกลางแถลงด้วยว่ามีเงินหมุนเวียนประมาณ 385 ล้านบาทในเส้นทางการเงินของเธอ
“อยากให้รัฐออกกฎหมายปกป้องศาสนาพุทธ” “อยากให้สังคายนากฎหมายเพื่อจัดการพระที่ผิดวินัยร้ายแรง” เหล่านี้คือเสียงของกลุ่มที่ต้องการให้รัฐใช้อำนาจจัดการศาสนา ล่าสุดพรรคเพื่อไทยก็มีท่าทีตอบสนอง พร้อมประกาศเตรียมยกร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพุทธศาสนาฯ อันอาจกำหนดโทษทางอาญาสำหรับผู้ที่กระทำผิดอันเข้าข่ายเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะในสงฆ์หรือฆราวาส
สกู๊ปชิ้นนี้ไม่ใช่การล้วงลึกลากไส้เรื่องฉาวของสงฆ์และสีกา หากอยากชวนสำรวจปฏิกิริยาของสังคมไทยที่กำลังเรียกร้องหา ‘กฎหมาย’ หรือการใช้อำนาจรัฐเพื่อควบคุมพฤติกรรมของพระสงฆ์ในไทย
อะไรคือข้อควรพิจารณาในการออกกฎหมายคุ้มครองพุทธศาสนา การเกิดขึ้นของกฎหมายคุ้มครองศาสนาจะสร้างผลกระทบอย่างไร ขณะที่ความสัมพันธ์ (ที่ควรจะเป็น) ระหว่าง ‘รัฐ’ และ ‘ศาสนา’ นั้นเป็นอย่างไร วันโอวันชวนหาคำตอบไปด้วยกัน
ปรากฏการณ์เรียกหากฎหมายจัดการ ‘พุทธไม่แท้’
ความพยายามเรียกร้องให้มีกฎหมายจัดการพระที่ทำให้ศาสนาเสื่อมเสียนั้นมีมาตลอด พุทธศาสนิกชนจำนวนหนึ่งต้องการให้รัฐใช้อำนาจจัดการพระที่ ‘ไม่ดี’ หรือพระที่ทำผิดทางวินัยและศีลธรรม ทั้งยังหวังให้รัฐกู้วิกฤตศรัทธาศาสนาพุทธและทำให้ศาสนาพุทธกลับมาขาวสะอาดอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่าปรากฏการณ์ที่สังคมไทยพยายามหากฎหมายเพื่อเอาผิดพระและฆราวาส คือปรากฏการณ์ที่สะท้อนว่าพุทธคือศาสนาประจำชาติอย่างแท้จริง แม้รัฐธรรมนูญปัจจุบันจะไม่ได้ประกาศศาสนาประจำชาติก็ตาม
“ศาสนาในหลายประเทศถือเป็นเรื่องส่วนตัว (private) กล่าวคือเป็นความเชื่อใครความเชื่อมันและแยกออกจากรัฐ แต่เมื่อศาสนามีปัญหา คนไทยก็พยายามหากฎหมายเพื่อจัดการ ปรากฏการณ์นี้อาจสะท้อนว่าพุทธคือศาสนาประจำชาติของจริง”
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ราชกิจจานุเบกษาออกประกาศยกเลิกพระบรมราชโองการสถาปนาสมณศักดิ์และพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ 81 รูป เข็มทองมองว่าประกาศนี้ยิ่งตอกย้ำความไม่เป็น ‘เรื่องส่วนตัว’ ของศาสนา และตอกย้ำว่าศาสนาพุทธไทยอยู่ใต้รัฐมาโดยตลอด
เข็มทองเล่าว่าวิธีคิดของพุทธเถรวาท คือศาสนาต้องได้รับการอุปถัมป์จากรัฐทางโลก มิติหนึ่งคือการอุปถัมภ์ทางทรัพยากร แต่อีกมิติหนึ่งที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง คือการอุปถัมภ์ผ่านการใช้อำนาจและการลงโทษ กล่าวคือเรียกร้องให้รัฐใช้ความรุนแรงในการลงโทษหรือชำระให้ศาสนาสะอาด
การเรียกร้องให้รัฐมีอำนาจจัดการพระผิดวินัยเคยเป็นเรื่องสมเหตุสมผลในยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์ เข็มทองกล่าวว่าอำนาจรัฐและอำนาจศาสนาเคยผสมปนกันในโลกยุคหนึ่ง ดังนั้น หน้าที่ส่วนหนึ่งของรัฐยุคนั้นจึงเป็นการอุปถัมภ์ศาสนา แต่เมื่อรัฐเริ่มเข้าสู่การเป็นรัฐโลกวิสัย (secularization) กล่าวคือรัฐและศาสนาถูกแยกจากกัน ข้อเรียกร้องเรื่องอุปถัมภ์ศาสนาจึงเริ่มหายไป
ทว่าการ secularization ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกรัฐ เข็มทองชี้ว่าการ secularization อาจเกิดขึ้นแค่ในรัฐโลกตะวันตกเท่านั้น ขณะที่รัฐกลุ่มประเทศโลกใต้ (global south) อย่างรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือแม้กระทั่งรัฐไทยเองก็อาจไม่เกิดปรากฏการณ์นี้ ทำให้การแยกรัฐออกจากศาสนายังไม่สำเร็จ และข้อเรียกร้องให้รัฐต้องอุปถัมภ์ศาสนานั้นยังคงอยู่
“คัมภีร์ศาสนาคริสต์จะมีบทที่อธิบายถึงเหรียญทองในวิหาร มีคนถามพระเยซูว่าต้องให้ใคร พระเยซูตอบว่าอะไรที่มีรูปของซีซาร์ก็ให้ซีซาร์ อะไรที่เป็นของพระเจ้าก็ถวายแด่พระเจ้า สะท้อนวิธีคิดเรื่องแยกรัฐและศาสนาออกจากกัน ภายหลังศาสนาคริสต์มีคริสตจักรเพื่อบริหารงานเองด้วย เมื่อศาสนามีองค์กรปกครองกลางของตนเอง ก็แยกจากรัฐตั้งแต่ตรงนั้น”
ทั้งนี้ เข็มทองอธิบายเสริมต่อว่ากระบวนการแยกรัฐจากศาสนานั้นไม่แล้วเสร็จไปอีกประมาณ 500 ปี แต่จุดแตกหักระหว่างศาสนาและอำนาจทางโลกเกิดขึ้นในเยอรมนีเมื่อ ค.ศ. 1100 กล่าวคือข้อขัดแย้งเรื่องการสถาปนาสมณศักดิ์ (The Investiture Conflict) ที่จักรพรรดิแห่งเยอรมนีทะเลาะกับพระสันตปาปา ทว่าศาสนาก็ยังไม่แยกออกจากกัน จนกระทั่งการมาถึงของลัทธิโปรเตสแตนท์และการเขียนจดหมายว่าด้วยความอดกลั้น (Letter on Toleration) ของนักปรัชญานามจอห์น ล็อค (John Locke) ในยุคภูมิปัญญา
“ส่วนศาสนาพุทธในแง่คัมภีร์จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยพูดว่าการปกครองที่ดีเป็นอย่างไร อาจบอกให้ไม่ยุ่งเรื่องทางโลก แต่ขณะเดียวกัน จากพุทธประวัติจะพบว่าพระพุทธเจ้าให้คำปรึกษาและสอนธรรมะแก่กษัตริย์อยู่ตลอด”
“พุทธจึงเป็นศาสนาที่เหมือนจะพยายามปลีกตัวจากทางโลก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถปลีกตัวได้” เข็มทองกล่าว
อีกประเด็นน่าสนใจคือศาสนาพุทธไม่มีองค์กรกลางระดับโลกให้พึ่งพิง เข็มทองอธิบายว่าถึงที่สุดแล้วโครงสร้างและวินัยของศาสนาพุทธกำหนดให้พระต้องบิณฑบาตเพื่อปากท้อง ดังนั้น พระในระดับปัจเจกก็ต้องพึ่งชาวบ้าน ระดับวัดก็ต้องพึ่งหมู่บ้าน ส่วนระดับองค์กรสงฆ์ก็ต้องอยู่กับสถาบันกษัตริย์หรือองค์อุปถัมป์ของรัฐนั้นๆ เพื่อความอยู่รอด
เมื่อถามว่าปัจจัยที่ทำให้รัฐไทยไม่เป็นรัฐโลกวิสัยคืออะไร เข็มทองตอบว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะโครงสร้างและวินัยของศาสนาพุทธเอง แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่รัฐสมัยใหม่ในยุครัชกาลที่ 5 เป็นการเปลี่ยนผ่านที่โครงสร้างใหญ่ของสังคมไม่ขยับและสถาบันเชิงจารีตยังคงถูกรักษาไว้
“เกือบสำเร็จจริงๆ คือช่วงปี 2475” เข็มทองเล่า ก่อนจะอธิบายว่าในช่วงเวลานั้นมีความพยายามร่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับใหม่ ซึ่งพยายามสลายนิกายและจัดให้องค์กรพระมีความเป็นประชาธิปไตย แต่ก็ไม่สำเร็จ
“อนุรักษนิยมมักอธิบายว่าพุทธศาสนาไทยเริ่มเสื่อมตั้งแต่มีประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยแยกรัฐออกจากศาสนาและรัฐธรรมนูญก็กดศาสนาลง พวกเขาอธิบายเสมอว่าถ้าอยากให้ศาสนากลับมาดีงาม ต้องเอาศาสนากลับมาใกล้ชิดรัฐให้มากที่สุด”
รัฐธรรมนูญกับพุทธศาสนา
“คนไทยไม่เคยห่างจากศาสนาพุทธ แม้กระทั่งในยามที่ประชาธิปไตยเบ่งบานที่สุด” เข็มทองว่าอย่างนั้น ท่ามกลางความหลากหลายของอุดมการณ์ คนไทยจำนวนมากยังนิยามตนเองแบบเชื่อมโยงกับพุทธศาสนา เพียงแต่อาจแตกต่างกันในเหลี่ยมของความเชื่อเท่านั้น – บางคนสายเกจิ บางคนสายพระป่า หรือบางคนสายมู
แม้แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งมักถูกนิยามว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ก็ไม่มีประเด็นเรื่องการแยกรัฐออกจากศาสนา แต่ในทางกลับกันมีกระแสเรียกร้องให้เน้นย้ำความสำคัญของศาสนาพุทธ ให้รับรองพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ด้วยวิธีคิดว่าประชาชนไทยเสียงข้างมากเป็นพุทธศาสนิกชน
เสียงเรียกร้องให้รับรองพุทธเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 นั้นไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เข็มทองชี้ว่าภายใต้ความไม่สำเร็จ แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐก็ยังคงบอกให้รัฐต้องส่งเสริมและคุ้มครองพุทธศาสนาและศาสนาอื่นให้ประกอบพิธีกรรมตนเองได้ เผยแพร่ความเชื่อตนเองได้ และอยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์
ในส่วนของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน เข็มทองเล่าว่าเนื้อหาเขียนว่า “รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพุทธศาสนาและศาสนาอื่น” และเขียนด้วยว่า “รัฐต้องสนับสนุน ปกป้อง และคุ้มครองพุทธศาสนาเถรวาทให้พ้นจากการบ่อนทำลาย” ซึ่งถือเป็นการเขียนที่แปลก สะท้อนวิธีคิดของรัฐไทยที่ไปไม่พ้นเรื่องศาสนา และมองว่ารัฐต้องเป็น ‘ผู้ช่วย’ ในเรื่องศาสนาอยู่เสมอ
ย้อนดู พ.ร.บ.คณะสงฆ์
พ.ร.บ.คณะสงฆ์ บังคับใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งล่าสุดใน พ.ศ. 2561 กฎหมายฉบับนี้มีขึ้นเพื่อดำเนินกิจการและจัดการปกครองของคณะสงฆ์ โดยเนื้อหาระบุถึงอำนาจที่เกี่ยวข้อง อาทิ อำนาจในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชของพระมหากษัตริย์ อำนาจในการตรากฎหรือออกข้อบังคับของมหาเถรสมาคม ตลอดจนอำนาจในการบังคับสึกพระที่ล่วงละเมิดพระธรรมวินัยของมหาเถรสมาคม
เมื่อถามว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มีปัญหาอย่างไร เข็มทองอธิบายว่ากฎหมายนี้กำหนดโครงสร้างให้มีกรรมการเพียงชุดเดียวที่ดูแลองค์กรสงฆ์ทั่วประเทศ ส่งผลให้กรรมการนั้นๆ มีอำนาจเยอะเหนือพระสงฆ์ในไทย ขณะที่การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่องค์กรเดียวก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล
ทั้งนี้ เข็มทองเผยด้วยว่ากฎหมายกำหนดให้มหาเถรสมาคมมีอำนาจชี้ว่าใครอยู่หรือไม่อยู่ในคณะสงฆ์ไทย ซึ่งหากไม่ถูกนับหรือถูกขับออกจากคณะสงฆ์ไทย บุคคลนั้นจะไม่มีสิทธิแต่งตัวเป็นสงฆ์ ไม่มีสิทธิอยู่วัด และไม่มีสิทธิประกอบศาสนกิจ
มหาเถรสมาคมจะควบคุมและชี้ขาดผ่านสองประเด็นหลัก ได้แก่ เรื่องคำสอน (orthodoxy) และเรื่องวัตรปฏิบัติ (orthopraxy) เช่น หากวัดไหนสอนเรื่องจิตและสมาธิไม่ถูกต้องตามแนวทางที่วางไว้ มหาเถรสมาคมจะมีอำนาจในการขับออกจากคณะสงฆ์ ซึ่งบางองค์กรที่ถูกขับออก -ถ้าอยากดำเนินการต่อ- ก็ต้องใช้วิธีเปลี่ยนชุดและเรียกตัวเองว่านักบวชหรือนักพรตแทน เพราะการทำตัวเหมือนเป็นพระสงฆ์นั้นมีโทษทางอาญา
อย่างไรก็ตาม เข็มทองตั้งข้อสังเกตว่าพุทธเถรวาทในไทยอาจไม่มีคำสอนกลางด้วยซ้ำ เนื่องจากแต่ละวัดก็สอนกันคนละแบบ บางวัดเป็นพระป่า บางวัดไหว้ชูชก เป็นต้น ขณะที่สิ่งที่มหาเถรสมาคมสนใจดูจะเป็นเรื่องวัตรปฏิบัติมากกว่า กล่าวคือปล่อยให้สอนคำสอนได้หลากหลายแบบ แต่ถ้าวัตรปฏิบัติไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น ปั้นพระพุทธรูปใส่แว่นดำ ก็จะไม่ปล่อยไว้
นอกจากนี้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ยังกำหนดให้พระเจ้าอาวาสเป็น ‘เจ้าพนักงาน’[1] ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งตำแหน่งเจ้าพนักงานมักจะพ่วงมาด้วยอำนาจทางกฎหมายและงบประมาณแผ่นดิน แต่เจ้าอาวาสซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกลับไม่อยู่ในเขตการตรวจสอบของศาลปกครอง
“เจ้าอาวาสคือเจ้าพนักงาน ตามหลักคืออำนาจและงบประมาณจะถูกจัดสรรให้แก่คนที่เป็นเจ้าพนักงาน เมื่อพระเป็นเจ้าพนักงานก็จะได้ทั้งอำนาจและทรัพยากร แต่หลักความรับผิดรับชอบดันไม่ตามมาด้วย”
“ขณะที่มหาเถรสมาคมเป็นองค์กรที่ล่วงอำนาจเยอะเกินไป แต่ไม่มีความรับผิดรับชอบ ไม่สามารถตรวจสอบได้ และไม่มีความโปร่งใส นี่คือประเด็นที่กฎหมายคณะสงฆ์ถูกวิจารณ์มาโดยตลอด เมื่อกฎหมายเป็นเช่นนี้ก็คาดหมายได้ว่าองค์กรสงฆ์จะมีปัญหา มีเรื่องอื้อฉาว หรือตัดสินใจได้ไม่ดี”
ต้องเอารัฐออกจากศาสนา (secularization)
ที่ผ่านมา นักวิชาการหลายคนเห็นตรงกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยและศาสนานั้นแยกจากกันไม่ขาดและสร้างปัญหามาโดยตลอด โดยเฉพาะปัญหาความสัมพันธ์ที่แนบชิดจนต่างฝ่ายต่างใช้กันและกันเป็นเครื่องมือ – รัฐใช้ศาสนาสร้างความชอบธรรม องค์กรศาสนาได้ประโยชน์จากรัฐ เป็นต้น จึงมีข้อเรียกร้องให้ seculrization เรื่อยมา เพื่อกู้วิกฤตศรัทธาศาสนาพุทธ เพื่อป้องกันการทับซ้อนของอำนาจ และเพื่อป้องกันการผูกขาดการตีความศาสนาและความเชื่อ
เข็มทองเสนอว่า หากมหาเถรสมาคมออกจากการเป็นองค์กรรัฐและปรับเป็นองค์กรเอกชน แน่นอนว่ามหาเถรสมาคมจะยังถูกคุ้มครองเรื่องสิทธิเสรีภาพทางศาสนา รวมถึงมีสิทธิตีความคัมภีร์และกำหนดวัตรปฏิบัติภายในองค์กร แต่จะไม่มีสิทธิห้ามไม่ให้บุคคลที่อยากตีความคัมภีร์แบบอื่นไม่ให้เป็นสงฆ์ ป้องกันไม่ให้รัฐมีอำนาจไปชี้นิ้วบอกว่าใคร ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ พระ
“เรื่องที่รัฐอาจเข้าไปยุ่งคือเรื่องการเงินและการถือครองทรัพย์สิน เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่การเข้าไปตรวจสอบเพื่อให้ศาสนาสะอาด ไม่ใช่การทำนุบำรุง แต่ตรวจสอบในฐานะหน่วยงานที่ได้รับเงินบริจาคจากประชาชนเยอะ เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนผู้บริจาคถูกโกง” เข็มทองกล่าว
เพื่อคุ้มครองสิทธิของบุคคล – นี่คือวิธีคิดที่รัฐควรใช้ในการเข้าไปยุ่งกับศาสนา ที่นอกจากเรื่องเงินทองที่เล่าไปข้างต้น เข็มทองเสนอว่ารัฐอาจเข้าไปยุ่งในกรณีที่เกิดความผิดทางอาญา เช่น การล่วงละเมิดทางเพศเณรผู้เยาว์ เป็นต้น
“เวลาที่เราบอกว่ารัฐไม่ควรยุ่งกับศาสนา หมายความว่ารัฐไม่ควรเข้าไปยุ่งกับความเชื่อและไม่ควรทำหน้าที่รับรองความถูกผิดของคำสอน เพราะทุกคนควรมีอิสระและเจตจำนงในการตีความคำสอนของตนเอง”
“แต่รัฐจะเข้าไปยุ่งกับศาสนาได้ หากเป็นไปเพื่อคุ้มครองสังคมจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากองค์กรทางศาสนา อย่างกรณีพระเปิดบัญชีฝากเงินที่ต่างประเทศ กรณีนี้รัฐก็ควรเข้าไปตรวจสอบหรือเปล่า แต่สิ่งที่รัฐทำกลับเป็นการอธิบายว่าคำสอนนี้ถูกหรือผิด”
เมื่อถามว่าเหตุใดมหาเถรสมาคมซึ่งมีอำนาจ ถึงไม่ให้ความสำคัญกับการจัดการพระที่มีพฤติกรรมก่อผลเสียต่อประชาชน โดยเฉพาะกรณีการเงินของวัด เข็มทองตอบเพียงว่า “ถ้าเอาออกเดี๋ยวไม่เหลือสักวัด”
พ.ร.บ.คุ้มครองพระพุทธศาสนา อาจกลายเป็นกฎหมายห้าม ‘ลบหลู่’
เข็มทองมองว่าสังคมไทยไม่ควรมีกฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนา เนื่องจากการกำหนดระเบียบวิธีอาจไม่สมเหตุสมผล ขณะที่รัฐอาจรับรองว่าบางวัดถูกต้อง บางวัดไม่ถูกต้อง อันจะนำไปสู่การตั้งคำถามสารพัดว่าการตีความและวัตรปฏิบัติแบบใดถึงถูกต้องที่สุด
มากไปกว่านั้น กฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนาอาจกลายเป็นกฎหมายห้าม ‘ลบหลู่’ ที่อาจละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนบางกลุ่มได้ เข็มทองอธิบายว่า “เนื้อหากฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนาจะกลายเป็น blasphemy laws หรือก็คือกฎหมายที่ต่อต้านการลบหลู่ศาสนา ซึ่งกฎหมายแบบนี้ไม่ใช่สัญญาณของความก้าวหน้า”
“มันคือกฎหมายห้ามหมิ่นที่เพิ่มสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างให้สังคมไทย” เข็มทองกล่าว ก่อนเสริมว่าหากกฎหมายถูกพัฒนาและบังคับใช้ การสอนผิดอาจไม่ใช่แค่เรื่องความแตกต่างในการตีความ แต่กลายเป็นเรื่องลบหลู่ดูหมิ่นศาสนา
ทั้งนี้ เข็มทองชี้ว่าไทยมีกฎหมายป้องกันการดูหมิ่นศาสนาในปัจจุบันก็จริง แต่กฎหมายมีลักษณะเป็นกลาง เช่น ป้องกันไม่ให้คนปั่นป่วน สร้างความวุ่นวาย หรือทำลายรูปเคารพไม่ว่าจะของศาสนาใดก็ตาม กฎหมายป้องกันการดูหมิ่นศาสนาฉบับนี้จึงมีวิธีคิดเพื่อคุ้มครองความสงบโดยรวมและรับรองสิทธิในการนับถือศาสนา
“มันเป็นกฎหมายที่มีความเป็นกลาง แต่กฎหมายคุ้มครองพุทธศาสนาอาจทำให้พุทธศาสนากลายเป็นศาสนาที่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์กว่าศาสนาอื่น”
“สังคมไทยคือสังคมที่ทุกอย่างศักดิ์สิทธิ์ การเพิ่มอำนาจศาสนาพุทธอาจทำให้สิทธิและเสรีภาพในการคิดและแสดงออกของสังคมหดลง ซึ่งไม่เพียงกระทบศาสนิกชนเท่านั้น แต่กระทบนักวิชาการหรือประชาชนที่ต้องการวิจารณ์มหาเถรสมาคมด้วย เพราะวิจารณ์ไปก็อาจโดนกฎหมายหมิ่นศาสนา”
ท้ายที่สุด เข็มทองระบุว่ามหาเถรสมาคมอาจขาดความสามารถในการใช้อำนาจ กล่าวคือยังขาดกลไกพัฒนาคนในองค์กร รูปแบบวิธีคิดขององค์กรยังโบราณ แต่กลับเป็นองค์กรที่อำนาจเยอะ และอาจเยอะยิ่งขึ้นอีกหากกฎหมายคุ้มครองพุทธศาสนาเบ่งบาน
แต่สังคมไทยเป็นสังคมตลก เข็มทองว่าอย่างนั้น เขากล่าวว่าข่าวเจ้าอาวาสมีสัมพันธ์กับสตรีหรือข่าวพระโอนเงินเปย์หญิงนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ “นี่ไม่ใช่ข่าวใหม่ในสังคมไทยนะ แต่คนไทยเป็นคนตลก และสังคมไทยก็เป็นสังคมที่ตลกที่ยังตื่นตระหนกและตกใจกับเรื่องนี้”
https://www.the101.world/buddhism-protection-act/