วันเสาร์, กรกฎาคม 12, 2568

โรม ดักคอพท. เข้าโหมดเอาตัวรอด ไม่รับนิรโทษฉบับปชน.-ปชช. แล้วอย่าทำตัวเป็นเหยื่อ โยนพรรคร่วม “อย่าไปอ้างพรรคร่วมรัฐบาลว่าเขาไม่เห็นด้วยหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่นี่เป็นการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยที่จะเดินหน้าเช่นนั้น อย่าทำตัวเป็นเหยื่อก็แล้วกัน”



โรม ดักคอพท. เข้าโหมดเอาตัวรอด ไม่รับนิรโทษฉบับปชน.-ปชช. ก็อย่ารับเหยื่อ โยนพรรคร่วม

11 กรกฎาคม 2568
มติชนออนไลน์

โรม ยัน ยุบสภาฯ​ คือทางออกของประเทศที่ดีที่สุด เย้ย ความน่ากลัวที่สุดไม่ใช่สีส้ม แต่คือสีแดงที่ล้มเหลวในทุกด้าน ย้อนถาม ‘เพื่อไทย’ ยังมีกระจิตกระใจอยากผ่านร่างกฎหมายหรือไม่ หรืออยู่ในโหมดซูไววัล ดักคอ อย่าทำตัวเป็นเหยื่อ โยนพรรคร่วมรัฐบาลขี่คอไม่รับนิรโทษ ‘ปชน.-ภาคประชาชน’

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวบนเวทีผ่าทางตันประเทศไทยของเครือเนชั่นว่าการเมืองไทยยังไม่ถึงทางตัน เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่า ตนเห็นด้วยกับที่นายทักษิณบอกว่ายังไม่ถึงทางตัน แต่ทุกฝ่ายต้องไม่พยายามที่จะสร้างสถานการณ์ให้นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่าทางตัน ซึ่งเชื่อว่าการเมืองไม่มีทางตัน มีทางออกเสมอ เพียงแค่มีบางฝ่ายที่พยายามสร้างทางตันเช่นนั้น

แต่ปัญหาคือ เมื่อนายทักษิณทราบว่า อาจจะมีบางฝ่ายที่พยายามจะสร้างสถานการณ์เช่นนั้น คำถามคือนายทักษิณจะทำอย่างไร จะปล่อยให้บ้านเมืองถูกบริหารในสภาวะที่รัฐบาลขาดความชอบธรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ ที่ตนพูดเช่นนี้ตนทราบดีว่า นายทักษิณไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในรัฐบาล แต่เราก็ต่างทราบว่านายทักษิณมีอิทธิพลมากแค่ไหน

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า การที่รัฐบาลเพื่อไทยพยายามที่จะเดินหน้าต่อแทนที่จะใช้อำนาจที่มีวันนี้ในการยุบสภา คืนความชอบธรรมทุกอย่างให้แก่ประชาชน เซ็ทซีโร่กันใหม่โดยการเลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นทางออกของทุกเรื่องที่เราเจอในวันนี้ ตนคิดว่าบ้านเมืองจะเดินได้ดีกว่านี้และไม่มีปัญหาหรือความน่ากังวลใดๆ ที่จะเกิดขึ้น

ฉะนั้น ตนยังคิดว่าการยุบสภาคือทางออกที่ดีที่สุด ส่วนที่มีการบอกว่าจะมีการลาออกแล้วจะเลือกใครเป็นนายกฯ นั้น พูดตรงๆ ว่าหากไปถึงจุดนั้น จะไม่มีข้อวิพากษ์วิจารณ์อะไรเลย เพราะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากท้ายที่สุดจะมีการตั้งคำถามในเรื่องความชอบธรรมทางใดทางหนึ่ง ยืนยันว่าตนคิดว่าการยุบสภาคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศในวันนี้

เมื่อถามว่า นายทักษิณระบุด้วยว่า หากแดงกับส้มรวมกันจะเกิดเป็นสีแสด ซึ่งแรงเกินไป มองอย่างไร นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เป็นสิทธิของนายทักษิณที่จะวิพากษ์วิจารณ์ แต่การพูดเช่นนี้คือความพยายามที่จะทำให้พรรคปชน.ดูน่ากลัว และตนคิดว่าความน่ากลัวที่สุดไม่ใช่สีส้ม แต่ความน่ากลัวที่สุดคือการบริหารประเทศ โดยคิดเพียงว่าผลประโยชน์ต้องอยู่กับครอบครัวของตนเอง การพาคนในครอบครัวกลับมาโดยไม่คิดว่าจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอะไรเลย อีกทั้งยังทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย การบริหารประเทศโดยมีนายกฯ หลายคน

“นี่คือความน่ากลัวที่พาประเทศไทยสู่ความล้มเหลว ยังไม่นับว่าสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยในวันนี้ที่น่ากลัวยิ่งกว่าพรรคส้มแน่นอน คือการที่ไม่สามารถตอบสนองต่อนโยบายที่เคยให้ไว้กับประชาชนได้ และจริงๆ ไม่มีสีไหนน่ากลัวเลย สีแดงตอนนี้น่ากลัวยิ่งกว่า เพราะล้มเหลวในทุกด้าน” นายรังสิมันต์ กล่าว

เมื่อถามว่า ในอนาคตจะสามารถจับมือกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนคิดว่าการจะคุยกันว่าจะจับมือกับใครนั้น อาจจะไม่ใช่บทสนทนาที่เราจะคุยกันได้ในวันนี้ เพราะถึงที่สุดจุดยืนของพรรค ปชน.คือการเอานโยบายเป็นตัวตั้ง และเราก็ไม่รู้ว่าผลการเลือกตั้งที่ออกมาจะเป็นอย่างไร

แน่นอนว่าดีที่สุดสำหรับพวกเราคือ เราต้องไปให้ได้เกินกึ่งหนึ่งเพื่อที่จะมุ่งการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แต่หากไม่ถึงจุดนั้นจริงๆ เราก็คงต้องดูว่าในเชิงนโยบายจะมีข้อตกลงหรืออะไรที่จะร่วมกันได้ ไม่ว่าจะพรรคการเมืองใดก็แล้วแต่ ซึ่งในส่วนนี้ต้องไปดูกันอีกครั้งหลังจากที่มีผลการเลือกตั้งออกมา

เมื่อถามว่า ขณะนี้เสียงของรัฐบาลปริ่มน้ำ จะบีบให้รัฐบาลต้องมีความประนีประนอมมาขึ้น โดยหันมาร่วมมือกับพรรค ปชน. ในการโหวตกฎหมายต่างๆ หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรื่องหน้างานที่ต้องโหวตกฎหมายเราต้องพยายามทำอย่างเต็มที่ เพราะถือว่าเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่หลักการเราไม่เคยเปลี่ยนคือการพยายามทำให้รัฐบาลเข้าใจว่าการยุบสภาคือทางออกที่ดีที่สุด

ส่วนหากไม่ยุบก็บังคับเรา ซึ่งเราไม่สามารถไปทำแทนเขาได้ ในเมื่อเราพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่เขาไม่ดำเนินการก็ลำบากที่จะทำให้เขายอมในสิ่งที่เราต้องการได้ แน่นอนว่าหากเขาไม่ดำเนินการ ความชอบธรรมของเขาก็ลดลงเรื่อยๆ และสุดท้ายเราก็ยอมรับว่ากลไกเรื่องนิติสงครามก็รออยู่ ถึงที่สุดก็ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยไปต่อเช่นนี้ไม่ได้แล้ว

เมื่อถามว่า พรรคปชน.พร้อมจะให้ความร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยหรือพรรคร่วมรัฐบาลในการโหวตกฎหมายสำคัญๆหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า คงต้องไปดูว่าเป็นกฎหมายเรื่องอะไร ซึ่งตอนนี้คนที่จะใช้คำว่าเราให้ความร่วมมือคงไม่ใช่พรรค ปชน.

แต่ตนคิดว่าพรรคเพื่อไทยจะให้ความร่วมมือหรือไม่ เพราะกฎหมายหลายอย่างที่เราอยากเห็นประเทศเดินหน้า เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม พรรคเพื่อไทยจะให้ความร่วมมือหรือไม่ เนื่องจากเขาไม่ได้เสนออะไร และอาจจะต้องไปถามทางพรรคเพื่อไทยว่า ยังมีกระจิตกระใจในการดำเนินการที่จะผ่านกฎหมายใดๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติหรือไม่ หรือวันนี้เป็นแค่โหมดการเอาตัวรอด โหมดซูไววัล (Survival)

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่ขณะนี้ พรรคร่วมรัฐบาลต่างยืนยันชัดเจนว่า จะไม่เห็นชอบร่างกฎหมายเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม ที่มีการรวมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วย นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรื่องพรรคร่วมรัฐบาลก็เป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาล แต่พรรคเพื่อไทยต้องตอบให้ชัดว่าการที่พรรคเพื่อไทยไม่โหวตร่างกฎหมาย

เกี่ยวกับการนิรโทษกรรมของพรรค ปชน. และภาคประชาชนนั้น อย่าไปอ้างพรรคร่วมรัฐบาล เพราะท้ายที่สุดเมื่อคุณตัดสินใจอย่างไร คุณก็ต้องรับผลการกระทำ

“อย่าไปอ้างพรรคร่วมรัฐบาลว่าเขาไม่เห็นด้วยหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่นี่เป็นการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยที่จะเดินหน้าเช่นนั้น อย่าทำตัวเป็นเหยื่อก็แล้วกัน” นายรังสิมันต์ กล่าว

ถามย้ำว่า มองว่าพรรคเพื่อไทยสามารถมีมติต่างจากพรรคร่วมรัฐบาลได้ใช่หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า “ใช่ ไม่ได้หมายความว่าให้พรรคร่วมมาขี่คอ หากจะบอกว่าพรรคร่วมมีมติเช่นนี้ เสียงส่วนใหญ่เช่นนี้ แสดงว่าพรรคเพื่อไทยยอมให้พรรคร่วมขี่คอ และต้องบอกว่าพรรคเพื่อไทยยอมเช่นนั้น เป็นการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยเอง”

https://www.matichon.co.th/politics/news_5270489