๔๕ ปีแล้วนะนี่ วันนี้คำว่า ‘ล้มเจ้า’ ก็ยังไม่เป็นความจริงเฉกเช่นเมื่อวันที่ ๖ ตุลา ๒๕๑๙ วันที่เขากล่าวหานักศึกษาซึ่งชุมนุมกันอยู่ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง เพื่อเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูป ไปสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์
วันนั้นเขาใช้กำลังตำรวจชายแดนอาวุธครบมือ ทั้งปืนพก ปืนยาว ปืนกล และปืนยิงจรวดบาซูก้า ปิดกรงแล้วล้อมฆ่านกพิราบ ตายเป็นเบือ เพื่อสยบเสียงโหวกเหวกของคนรุ่นใหม่สมัยนั้นที่โหยหาเสรีภาพ มนุษยธรรม และสันติภาพ พร้อมไปกับกุมกำอำนาจปกครอง
ให้อำนาจคงอยู่ในหมู่ชนชั้นนำ ไม่กระจัดกระจายออกไปสู่มวลชน โดยเฉพาะ ‘คนรุ่นใหม่’ จึงได้มีกลุ่มอันธพาลการเมืองคอยกลุ้มรุมทำร้าย แม้กระทั่งซากศพ อยู่นอกรั้วมหาวิทยาลัย จึงได้มีการยึดอำนาจหรือรัฐประหารโดยคณะทหารในวันรุ่งขึ้น
มันเป็นความเหี้ยมโหดของสงครามห้ำหั่นในหมู่มนุษยชาติ เยี่ยงพฤติกรรมของสัตว์ป่าซึ่งไม่มีพัฒนาการทางสติปัญญา หากแต่นั่นเป็นวงย่อยภายในชุมชนรัฐชาติเดียวกัน ที่ยังแบ่งชั้นแบ่งชนจากบนสู่ล่างของสังคมสามเหลี่ยม ฐานกว้างยอดแหลม
หากได้ฟังหรืออ่านจดหมายบันทึกความทรงจำสำหรับวันนั้น ของ ชวลิต วินิจจะกูล (พี่ชายธงชัย) แล้วความรู้สึกสุดแสนหดหู่พรั่งพรูขึ้นมาพร้อมๆ กับความเคียดแค้นอันฝังลึก ทั้งอัดอั้นจุกอกที่มิอาจแก้ไข ผ่อนคลาย หรือระบายออกได้
มันสะท้อนย้อนยอกถึงความปวดร้าว ของผู้ที่ไม่ได้ต้องไปตายวันนั้น จะเพราะเข้าไปอยู่ในพื้นที่โดยจงใจหรือบังเอิญ และรวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่นักศึกษาประจำแหล่งศึกษาแห่งนี้ ทั้งคนตายและคนเจ็บเหมือนว่าถูกกระทำโดยสัตว์ร้าย ที่ไม่รู้ว่าความปราณีเป็นอย่างไร
ยิ่งเมื่อคนที่ต้องตายอย่างอนาถ เป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง เป็นวงศาคณาญาติ หรือแม้แต่ผู้ร่วมอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย คำว่า “สั่งฆ่า สั่งยิง” จะโดย ‘I เฮีย’ หรือ ‘E ๕’ มันทำให้ไม่ว่าจะผ่านมา ๔๕ ปี ๕๐ ปี หรือกระทั่ง ๑๐๐ ปี ก็มิอาจที่จะยอมแพ้และยกเลิก
การเรียกร้องและพยายามให้เกิดการปฏิรูปหรือปรับเปลี่ยน สถานะ อำนาจ และธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์กับประมุข จักต้องทำต่อไป แล้วส่งไม้ รับช่วงไม่หยุดยั้ง ดังที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล บอกว่า “เป็นการรณรงค์ระยะยาว
ไม่ต้องกำหนดวันปิด รณรงค์ไปเรื่อยๆ เพื่อทำให้ประเด็นอยู่ในพื้นที่สาธารณะตลอดและเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการพูดเรื่องปฏิรูปสถาบันฯ ด้วย” หนึ่งในนักกฎหมายคณะนิติราษฎร์ อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ปัจจุบันเลขาธิการคณะก้าวหน้าเชิญชวน
ให้ “พูดกันอย่างตรงไปตรงมาดีกว่า “ไม่ว่าการแก้ ม.๑๑๒, พ.ร.ก. โอนกำลังพลฯ หรือ พ.ร.บ.การจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ถ้าตราบใดก็ตามสถานะของกษัตริย์ยังเป็นแบบนี้ และยังมีรัฐบาลแบบประยุทธ์ จันทร์โอชา มันจะจบไม่ลง”
ด้วยการตื่นรู้และไม่ยอมเฉยของคนรุ่นปัจจุบัน หากยังดึงดันให้สายตึงและ/หรือขมึงเกลียว รังแต่จะขาดสะบั้น เขาใช้คำสรุปสั้นๆ ให้ “ปกเกล้า ไม่ปกครอง” ได้อย่างสมจริงยิ่งนัก เพราะการปกครองค่อนข้างหนักหน่วงช่วงนี้ ความรู้สึกปกเกล้าหายไปเยอะ
โดยเฉพาะการปกครองด้วยหน่วยควบคุมฝูงชน ซึ่งมีสายสาแหรกโยงใยกับ ตชด. ยุค ๖ ตุลา ยังทำให้เวลานี้ “ไม่ปกกระหม่อมฯ” จนกระแทกความรู้สึกส่วนลึกที่เคยยกไว้สำหรับธรรมเนียมบางอย่าง ให้กำลังมลายหายไป
(http://119.59.99.174/~net2519/?p=1163, https://prachatai.com/journal/2021/10/95327 และ https://www.facebook.com/watch/live/?ref=notif&v=323687396189497¬if_id=1633479468724770¬if_t=live_video)