รัฐบาลของพระเจ้าอยู่หัวนี่ชักจะมั่วหนักเกิ้นอีกแล้ว เมื่อคืนแค่ ‘เคอร์ฟิว’ ตำรวจถือปืนกลออกมาคุมด่าน ยังกะ “ซ้อมรัฐประหาร” เห็นจริงเห็นจังดัง ‘แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม’ เขาว่า หนักกว่า สาหัส ‘สาส’ ก็ตรงที่ ‘ไอลอว์’ ทัก
“ใช้วันนี้! ข้อกำหนดใหม่ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ห้ามโพสต์สร้างความหวาดกลัว แม้เป็นความจริง โทษ (คุก) ๒ ปี ปรับ ๔๐,๐๐๐ บาท” ซึ่ง ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ว่าแค่ตักเตือน ให้ลบโพสต์ แล้วแก้ไขให้ถูกต้องก็พอแล้ว จะอะไรนักหนา ยัดคุกยิ่งแออัดเพิ่มติดเชื้อ
“ข้อกำหนดนายกรัฐมนตรีฉบับที่ ๒๗ ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แก้ไขฉบับที่ ๑ ในเรื่องข้อห้ามการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ขยายองค์ประกอบความผิดให้กว้างออก” ตัดเอาข้อความที่ให้เจ้าพนักงานตักเตือนก่อนออกไป โพสต์ไหนไม่ถูกใจจัดการได้เลยทันที
“ข้อ ๑๑ มาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน” นั้นเพิ่มเหตุแห่งการ “ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย” เข้าไปให้ครอบจักรวาลยิ่งขึ้น
โทษจำคุกและปรับนั้นก็วางไว้ในความผิดที่กว้างขวางมากอยู่แล้ว เอามาแก้ใหม่ เขียนให้เจ้าหน้าที่สามารถให้อำนาจบาตรใหญ่ง่ายขึ้นไปอีก ตำรวจถึงได้กระชับปืนกลเฝ้าด่านเคอร์ฟิวไง ยิ่งชีพบอกว่าการออกกฎหมายแบบนี้อันตรายต่อประชาชน
เขาชี้ว่า พรก.ฉุกเฉินฯ เดิม (ฉบับ ๑ ข้อ ๖) ก็ ‘เผด็จการ’ พออยู่แล้ว ยังจะมาออกฉบับ ๒๗ ให้มันสากรรจ์เข้าไปอีก เขายกสามสี่ตัวอย่างมาให้ดูว่า โพสต์ขี้หมูราขี้หมาแห้งก็เอาไปดำเนินคดี ‘ข่าวปลอม’ เช่นบอกให้ฉีดยาฆ่าเชื้อก่อนรับพัสดุไปรษณีย์
“ศาลพิพากษายกฟ้อง เพราะจากข้อความมีลักษณะเป็นคำเตือน ไม่ถึงขนาดก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชนหรือทำให้เกิดความหวาดกลัว” ยิ่งกรณีที่ว่า ยาบ้าสามารถรักษาโรคระบาดโควิด ถึงกรมควบคุมโรคไม่ออกมาปฏิเสธ น้อยคนจะเชื่อ
หรือในคดีโพสต์ชักชวนเพื่อนบนโซเชียลกักตุนอาหารและน้ำก่อนมีเคอร์ฟิวเมื่อเมษาปีที่แล้ว กับคดีที่บางบัวทองคนโพสต์ว่าเมืองนนท์ติดเชื้อกันระนาวแต่ทางการปกปิด ศาลให้จำเลยมีความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ทั้งสองคดี แต่ก็ให้รอลงอาญา
ขืนส่งคดีความผิด ‘๕-เหว’ พวกนี้ไปเข้าคุกตอนนี้ เดลต้าได้เฮ แพร่ขยายกันในคุกจนยอดรวมติดเชื้อวันละถึงสองหมื่นแน่ ตายอีกวันละเกินร้อย ราชธานีวิบัติแน่ ณ เวลานี้ไม่ว่ากฤษฎีกาหรือฝ่ายทหารพระธรรมนูญคงจะหกคะเมนเถรตั้ง หาทางแก้กันวุ่น
ในเมื่อนิติบริกรอำมาตย์เอก วิษณุ เครืองาม ให้ความเห็นในทางกฎหมายแล้วหมาดๆ ถึงข้อกำหนดฉบับที่ ๒๗ นี้ว่าเรื่อง “นำเสนอข้อเท็จจริงแต่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวนี้...หากเสนอข่าวข้อเท็จจริง ไม่ถือว่ามีความผิด” นะ
เทพเจ้าแห่งข้อยกเว้นของรัฐบาลประยุทธ์ยอมรับว่า ข้อกำหนดดังกล่าว “คัดลอกมาจาก พรก.ฉุกเฉิน” แต่คัดไม่หมด ตกหล่นในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำสิทธิเสรีภาพของประชาชนกับอำนาจของเจ้าพนักงาน มันผิดพลาดมาแต่ตอนคัดลอกโน่น
“ถ้าเป็นการจำกัดสทธิเสรีภาพ ก็ขัดรัฐธรรมนูญตั้งแต่ ออก พรก.ฉุกเฉินแล้ว” ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มะรืนนี้วิษณุจะโดนหยิกปาก ให้ต้องกลับออกมากลืนน้ำลายแก้ลำสิ่งที่พูดไปแล้วใหม่อีกไหม แต่เท่าที่เป็นมาถึงขณะนี้แสดงว่ากระบวนของรัฐบาลนี้เละตุ้มเป๊ะสิ้นดี
เพราะเช่นนั้นชวนให้เห็นว่ารัฐบาลประยุทธ์ทำให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาทมากไปหน่อยไหม ในขณะที่พระเจ้าอยู่หัวคงต้องประทับในราชธานีค่อนข้างถาวรแล้วตอนนี้ มิอาจทรงเอาพระเนตรพระกัณฑ์ไปไว้ที่โคกหนองนาเหมือนเมื่อก่อนได้
เนื่องจากใน ‘เจอรมัน’ นิตยสารบิลด์ตามล้างตามเช็ดไม่หยุดหย่อน เมื่อวันที่ ๑๐ นี้เองเล่นข่าวย้ำซ้ำหัวตะปู “กษัตริย์ไทยเสี่ยงต่อการถูกยึดบ้าน: ไม่ยอมจ่ายค่าภาษีเป็นเวลาสี่ปี” (คำแปลของ Somsak Jeamteerasakul) นายแม็ค ดับเบิ้ลยู โบดเด็คเกอร์ เขียนว่า
“เทศบาลนครตุ๊ดซิ่งกำลังบ่จี๊ (ขาดเงิน) ด้วยการที่พระมหากษัตริย์ไทยวชิราลงกรณ์เป็นต้นเหตุ พระองค์ทรงเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ตำหนักหรู ‘สโตลเบิร์ก’ ใกล้ทะเลสาปสตาร์ลเบิร์ก คฤหาสน์ ๑๕ ห้องนอนบนเนื้อที่อยู่อาศัย ๑,๔๐๐ ตารางเมตร”
วังของไทยโคนิกขนาด ๕,๖๐๐ ตารางเมตรนี้ถ้าให้เช่าจะได้ราคาตารางเมตรละ ๓๓-๕๐ ยูโร รวมราคาเช่าทั้งวิลล่าตลอดปีเหนาะก็ ๘๔๐,๐๐๐ ยูโร (เอา ๓๙ คูณจะได้ค่าเป็นเงินบาท) จักต้องเสียภาษีในอัตรา ๑๒% ปีละ ๑๐๐,๘๐๐ ยูโร
ไม่เท่านั้นสื่อเยอรมันยังตามไปดูพระตำหนักอีกแห่งริมทะเลสาปสตาร์ลเบิร์ก ในเขต เฟลดาฟิง ที่ว่าสุดหรู่เช่นกันด้วย ตำหนักนี้เป็นที่ประทับของเจ้าฟ้าทีปังกร พร้อมด้วยข้าราชบริพารเฝ้ารอถวายงานระหว่างพระราชโอรสเสด็จโรงเรียนอิสะตัลวอลดอร์ฟ ในเกเรทสรีฟ
ทรัพย์สินเหล่านี้ไม่มีการจ่ายภาษีโรงเรือนมาเป็นเวลา ๔ ปี มูลค่าค้างชำระทั้งสิ้น ๔๐๓,๒๐๐ ยูโร นายกเทศมนตรีนครตุ๊ดซิ่งบอกว่า ตามกฎหมายแล้วต้องจ่ายย้อนหลัง แต่ที่ผ่านมาการบังคับใช้กฎหมายกับกษัตริย์ไทยองค์นี้ มีการผ่อนหนักผ่อนเบาอยู่
แม้นว่าพระองค์จะทรงมีชั้นเชิงเลี่ยงภาษี (เขาใช้คำว่า ‘cheating’) ให้ยังไม่ต้องจ่าย โดยแจ้งว่าพระตำหนักสตาร์ลเบิร์กนั้นเป็นทรัพย์สินของสถานทูตไทย มีเอกสารจากทางการไทยยืนยัน อีกทั้งยังไม่มีการคิดคำนวณภาษีมรดกของพระองค์ในปี ๒๕๕๘ ด้วย
เมื่อถูกซักถามว่าทางการจะดำเนินการอย่างไร นายกเทศมนตรีเมืองเฟลดัฟฟิ่งบอกว่าให้ข้อมูลไม่ได้เพราะเรื่องภาษีต้องเก็บเป็นความลับ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่ได้อยู่อาศัยประจำ
(https://www.bild.de/unterhaltung/royals/royals/thai-koenig-droht-die-pfaendung-vier-jahre-keine-zweitwohnsteuer-gezahlt-77034176.bild.html และ https://www.facebook.com/Prachatai/videos/571612807334922/)