วันศุกร์, กรกฎาคม 16, 2564

บทสนทนาที่เกิดขึ้นจริง ณ ห้องฉุกเฉิน รพ. แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ - อ่านแล้วสลดใจ 😕



Thanaphon Harnpoonvittaya
July 11 at 5:30 AM ·

บทสนทนาที่เกิดขึ้นจริง ณ ห้องฉุกเฉิน รพ. แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
————————————
“คุณแม่คุณ xray ปอด ‘เหมือน’ โควิดนะคะ แต่ผลโควิดยังไม่ออก ตอนนี้อ๊อกซิเจนในเลือดก็ต่ำ อาการดูไม่ค่อยดีนะคะ”
“เหรอครับ แล้วแบบนี้ทำยังไงได้มั้ยครับ”
ญาติตอบด้วยเสียงเป็นกังวล
“ทำอะไรไม่ได้เลยค่ะ คือถ้าแย่แบบนี้แล้วแกอายุก็เยอะแล้ว มีโรคประจำตัวด้วย หมออายุรกรรมเค้าแนะนำว่าไม่ควรสู้ เพราะยังไงผลก็ออกมาไม่ดี”
“อ้าว…แล้วคือ จะไม่ทำอะไรเลยเหรอครับ”
ญาติถามด้วยความแปลกใจกับคำตอบที่ได้
“ค่ะ คือ ทำได้แค่ดมอ๊อกซิเจนในม่านเลยค่ะ แต่ถ้าแย่ลง ที่นี่ไม่ใส่ท่อช่วยหายใจแล้วค่ะ เพราะใส่ไปก็ไม่รู้จะเอาไปนอนที่ไหน ตอนนี้ รพ. เต็ม เกิน 100% ไปเยอะแล้วค่ะ ที่เห็นนอนหน้าห้องฉุกเฉินนั่นก็รอเตียงข้างบนว่างค่ะ”
“แล้วส่งตัวไป รพ. อื่นได้มั้ยครับ แม่ผมมีประกัน แล้วสิทธิ 30 บาทก็อยู่ที่ รพ. xxx”
“เดี๋ยวนี้ไปที่ไหนก็ไม่รับแล้วค่ะ เค้าเต็มทุกที่ ทั่วกรุงเทพเลยค่ะ”
“….”
ลูกชายเดินวนรอบห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าเคว้งคว้าง ไม่รู้จะต้องคิดอะไรหรือหันไปพึ่งใคร
“แต่เมื่อวานแม่ยังคุยกับผมได้อยู่เลยนะครับ”
“ใช่ค่ะ ถ้าเป็นโควิดสายพันธ์นี้ มันเร็วแบบนี้แหละค่ะ หมอก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ เราทำเรื่องส่งตัวไม่ได้ค่ะ ถ้าผลโควิดยังไม่ออก ไม่อย่างนั้นญาติต้องเอารถส่วนตัวขับไปส่งค่ะ”
“ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมเอาไปเลย..”
“แต่ญาติต้องเซนปฏิเสธการรักษาจากที่นี่ก่อนนะคะ เป็นขั้นตอนตามกฎหมาย”
“…..???”
ลูกชายนิ่งไปสักพัก ด้วยความงงว่าเค้าแทบจะกราบขอร้องให้รักษาแม่เค้าอยู่แล้ว แล้วเค้าไปปฏิเสธการรักษาอะไรตอนไหน
“แล้วคือไปถึงแล้วบอกเค้าได้เลยใช่มั้ยครับว่าคุณแม่ติดโควิด”
“ค่ะ บอกว่าหมอสงสัยมากจาก xrayปอด แต่ก็อาจต้องรอเหมือนกันนะคะ ตอนนี้คิวห้องฉุกเฉินก็ล้นไปข้างนอกประตูเหมือนกันหมดค่ะ”
แล้วตอนนั้นเองก็มีเสียงตะโกนมา
(จริงๆ นะ ปรับคำเล็กน้อย แต่คำนี้แม่งแทรกตอนนั้นเลย)
“ถัง oxygen ที่ได้มา 4 ถัง ใช้ไป 3 ละนะ เหลืออีกอันจะให้ใครดีพี่xxx”
“ก็นี่ไง ให้ป้า xxx ดิ่ เค้าแก่กว่า เค้าน่าจะทนได้น้อยกว่า”
“เห้ย ไม่ได้ดิ่ เราต้องให้คนที่เค้ามีหวังมากกว่า เอาน้อง xxx ดีกว่า อายุ 30 กว่าเอง น่าสู้”
__________________
หดหู่เนาะ?
ใช่ แต่เดี๋ยวนี้ การพูดคุยเหล่านี้เกิดขึ้นใน 2-3 นาทีแล้วนะ
และพาร์ทที่แย่ที่สุดคือเราต้องรีบตัดสินใจสิ่งเหล่านี้ จนเหมือนมันเป็น routine ในการปฏิบัติไปแล้วอ่ะ
ซึ่ง…
นั่นพ่อ นั่นแม่คนอื่นมั้ยอ่ะ…
อาทิตย์ที่แล้วเค้ายังไปทำงาน
ไปรับไปส่งลูกเค้าที่นู่นที่นี่มั้ยอ่ะ
คือมันต้องเลือกยังไงนะ…
6 ปีที่เรียนมาเค้าสอนตอนไหนเหรอ?
เค้าแก่กว่านิด ความดันสูงหน่อยๆ
เค้ามีสิทธิที่จะหายใจสะดวกขึ้น น้อยกว่าอีกคนที่เด็กกว่าเค้า 10 ปีและไม่เคยตรวจโรคประจำตัว…
ยังไงเหรอ?
มันอดคิดไม่ได้ว่า
…ถ้าวันนี้เรากัดฟันยอมเลือกไปคนนึง
แล้ววันหน้ามีหมอคนอื่นไม่เลือกพ่อเราแม่เราบ้างล่ะ
เราจะทำหน้ายังไง
จะรู้สึก helpless แค่ไหน
แล้วไอคนเลือกมันจะคิดหนักพอรึยังก่อนชี้ว่าใครรอด หรือพ่อแม่เราจะผิดแค่เพราะแก่กว่า เพราะโรคเยอะกว่า
แค่คิดก็จุกจนหายใจไม่ออกแล้ว
—————————
*edit
เราเข้าใจนะ
ว่างานลักษณะนี้มันเลี่ยงการเจอหรือคุยอะไรแบบนี้ไม่ได้อยู่แล้ว
แต่ที่เรากำลังเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจ/ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด หาทางออกเพื่อให้มันจบไวที่สุด
เพราะแค่ ณ ปัจจุบัน ความเชื่องช้าของคุณก็ได้เปลี่ยนโจทย์หน้างานไปแล้ว
มันไม่ใช่ “ใครเขียว ใครเหลือง ใครแดง” อีกต่อไป
แต่มันคือ “ใครควรช่วย ใครควรปล่อย”
และสำหรับครอบครัวคนไข้ คำถามที่ต้องตอบไม่ใช่ “ไปนอน รพ. ไหน” แต่คือ “ทำยังไงให้ได้นอน รพ.”
….
หรือถ้าโชคร้ายกว่านั้น ก็ตามที่เห็นคือ
“ให้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลหรือเอากลับไปหมดลมที่บ้าน…”
—————————
เรากำลังอยู่กับโรคระบาดในระยะที่ซับซ้อนเกินกว่ามดงานหรือประชาชนคนไหนจะตั้งใจป้องกันหรือแก้ไข แต่ต้องอาศัยการตัดสินใจและ immediate action จากคนที่อยู่ในอำนาจระดับประเทศทั้งสิ้น
เพราะยิ่งมันดำเนินไปแบบนี้นานเท่าไร
-There will be more blood on your hands than you care to count-
(มันจะแปลออกป่ะวะ)
ซึ่งดูจากวิธีการบริหารจัดการเตียง อุปกรณ์ทางการแพทย์ ถังอ๊อกซิเจน เครื่องช่วยหายใจ ยาต้านไวรัส ระบบตรวจหาเชื้อ และแผนการนำเข้าวัคซีนที่เชื่องช้าและไม่เต็มใจแล้ว
….
บอกตรงๆ เราไม่เห็นทางออกภายในปีนี้เลยอ่ะ