วันจันทร์, กรกฎาคม 12, 2564

คนติดลด คนตายไม่ลด ต้นหนตอแหล แก้ได้ต้องตัดเนื้อร้ายออกไป


ลดแล้ว ลดแล้ว คนติดโควิดวันนี้ (๑๒ ก.ค.) ลดไปเกือบพัน จำนวนคนตายก็น้อยกว่าเมื่อวาน แต่แค่ ๕ คน ตัวเลข ๘๑ จัดว่ายังตายกันมากไป เห็นใจสัปเหร่อตรากตรำไม่แพ้แพทย์-พยาบาลแนวหน้า รายหนึ่งบ่นออนไลน์เมื่อวานซืน “จะไม่ไหวแล้ว”

#สัปเหร่อวัดใหม่ตาสุต ย่านฝั่งธน โพสต์ว่าต้องเผาศพผู้เสียชีวิตจากโควิดเกิน 40 ศพแทบไม่ได้พัก...เพิ่งเผาเสร็จไม่ถึงชั่วโมง ญาติโทรมาขอให้เผาอีกศพ” แถมตนเองยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ประกาศถึงตัวตายก็ไม่ทิ้ง ทำให้ทุกศพ สุดสลด” (@ข่าวสด​ออนไลน์)

อีกราย “ไวยาวัจกรวัดราษฎร์ประคองธรรม เผยยอดเผาศพผู้เสียชีวิตโควิด (เมื่อวันที่ ๘ ก.ค.) สูงทะลุ ๑๐๑ รายแล้ว เยอะที่สุดในจังหวัดนนท์” ถึงขนาดศพต้องรอคิวเข้าเชิงตะกอนกัน เฉพาะวัดนี้เผาได้อย่างดีก็วันละสี่ราย “แต่ละวันกว่าจะเสร็จก็ตี ๑ ตี ๒”

จะว่ายังไม่สลดเท่ากรณีผู้ป่วยโควิดสูงอายุรายหนึ่ง ซึ่งมีโรคอื่นติดตัวอยู่แล้ว “หมออายุรกรรมเค้าแนะนำว่าไม่ควรสู้ เพราะยังไงผลก็ออกมาไม่ดี” แล้ว “คือทำได้แค่ดมอ๊อกซิเจนในม่าน แต่ถ้าแย่ลงที่นี่ไม่ใส่ท่อช่วยหายใจแล้วค่ะ เพราะใส่ไปก็ไม่รู้จะเอาไปนอนที่ไหน”

นั่นเป็นข้อเขียนของ Thanaphon Harnpoonvittaya เอามาแบ่งปันเป็นอุทธาหรณ์ “สำหรับครอบครัวคนไข้ คำถามที่ต้องตอบไม่ใช่ ไปนอน รพ.ไหน แต่คือทำยังไงให้ได้นอน รพ. หรือถ้าโชคร้ายกว่านั้น ก็ตามที่เห็นคือให้เสียชีวิตที่โรงพยาบาล หรือเอากลับไปหมดลมที่บ้าน”


มันไม่ใช่ประเด็นที่จะให้เสล่อคนไหนมาบอกว่า เถอะน่า ไหนๆ เราก็อยู่ในเรือลำเดียวกัน ต้องให้กำลังใจไต้ก๋ง ทั้งที่คนเป็นนายท้ายเรือไม่ใช่กัปตันตัวจริง แต่เป็นหัวหน้าโจรสลัดปล้นเรือมา พอดีเจอพายุหนัก ไม่มีปัญญาเอาเรือเข้าฝั่งได้ต่างหาก

“ต่างชาติยืนยันในความล้มเหลวของ #ประยุทธ์ ว่าไทยติดท็อป ๓ รั้งท้าย” ในบรรดาประเทศที่จัดการแก้ปัญหาโควิด-๑๙ ระบาดข้ามทวีป จากการประเมินของสื่อญี่ปุ่น นิเคอิไทยได้ลำดับ ๑๑๙ เหนือกว่าแค่แนมีเบียกับอาฟริกาใต้ ที่ได้อันดับ ๑๒๐ สองประเทศเท่านั้น

โชคดียังพอมีต้นหน และลูกเรือบางคนที่เคยช่ำชองงาน หรือมีปฏิพานไหวพริบเฉียบคมและเรี่ยวแรงแข็งขัน เชื่อว่าจะพาเรือฝ่าคลื่นลมไปตลอดรอดฝั่งได้ แต่ไต้ก๋งไม่ยอมถอดพันธนาการปล่อยพวกเขาออกมาช่วยงาน ด้วยความหวงอำนาจและตำแหน่ง

มีกำลังอาวุธเก่งแต่ทำลาย ทำร้าย และแย่งชิงได้ แต่ไม่มีทักษะในทางรักษาและสร้างเสริม ลุแก่อำนาจและผิดพลาดซ้ำซาก เฉกเช่นรัฐบาลขี้ตู่ชุดนี้ อย่าว่าแต่จะนำพานาวาให้พุ่งไปบนผืนน้ำอย่างเฉียบเร็ว กระทั่งจะคอยวิดน้ำที่ซัดสาดเข้าเรือก็ยังไม่เป็นท่า


ต่อการที่กำลังพลกองร้อยขนส่งทางอากาศ ๑๑๔ คน เดินทางไปสหรัฐอเมริกาด้วยเที่ยวบิน โคเรียนแอร์ แต่ซื้อตั๋วผ่านสายการบิน เดลต้า ในราคาสูงลิบลิ่ว ไป-กลับ ๗ หมื่นบาทต่อคน โดนปวิน ชัชวาลพงศ์พันธุ์ แซะว่า “ไปฉีดวัคซีนด้วยเงินภาษีประชาชน”

รองโฆษกกองทัพบก แก้ตัวได้แต่เพียงว่าทหารเหล่านั้น “เดินทางไปร่วมการฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ (Strategic Airborne Operation) กับกองทัพบกสหรัฐ ณ Fort Bragge รัฐนอร์ทแคโรไลน่า” เพื่อเตรียมความพร้อมร่วมกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์

ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการที่จะร่วมซ้อมรบ โคบร้าโกลด์ ในปี ๒๕๖๕ โดยทหารเหล่านั้น “ทุกนายผ่านการ SWAB test ได้ผลเป็นลบ และได้รับการฉีดวัคซีนที่ประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว” ทั้งซิโนแว็คและแอสตร้าเซเนก้า

ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ฉีดไฟ้เซอร์หรือโมเดอร์น่า เป็นเข็มที่สามเมื่อเดินทางถึงสหรัฐ ถ้อยแถลงแก้ตัวโดย พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง ไม่ได้ระบุชัดแจ้งพอให้หายกังขาได้ อีกทั้งข้ออ้างเพียงว่าสหรัฐให้การสนับสนุนการฝึกโดดร่มครั้งนี้


ไม่เพียงพอตอบข้อครหาที่ว่า เอาเงินภาษีอากรไปเป็นงบประมาณค่าใช้จ่าย ปัญหาความไม่กระจ่างต่างๆ ในเรื่องส่วนต่างและเงินทอน ในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการต่างๆ ของทหาร ยังคงเป็นจุดด่างค้างคา แปดเปื้อนข้ออ้างการรัฐประหารของต้นตอรัฐบาลชุดนี้

ถ้อยแถลงขององค์การเภสัชกรรม เรื่องราคานำเข้าวัคซีนโมเดอร์น่า โด๊สละ ๕๘๔ บาท บวกกำไรอีก ๘๘% ที่เอาไปขายต่อโรงพยาบาลเอกชน ในราคา ๑,๑๐๐ บาทต่อโด๊สนั้น ว่า “ไม่เป็นความจริง” แต่กลับดึงดันว่า “ราคาที่สั่งซื้อมาเท่าไหร่นั้น บอกไม่ได้เป็นความลับ”

นี้เป็นคำพูดที่มีค่าไม่มากไปกว่าการ โกหกตอแหลจนเป็นนิสัยหมดหนทางแก้เหมือนกับโรค สลิ่ม เหลือแต่ช่องทางเดียวที่จะให้ประเทศชาติปลอดโล่งจากการเกาะกินของเหลือบบนหลังประชาชนเหล่านั้น ก็คือต้องขจัดตัดเนื้อร้ายออกไปก่อนใช้ คีโม

(https://www.khaosod.co.th/politics/news_6504279, https://www.facebook.com/EarthThanapon/posts/10225584453775975 และ https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=953751131959179&id=100019729020639)