
Angkhana Neelapaijit
6 hours ago
·
ที่จริงเบื่อตอบโต้ท่านผู้ช่วยรัฐมนตรีมาก ๆ เพราะที่แสดงความเห็น ก็มีแต่จะปกป้องตัวเองและปกป้องรัฐบาล ไม่ได้มีเหตุผลทางสิทธิมนุษยชนมาชี้แจงให้สาธารณะชนเข้าใจ และไม่มี empathy ต่อผู้ลี้ภัย มีแต่ความเข้าอกเข้าใจจีนอย่างเดียว แต่เนื่องจากมีหลายคนถามมาว่าจริงดังที่ ท่าน ผช. รมต. กล่าวไหม จึงขอชี้แจงให้ทุกท่านเข้าใจตามหลักการสิทธิมนุษยชนอีกครั้งในฐานะที่ติดตามชาวอุยกูร์กลุ่มนี้มาตั้งแต่พวกเขาเข้ามาครั้งแรก ได้ไปเยี่ยมตั้งแต่เด็กคนแรกที่ตายด้วยโรควัณโรคไขสันหลัง จนต่อมาไทยส่งผู้หญิงและเด็กไปตุรกี และส่งผู้ชาย 109 คนให้จีนโดยไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งปรากฏต่อมาว่าพวกเขาถูกถุงดำคลุมหัวขณะเดินทาง และเมื่อถึงจีน ญาติ ๆ ไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้อีก ทำให้ไทยไม่กล้าส่งคนที่เหลือให้จีน จนมาถึงรัฐบาลแพทองธารที่แอบส่งคนกลุ่มนี้กลับอีกครั้ง ทั้งที่คนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนคัดค้านด้วยความปรารถนาดีมาตลอด แต่รัฐบาลก็ไม่ฟัง แถมยังแก้ตัวเข้าข้างจีน จนหลายคนสงสัยว่ามีดีลอะไรกันหรือเปล่า
.
#อยากแนะนำท่านผู้ช่วย ในฐานะที่เป็นผู้แทนไทยที่เข้าไปนั่งในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ (UN HRC) #กล่าวถ้อยแถลงด้วยวาจา ในสภาคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน ในสิ่งที่ท่านเขียนมานี้ทั้งหมด แล้วลองดูว่านานาประเทศที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ... จะชี้แจงเมื่อไหร่ช่วยบอกด้วยนะคะ จะได้รอฟังค่ะ
.
อีกประการ ตามที่ท่าน ผช. รมต และรัฐบาลบอกว่าการควบคุมตัวทั้ง 40 คน นานถึง 11 ปี เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่องนี้ถูกต้องอย่างยิ่งค่ะ เพราะการควบคุมตัวชาวอุยกูร์เหล่านี้เป็นระยะเวลานาน ทั้งที่พวกเขาไม่ได้กระทำผิด จึงอาจเข้าข่ายการควบคุมตัวโดยพลการ สิ่งที่นักสิทธิมนุษยชนพยายามแนะนำรัฐบาล คือ การหาทางเลือกอื่นแทนการกัก (Alternative detention) เช่น การให้ประกันตัวโดยวางหลักทรัพย์ (ส่วนตัวก็เคยไปค้ำประกันผู้ลี้ภัยหลายคนที่ขอประกันตัว) แต่ดังที่ทราบกันดีว่า กรณีอุยกูร์รัฐบาลไม่ยอมให้ประกันเด็ดขาด เพราะเกรงใจจีน อีกทางเลือกคือ การให้คนเหล่านี้ไปอยู่ในสถานกักซึ่งมีพื้นที่พอสมควร เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีสถานที่ออกกำลังกาย และสามารถทำงานเพื่อสร้างรายได้ระหว่างการรอการเดินทางไปตั้งรกรากยังประเทศที่ 3 ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยการส่งกลับจีน
.
การที่รัฐบาลบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้เดินทางกลับโดยสมัครใจ หากเป็นจริงตามที่รัฐบาลกล่าว ก็ขอเรียกร้องอีกครั้งให้นำ #บันทึกภาพและเสียงต่อเนื่องขณะที่หน่วยปฏิบัติการเข้าไปนำตัวพวกเขา ขึ้นรถปิดเทปดำไปสนามบินเผยแพร้ต่อสาธารณะ เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาสมัครใจจริง ๆ พวกเขาไม่ได้ถูกพันธนาการ และไม่ถูกบังคับขู่เข็ญให้จำยอมเดินทางกลับจีน เพราะหากเป็นการสมัครใจดังที่รัฐบาลว่า ทำไมจึงไม่ให้ทั้ง 40 คนพูดคุยกับสาธารณะ และให้พวกเขาเดินทางกลับโดยเปิดเผย ไม่ปิดบังซ่อนเร้นดังที่ปรากฏ
.
ในฐานะที่เคยเข้าไปเยี่ยมแบบเกาะลูกกรงคุยกับทั้ง 48 คน (ปัจจุบันมี 5 คนอยู่เรือนจำ ตายไปอีก 3 จึงเหลือ 40 คนในห้องกัก) ไม่เคยมีสักครั้งที่พวกเขาร้องขอเดินทางกลับจีน มีแต่ขอให้ส่งกลับไปอยู่กับครอบครัวที่ตุรกี หรือประเทศที่ 3 ขณะเดียวกัน ได้มีโอกาสติดต่อกับญาติชาวอุยกูร์หลายคนใจจำนวน 109 คนที่ถูกส่งกลับเมื่อปี 58 ทุกคนยืนยันไม่สามารถติดต่อกับทั้ง 109 คนได้
.
เรื่องสุดท้ายและที่สำคัญที่สุด คือ การที่รัฐบาลไทยเชื่อใจจีนว่าทั้ง 40 คนจะปลอดภัย ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัว อันนี้ขอยืนยันในฐานะที่ช่วยเหลือคนกลุ่มนี้มาเกือบ 20 ปี ในฐานะต่าง ๆ ทั้งนักสิทธิมนุษยชน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติ และสมาชิกคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจ ขอบอกว่าไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง แนะนำท่าน ผช. รมต และผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน อ่านรายงานที่อดีตข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ มิเชล บาชิเลตต์ ซึ่งเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ในซินเจียงด้วยตัวเอง และจัดทำรายงานต่อสาธารณะ จะทราบว่าในประเทศจีน ชนกลุ่มน้อยทางศาสนาถูกกดขี่ข่มเหง ถูกเลือกปฏิบัติ และถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไร ทั้งนี้ หากรัฐบาลไทยยังคงดันทุรังว่าทำทุกอย่างโดยถูกต้องแต่ถูกนานาชาติทั้ง สหประชาชาติ รัฐสภายุโรป หรือสหรัฐอเมริกากลั่นแกล้ง ก็ขอแนะนำให้ลาออกจากสมาชิกสหประชาชาติ รวมถึงยกเลิกข้อตกลง PCA กับสหภาพยุโรปไปเลยน่าจะดีกว่าค่ะ ทั้งนี้ขอเน้นย้ำว่าการผลักดันบุคคลสู่อันตราย (non refoulement) เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ขัดต่อทั้งกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศ
**** #PCA เป็น #กรอบความตกลงที่ไทยจัดทำร่วมกับสหภาพยุโรป (EU) และประเทศสมาชิก EU ทั้ง 27 ประเทศ เพื่อเป็นพื้นฐานในการขยายความร่วมมือระหว่างกันในสาขาต่าง ๆ ให้มีทิศทางและแบบแผนในระยะยาว บนหลักการที่ทั้งสองฝ่ายมีร่วมกัน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เช่น การเคารพหลักการสากลต่าง ๆ ด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน นิติรัฐและนิติธรรม เศรษฐกิจที่เปิดเสรี การพัฒนาที่ยั่งยืน รวมไปถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ทั้งนี้ การที่ทั้งสองฝ่ายมีกรอบความร่วมมือดังกล่าวจะนำไปสู่การดำเนินความสัมพันธ์ในลักษณะที่เป็นหุ้นส่วนใกล้ชิดระหว่างไทยกับ EU และประเทศสมาชิก เสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทยในเวทีโลก)


https://www.facebook.com/angkhana.nee/posts/10163985390678268