วันอังคาร, ธันวาคม 31, 2567

รมว. ‘ภูมิธรรม’ ช่างกล้า ตากหน้าไปคุยกับตะหานหลายระดับ เขาไม่รับแก้ไข ‘จัดระเบียบกลาโหม’ เลยสักอย่าง ‘บิ๊กอ้วน’ ก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ “เห็นตามนั้น”

เอิ่ม รมว.กลาโหมภูมิธรรม ช่างกล้า ตากหน้าไปคุยกับตะหานหลายระดับ ซ้ำเข้าประชุมสภากลาโหมตั้งสามครั้งแล้ว ปรึกษาเรื่องปฏิรูปกองทัพ ที่จะให้ยอมรับอำนาจรัฐมนตรีนั้นน่ะ ไม่มีใครเอาด้วยสักคน หรือสักประเด็น

เขาตอบแย้งกันมาทุกอย่าง ตนเองก็เลย “เห็นตามนั้น” หรือไม่ “ก็รับฟังได้” ตลอดละ น่ารักจริง ไม่แพ้ รมว.คนก่อน แม้จะยังไม่ได้ถึงขั้นใส่เอี๊ยมกระโดดลงไปผัดข้าวเลี้ยงกำลังพล ก็นับว่า ว่านอนสอนง่ายพอๆ กัน

“อย่าเขียน ห้ามปฏิวัติ” Wassana Nanuam โพสต์เล่าประสพการณ์ของ บิ๊กอ้วนจากการไปคุยกับแม่ทัพนายกองเกี่ยวกับการแก้ไข พรบ.จัดระเบียบราชการทหาร เขาตอบกลับมาว่า “รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดห้ามอยู่แล้วว่าทำไม่ได้

...แต่ถ้าจะทำ มันก็จำเป็นต้องทำก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” เออ จริงแฮะ ถ้าทำก็ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง สิ้นเรื่องไป “ส่วนการโยกย้ายนายทหารได้ เมื่อรู้ว่าใครจะทำรัฐประหารนั้น ฝ่ายทหารมองว่า การปฏิวัติมันไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์มายืนยัน

ก็เกรงว่าจะถูกเอามาเป็นเงื่อนไขในการกลั่นแกล้งทางการเมือง จึงขอว่าอย่าทำเลย” ทั่น รมว.จึงได้แต่พยักหน้าหงึกๆ แบ่งรับมากกว่าแบ่งสู้ ว่าการ “เขียนเปิดช่องให้ทหารไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ในกรณีเกิดการรัฐประหาร” นั่นน่ะ

“ผิดหลักเกณฑ์การบริหารจัดการกองทัพ...แบบนี้ทำไม่ได้ มันจะเสียวินัยการจัดการกองทัพ เพราะไม่ว่าถูกหรือผิดคนสั่งการจะเป็นคนรับผิดชอบ” รัฐมนตรีก็เลยไม่รู้จะสรุปอย่างไร “ตอนนี้ก็มาดูว่าเรื่องไหนทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ให้บอกมาตรงๆ” ดีกว่า

ส่วนกรณีจะให้การแต่งตั้งยศตำแหน่งนายทหารผ่านคณะรัฐมนตรี ภูมิธรรมแจ้งว่า “เรื่องนี้เป็นความเห็นที่แตกต่าง ตนพูดไม่ได้ แต่ก็เคยมีกระบวนการแบบนี้มาก่อน และมีเหตุผลรองรับได้ แต่พูดยาก” ดีแล้วละ อะไรยากๆ อย่าทำ ไม่สำเร็จแล้วขายขี้หน้า

ดังนั้นเรื่องการลดสัดส่วนนายทหารในสภากลาโหม จึงเป็นเรื่อง “โน โน” ทำไม่ได้เด็ดขาด “แม้กระทั่งการแต่งตั้ง ผบ.ทร.ครั้งที่แล้ว จะให้โหวตอย่างไรก็ไม่โหวต” จึงทำให้ รมว.ถึงบางอ้อ “รู้ว่าทหารไม่ได้ชอบโหวต แต่ชอบคุยกันให้เข้าใจ”

คราวนี้เป็นที่ประจักษ์ละ ว่าตะหานเขาไม่ชอบหลักการประชาธิปไตย เรื่องโหวตเอาเสียงข้างมากตัดสินมันเรื่องมากต้องมีดีเบท ยกเหตุยกผลเสียเวลา สู้พูดกัน สั่งกัน ครับผม ครับทั่น ทั้งง่ายและรวดเร็วกว่าเป็นไหนๆ

(https://www.facebook.com/story.php9117248575000186&id=100001454030105Yd)

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนนำเสนอ “ที่สุด” ในหลากหลายเรื่องในแต่ละช่วงเดือนของปฏิทิน จากสถานการณ์คดีทางการเมืองตลอดทั้งปี 2567 เพื่อเป็นการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ของสิทธิมนุษยชนไทย และขอเชิญชวนประชาชนร่วมจดจำเรื่องราวเหล่านี้ไปด้วยกัน



TLHR’s Collection ที่สุดแห่งปีของศูนย์ทนาย ประจำปี 2567

30/12/2567
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ปีนี้ยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย แม้ภายใต้การนำของรัฐบาลพลเรือน สิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองยังคงถูกลิดรอน สิทธิประกันตัวของผู้ต้องขังทางการเมืองยังเป็นปัญหา คดีความจากการแสดงออกจำนวนมากยังคงเต็มศาล

เวลากว่า 4 ปี ผ่านพ้นไป แต่ผลพวงจากการชุมนุมเมื่อปี 2563 ในแง่มุมต่าง ๆ ยังดำเนินต่อไป ยอดประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมและแสดงความคิดเห็นทางการเมืองยังพุ่งทะลุไปไม่น้อยกว่า 1,960 คน ในจำนวน 1,311 คดี และยังมีผู้ต้องขังทางการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่ไม่น้อยกว่า 33 ราย

ในปีนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนขอนำเสนอ “ที่สุด” ในหลากหลายเรื่องในแต่ละช่วงเดือนของปฏิทิน จากสถานการณ์คดีทางการเมืองตลอดทั้งปี 2567 เพื่อเป็นการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ของสิทธิมนุษยชนไทย และขอเชิญชวนประชาชนร่วมจดจำเรื่องราวเหล่านี้ไปด้วยกัน
.
.
แด่ บุ้ง เนติพร เสน่ห์สังคม ด้วยความระลึกถึงในการต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

มกราคม: บัสบาสถูกลงโทษจำคุกคดี ม.112 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวม 54 ปี

เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2567 ศาลจังหวัดเชียงรายอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในคดีของ “บัสบาส” มงคล ถิระโคตร พ่อค้าขายเสื้อผ้าออนไลน์และนักกิจกรรมในจังหวัดเชียงรายวัย 30 ปี ในคดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการโพสต์เฟซบุ๊กรวม 27 โพสต์ ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2564

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้แก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยจากเดิมเห็นว่ามีความผิดใน 14 ข้อความ เป็นเห็นว่ามีความผิดเพิ่มอีก 11 ข้อความ รวมเป็น 25 กระทง ลงโทษจำคุกรวมกัน 50 ปี นับเป็นสถิติคดีมาตรา 112 ที่ถูกลงโทษจำคุกสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

จากนั้นเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2567 เขายังถูกศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนลงโทษจำคุก 4 ปี ในคดีมาตรา 112 อีกคดีหนึ่ง พร้อมเพิ่มโทษอีก 6 เดือนจากคดีส่วนตัวของเขาที่ถูกให้รอการลงโทษไว้ก่อนหน้านี้ รวมโทษจำคุกของเขาอยู่ที่ 54 ปี 6 เดือน

ปัจจุบัน บัสบาสยังถูกคุมขังในคดีมาตรา 112 ทั้ง 3 คดี อยู่ที่เรือนจำกลางเชียงราย และไม่ได้สิทธิประกันตัวในระหว่างฎีกา โดยเขาได้ยื่นขอประกันตัวในปีนี้รวม 4 ครั้ง และศาลฎีกาได้ยกคำร้องเรื่อยมา เขายังยืนยันต่อสู้คดีถึงที่สุดในทุกคดีตาม ม.112 ของตัวเอง

ย้อนอ่าน: สูงสุดเป็นประวัติการณ์! คดี ม.112 “บัสบาส” ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เพิ่มโทษจำคุกเป็นรวม 50 ปี เห็นว่าผิดเพิ่ม 11 กระทง แม้ตีความถึงอดีตกษัตริย์
ย้อนอ่านบันทึกเยี่ยมบ้านบัสบาส:“ก็แค่ยักไหล่แล้วไปต่อ ผมยังหายใจอยู่นี่หน่า”: พาเยี่ยมบ้าน ‘บัสบาส’ ผู้ต้องโทษประวัติศาสตร์คดี ม.112



กุมภาพันธ์: Journalism is not a crime – 2 นักข่าวถูกกล่าวหาสนับสนุนให้พ่น “วัดพระแก้ว” โบราณสถานเสียหาย

เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2567 ณัฐพล เมฆโสภณ หรือ “เป้” นักข่าวประชาไท อายุ 34 ปี ถูกจับกุมที่บ้านตามหมายจับของศาลอาญา และถูกนำตัวไป สน.พระราชวัง ต่อมา ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์ หรือ “ยา” ช่างภาพอิสระ อายุ 34 ปี ได้ถูกจับกุมขณะจอดแวะโทรศัพท์ที่บริเวณวัดสุทธิวราราม ระหว่างการทำข่าวกรณี “เป้” ณัฐพลที่ถูกจับกุมก่อนหน้า

ทั้งสองถูกกล่าวหาในข้อหา “เป็นผู้สนับสนุนทำให้โบราณสถานเสียหาย ทำลาย หรือทำให้เสื่อมค่า และขีดเขียน พ่นสี ข้อความและภาพบนกำแพงที่ติดกับถนนหรืออยู่ในที่สาธารณะ” จากกรณีลงพื้นที่รายงานและติดตามสถานการณ์การแสดงออกพ่นสีกำแพงวัดพระแก้ว ของ “บังเอิญ” เป็นสัญลักษณ์เลข 112 และมีเส้นขีดทับ รวมถึงเครื่องหมายสัญลักษณ์ “อนาคิสต์” เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2566

ปัจจุบันคดีของทั้งสองยังอยู่ในชั้นสอบสวน ภายใต้ความกังวลต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ที่ต้องถูกกล่าวหาดำเนินคดีจากการปฏิบัติหน้าที่

ย้อนอ่านข่าว: “เป้-ยา” 2 สื่อมวลชน และ “สายน้ำ” ถูกแจ้งข้อหาเพิ่ม “ร่วมกัน” ทำลายโบราณสถาน กรณีทำข่าว-ถ่ายรูป “บังเอิญ” พ่นสีกำแพงวัง

ย้อนอ่านบทสัมภาษณ์ของเป้ เมื่อสื่อเข้มแข็ง ประชาธิปไตยก็จะเข้มแข็ง: คุยกับ “เป้ ประชาไท” ในวันที่เสรีภาพสื่อของไทยยังเลือนราง และบทสัมภาษณ์ของยา ให้ภาพถ่ายเล่าความจริง : “ยา” ณัฐพล ช่างภาพข่าวหัวขบถ



มีนาคม: ม.112 ในสายตาโลก – ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ UN เรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดี ม.112 กับประชาชน

เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2567 ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การสหประชาชาติได้แสดงความกังวลในประเด็นการดำเนินคดีต่อ อานนท์ นำภา ทนายความและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งถูกตัดสินลงโทษจำคุก 4 ปี ในความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ทั้งหมด 2 คดี รวมเป็นโทษจำคุกทั้งสิ้น 8 ปี จากการตั้งคำถามเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรา 112 รวมไปถึงการเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

เว็บไซต์ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ได้เผยแพร่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากองค์การสหประชาชาติ เรียกร้องให้มีการกลับคำพิพากษา และยุติการดำเนินคดีที่เหลือทั้งหมดของอานนท์ นำภา และผู้ถูกดำเนินตามมาตรา 112 รวมถึงการปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมือง และเน้นย้ำข้อเรียกร้องที่มีมาอย่างยาวนานให้รัฐบาลไทย “ยกเลิก” (repeal) มาตรา 112 เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางด้านสิทธิมนุษยชน

ย้อนอ่านข่าว: ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ UN เรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดีต่ออานนท์ นำภา และผู้ถูกดำเนินคดีตาม ม.112



เมษายน: ขังร่างกายได้ แต่ขังอุมดมการณ์ไม่ได้ – ผู้ต้องขังทางการเมืองเยอะที่สุดในรอบปี ถึง 46 ราย

สถานการณ์ผู้ต้องขังทางการเมืองในรอบวันที่ 1 เม.ย. ถึง 14 พ.ค. 2567 พบว่าเป็นช่วงที่มีการคุมขังประชาชนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองสูงถึง 46 ราย นับเป็นช่วงที่มียอดผู้ต้องขังที่สูงที่สุดในรอบปีนี้ ก่อนจะลดลงเล็กน้อยในช่วงครึ่งหลังของปี เมื่อผู้ต้องขังที่คดีสิ้นสุดหลายคนได้รับการปล่อยตัว หลังมี พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ. 2567 แต่สถานการณ์การประกันตัวผู้ต้องขังที่คดียังไม่ถึงที่สุด ก็ยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่องมาตลอดทั้งปี

ย้อนอ่านประมวลสถานการณ์: อัปเดตสถานการณ์ผู้ต้องขังคดีการเมืองรอบ 1 เม.ย. – 14 พ.ค. 2567

ย้อนอ่านบทความ: นิยามที่หลากหลายและข้อถกเถียงต่อความหมายของ “นักโทษการเมือง” นิยามที่หลากหลายและข้อถกเถียงต่อความหมายของ “นักโทษการเมือง”



พฤษภาคม: บุ้ง เนติพร เสียชีวิตในเรือนจำ ยังต้องติดตามการไต่สวนการตาย

14 พ.ค. 2567 บุ้ง เนติพร เสียชีวิตในระหว่างการคุมขัง ในคดีที่ศาลอาญากรุงเทพใต้สั่งจำคุก 1 เดือนในคดีละเมิดอำนาจศาล และต่อเนื่องมาในคดีมาตรา 112 ทำโพลสำรวจความเดือดร้อนจากขบวนเสด็จ ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้สั่งถอนประกันเธอ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2567

ระหว่างการคุมขังในทัณฑสถานหญิงกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. 2567 บุ้งได้ปฏิบัติการอดอาหารและน้ำ เพื่อประท้วงก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยมี 2 ข้อเรียกร้อง ดังนี้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
จะต้องไม่มีคนเห็นต่างทางการเมืองถูกคุมขังอีก

อย่างไรก็ตาม การไต่สวนการตายของ “บุ้ง เนติพร” จะเกิดขึ้นในวันที่ 13 ม.ค. 2568 ที่ศาลจังหวัดธัญบุรี เวลา 13.00 น.

ย้อนอ่านข่าว: บุ้ง เนติพร เสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัวของ จนท.ราชทัณฑ์ รอชันสูตรพลิกศพต่อในวันพรุ่งนี้



มิถุนายน: “หมดเวลาราชการ เริ่มภารกิจประชาชน” – ประชาชนรวมพลังโหวตเห็นด้วยดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน เข้าสภาผู้แทนราษฎร

รัฐสภาฯ ได้เปิดรับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อร่างกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 โดยเปิดรับความเห็นเป็นระยะเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. – 12 มิ.ย. 2567

ในช่วงเวลาดังกล่าวมีประชาชนเข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชนเป็นจำนวนมากถึง 89,393 คน โดยสัดส่วนสุดท้ายในวันที่ 12 มิ.ย.67 พบว่ามีคนแสดงความคิดเห็นไม่เห็นด้วย เป็นจำนวน 65.11 % และมีคนเห็นด้วย 34.89 %

ในตลอดการเปิดรับความเห็นของร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ได้มีประชาชนร้องเรียนปัญหาเว็บไซต์กับรัฐสภา และพบว่าในเว็บไซต์ของรัฐสภาจะมีความผิดปกติในจำนวนตัวเลขของการแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก

สถานการณ์การพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมในคดีทางการเมืองยังเป็นประเด็นถกเถียงตลอดปี 2567 โดยประเด็นใจกลางสำคัญ คือปัญหาเรื่องมาตรา 112 ว่าควรถูกรวมในการนิรโทษกรรมด้วยหรือไม่ และการต่อสู้นี้ยังสืบเนื่องไปในปีใหม่นี้

ย้อนอ่านข่าว: รายงานความผิดปกติของเว็บไซต์รัฐสภาฯ ในการรับฟังความเห็นร่างฯ นิรโทษกรรมประชาชน



กรกฎาคม: พ่นสีกำแพงวัด สร้างผลกระทบกระเทือนจิตใจปวงชน – ศาลอาญาลงโทษจำคุก 8 เดือน “บังเอิญ” พ่นสีกำแพงวัดพระแก้ว

วันที่ 4 ก.ค. 2567 ศาลอาญาพิพากษาคดีของ “บังเอิญ” ศิลปินชาวขอนแก่น วัย 26 ปี กรณีถูกฟ้อง 2 ข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.โบราณสถานฯ และ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ จากเหตุพ่นสีกำแพงพระบรมมหาราชวัง เพื่อเรียกร้องสิทธิให้ผู้ต้องขังทางการเมือง ในช่วงวันเกิดอายุครบ 25 ปีของเขาเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2566

ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 8 เดือน ก่อนได้รับการประกันในระหว่างอุทธรณ์คดี และเขายังต้องต่อสู้คดีตามมาตรา 112 อีก 2 คดี ที่ถูกกล่าวหา จากการโพสต์ภาพในเฟซบุ๊ก

ย้อนอ่าน: ศาลเห็นว่าเป็นโบราณสถาน คดี ‘บังเอิญ’ พ่นสีกำแพงวัง ลงจำคุก 8 เดือน ก่อนได้ประกันชั้นอุทธรณ์

ย้อนอ่านบทสัมภษณ์ของบังเอิญ: ไม่มีอะไรที่ผมกลัวอีกแล้ว หลังจากพ่นกำแพงวังในวันนั้น”: คุยเรื่องตั้งใจของ “บังเอิญ” ศิลปิน Punk Art “หรือชีวิตไพร่มันไร้ค่า”



สิงหาคม: จากบริสุทธิ์ ให้มีความผิด – ศาลอุทธรณ์ภาค 4 กลับคำพิพากษาลงโทษจำคุก 6 ปี “ทิวากร” โพสต์ภาพใส่เสื้อ “เราหมดศรัทธาฯ”-เรียกร้อยหยุดใช้มาตรา 112

14 ส.ค. 2567 ศาลจังหวัดขอนแก่นอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในคดีมาตรา 112, มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ของ ทิวากร วิถีตน เกษตรกรชาวขอนแก่น วัย 48 ปี กรณีโพสต์ภาพสวมเสื้อ “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” รวมถึงโพสต์เรียกร้องให้สถาบันกษัตริย์ยุติการใช้มาตรา 112 และปล่อย 4 แกนนำราษฎร ในช่วงเดือน ก.พ. 2564

ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา แต่ต่อมาอัยการจังหวัดขอนแก่นยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค 4 กลับคำพิพากษาทั้งหมด โดยเห็นว่าเขามีความผิดในทุกกระทง ให้ลงโทษจำคุก 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา หลังจากนั้นทิวากรกลับไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างฎีกาเรื่อยมา แม้การต่อสู้คดีจะยังไม่สิ้นสุด

ย้อนอ่าน: ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาจำคุก 6 ปี “ทิวากร” เหตุโพสต์ภาพสวมเสื้อ “เราหมดศรัทธาฯ” – เรียกร้องหยุดใช้ 112 ชี้ ข้อความมีลักษณะ ลดคุณค่า-ใส่ความ ร.10

ย้อนอ่านบทสัมภาษณ์ชีวิตของทิวากร “หมดศรัทธา” ไม่ได้แปลว่า “ล้มเจ้า”: “หมดศรัทธา” ไม่ได้แปลว่า “ล้มเจ้า” สำรวจเส้นทางต่อสู้ ‘112’ ของทิวากร


กันยายน: ตะโกนไล่ประยุทธ์ เป็นเสรีภาพของประชาชน – ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยกฟ้อง “ป้าวันทนา”

วันที่ 5 ก.ย. 2567 ศาลแขวงราชบุรีนัดอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ภาค 7 ในคดีของ วันทนา โอทอง ประชาชนวัย 63 ปี ในจังหวัดราชบุรี จากเหตุยืนรอขบวน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ในอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี และตะโกนวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2566

ก่อนหน้านี้ ศาลแขวงราชบุรีพิพากษาลงโทษจำคุกวันทนา เต็มอัตรา 6 เดือน 10 วัน ปรับ 1,000 บาท ทั้งยังไม่รอลงอาญา ใน 3 ข้อหาตามคำฟ้อง ได้แก่ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงาน, ส่งเสียงหรือกระทำความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันสมควร และต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน

ก่อนศาลอุทธรณ์ภาค 7 กลับคำพิพากษาเป็นยกฟ้องทั้งหมด กลายเป็นหนังคนละม้วนกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยชี้ว่าตำรวจใช้กำลังเกินกว่าเหตุ เป็นการละเมิดเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชนที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้

ย้อนอ่านข่าว: ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยกฟ้อง! “ป้าวันทนา” คดีตะโกนไล่ประยุทธ์ ชี้ตำรวจละเมิดเสรีภาพการแสดงความเห็นของประชาชนที่รัฐธรรมนูญรับรอง



ตุลาคม : รับงานแสดงค่ะ ไม่ได้ล้อเลียนใคร – ศาลอาญายกฟ้อง ม.112 “หนูรัตน์” กรณีร่วมทำคลิปโฆษณา ชี้ไม่ควรตีความกฎหมายอาญาขยายความ

วันที่ 30 ต.ค. 2567 ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษามาตรา 112 ของ “หนูรัตน์” หรือ สุภัคชญา ชาวคูเวียง คอนเทนต์ครีเอเตอร์ อายุ 30 ปี จากกรณีร่วมจัดทำและร่วมแสดงในคลิปโฆษณาแคมเปญ 5.5 ของลาซาด้า เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 โดยถูกกล่าวหาว่าเป็นการล้อเลียนเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ

ก่อนศาลพิพากษายกฟ้อง ชี้ว่าเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ ไม่ใช่รัชทายาทที่กฎหมายมาตรา 112 ให้ความคุ้มครอง และองค์ประกอบของมาตรา 112 คุ้มครองเฉพาะตัวบุคคลตามที่กฎหมายบัญญัติ ไม่ได้คุ้มครอง “สถาบัน” การบังคับใช้กฎหมายอาญาไม่ควรตีความในทางขยายความ การกระทำของจำเลยยังไม่เข้าองค์ประกอบความผิดในข้อกล่าวหานี้

ย้อนอ่าน: ศาลยกฟ้องคดี 112 “หนูรัตน์” กรณีร่วมทำคลิปโฆษณา ชี้ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ไม่ใช่รัชทายาท – ไม่ควรตีความ ม.112 เกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติ

ย้อนอ่านคำเบิกความของหนูรัตน์: สวัสดีค่ะ หนูชื่อสุภัคชญา ชาวคูเวียง ชื่อเล่น “หนูรัตน์” ปัจจุบันหนูยืนยันต่อสู้คดี ม.112



พฤศจิกายน: ถอดเสื้อประท้วงต้านพิจารณาคดีลับ – ศาลอาญาสั่งพิจารณาลับคดี ม.112 #ม็อบแฮรี่พอตเตอร์1 “อานนท์” ถอดเสื้อประท้วง ตั้งข้อรังเกียจศาล

วันที่ 27 พ.ย. 2567 ศาลอาญานัดสืบพยานโจทก์ในคดีมาตรา 112, มาตรา 116 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของ “อานนท์ นำภา” ทนายความสิทธิมนุษยชน และหนึ่งในแกนนำกลุ่มคณะราษฎร 2563 วัย 40 ปี กรณีปราศรัยในการชุมนุม #เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย หรือม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2563

อานนท์ได้ถอดเสื้อประท้วงศาลเป็นครั้งที่สอง เนื่องจากศาลยืนยันไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญที่จะใช้ถามค้านพยานโจทก์ ได้แก่ ตารางการเดินทางของรัชกาลที่ 10 และเอกสารเกี่ยวกับงบประมาณ โดยอ้างว่าการออกหมายเรียกเอกสารดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 และให้ทนายจำเลยถามค้านพยานโจทก์ต่อ

หลังจากนั้น ศาลได้มีคำสั่งให้พิจารณาคดีโดยลับ และให้ตำรวจศาลเชิญทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องพิจารณาคดีพร้อมทั้งยืนเฝ้าประตู อานนท์จึงได้ยื่นคำร้องตั้งข้อรังเกียจศาลและเปลี่ยนตัวผู้พิพากษา ซึ่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้อง

ต่อมา ทนายจำเลยยืนยันไม่ถามค้าน เนื่องจากศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญเข้ามาในคดี ศาลจึงถือว่าจำเลยไม่ติดใจถามค้าน ทำให้การสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้น และศาลได้สั่งให้นำพยานจำเลยเข้าสืบในวันถัดไป แต่ทนายจำเลยและอานนท์ยืนยันไม่ยอมรับกระบวนการพิจารณาคดีนี้ ก่อนศาลกำหนดวันนัดฟังคำพิพากษา 19 ธ.ค. 2567 โดยมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี 8 เดือน ก่อให้เกิดคำถามต่อสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมในกรณีนี้

ย้อนอ่าน: ศาลอาญาสั่งพิจารณาลับคดี 112 #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์1 ด้าน “อานนท์” ถอดเสื้อประท้วง – ตั้งข้อรังเกียจศาล หลังศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสาร

ย้อนอ่านบันทึกเสวนาจากห้องพิจารณาลับ: รายงานการเสวนา “ถ้าใครพูด จะจับขังให้หมด” จากห้องพิจารณาคดีลับ และความเป็นกลางของผู้พิพากษา ในคดี 112 ของ “อานนท์”



ธันวาคม : หนึ่งคนออก หนึ่งคนเข้า – “บูม” จิรวัฒน์ ได้ประกันตัวหลังถูกคุมขังคดี ม.112 กว่า 1 ปี ขณะ “แอมป์” ณวรรษ กลายเป็นผู้ถูกคุมขังรายใหม่

เดือนธันวาคม มีผู้ต้องขังทางการเมืองที่ได้รับการประกันตัว 1 ราย ได้แก่ “บูม” จิรวัฒน์ พ่อค้าออนไลน์ วัย 33 ปี ซึ่งถูกคุมขังในคดีมาตรา 112 จากการแชร์โพสต์ข้อความ 3 โพสต์ โดยไม่ได้เขียนข้อความใดประกอบ เขาถูกศาลอาญากรุงเทพใต้ลงโทษจำคุก 6 ปี และไม่ได้รับการประกันตัวมาตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค. 2566 แม้มีความพยายามยื่นประกันตัว 9 ครั้ง

ขณะเดียวกันภรรยาของจิรวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้ป่วยมะเร็ง ยังต้องกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ทั้งได้มีอาการป่วยหนักขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ทำให้มีการพยายามขอประกันตัวจิรวัฒน์เรื่อยมา จนเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2567 จิรวัฒน์เพิ่งได้รับการประกันตัว หลังศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว โดยให้วางหลักทรัพย์ 250,000 บาท ให้ติดกำไล EM

บูมนับเป็นผู้ต้องขังที่ถูกคุมขังระหว่างอุทธรณ์หรือฎีกาอยู่ในคดีมาตรา 112 รายเดียว ที่ได้ประกันตัวในปีนี้ แต่ก็ถูกคุมขังไปกว่า 1 ปี 6 วัน

ขณะเดียวกัน “แอมป์” ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา นักกิจกรรมและบัณฑิตจากศิลปากร กลายเป็นผู้ถูกคุมขังในคดีมาตรา 112 รายใหม่แทน หลังเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2567 เขาถูกศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในคดีจากการปราศรับ #ม็อบ13กุมภา64 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี 7 เดือน และศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างฎีกาคดี

ย้อนอ่านข่าวคดีบูม ศาลฎีกาให้ประกันตัว “บูม จิรวัฒน์” ผู้ต้องขังคดี ม.112 หลังถูกคุมขังระหว่างอุทธรณ์ กว่า 1 ปี และบทสัมภาษณ์ภรรยาของเขา “ถ้าเราตายก่อนบูมได้ประกันตัว แล้วลูกจะอยู่กับใคร?” คุยกับ “แพร” แม่เลี้ยงเดี่ยวจำเป็น ผู้ป่วยมะเร็ง และภรรยานักโทษการเมือง

อ่านข่าวคดีของแอมป์ ศาลอุทธรณ์ยืนจำคุก 1 ปี 7 เดือน “ณวรรษ” คดี 112 ปราศรัย #ม็อบ13กุมภา64 – เข้าเรือนจำทันทีรอศาลฎีกาสั่งคำร้องขอประกัน เพิ่มผู้ต้องขังทางการเมืองเป็น 34 ราย



https://tlhr2014.com/archives/72038



แรงงานพม่าวุ่น! หลัง 'มิน อ่องหลาย' พบ 'แพทองธาร' ที่คุณหมิง,ประเทศจีน เพราะเกิดมาตรการควบคุมเพิ่ม นายจ้างต้องไปแจ้งข้อมูลลูกจ้างพม่าที่สถานทูตพม่าหลัง ‘มิน อ่องหลาย‘ ขอนายกฯไทยให้เจ้าหน้าที่ส่งข้อมูลแรงงานพม่าในไทยให้


แรงงานพม่าวุ่น! หลัง 'มิน อ่องหลาย' พบ 'แพทองธาร' ที่คุณหมิง,ประเทศจีน Suthichai live 30-12-2567

Streamed live 10 hours ago
ต่างประเทศ

https://www.youtube.com/watch?v=O8uouczVrO8
.....


Suthichai Yoon
10 hours ago
·
แรงงานพม่าในไทยกำลังวุ่นเพราะเกิดมาตรการควบคุมเพิ่ม นายจ้างต้องไปแจ้งข้อมูลลูกจ้างพม่าที่สถานทูตพม่าหลัง ‘มิน อ่องหลาย‘ ขอนายกฯไทยให้เจ้าหน้าที่ส่งข้อมูลแรงงานพม่าในไทยให้ หวั่นจะเกิดการตามไล่ล่ากันครั้งใหญ่ และอาจต้องเสียภาษีสองต่อ!

Suthichai Live 19.00 น.


“รู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่ถูกตัดรากออก ก็คือถูกย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วจะโตยังไงก็โตไม่ได้สักทีเพราะไม่มีราก” ในวันสิ้นปีที่ทั่วทั้งมุมโลก ต่างกำลังเดินทางกลับไปหาคนที่รัก ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาจำนวน2ล้านคน ยังต้องพลัดถิ่น ความรุนแรงที่ยาวนานยังไม่จบสิ้นและยังไม่เคยได้กลับไปยังดินแดนบ้านเกิด


https://www.facebook.com/DecodeThaiPBS/videos/959023366289122/
.....


เสรีภาพ เสรีชน
4 hours ago
·
“รู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่ถูกตัดรากออก ก็คือถูกย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วจะโตยังไงก็โตไม่ได้สักทีเพราะไม่มีราก”
ในวันสิ้นปีที่ทั่วทั้งมุมโลก ต่างกำลังเดินทางกลับไปหาคนที่รัก
ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาจำนวน2ล้านคน ยังต้องพลัดถิ่น ความรุนแรงที่ยาวนานยังไม่จบสิ้นและยังไม่เคยได้กลับไปยังดินแดนบ้านเกิด
27 พฤศจิกายน 2024 ได้มีการยื่นเรื่องต่อศาล ออกหมายจับ พล.อ.อาวุโส มินอองล่าย ฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าเนรเทศและข่มเหงชาวโรฮิงญาในเมียนมาและบังกลาเทศ
ภาพเหตุการณ์ความรุนแรงในอดีตยังคงดำเนินต่อไปในปัจจุบัน
สิทธิมนุษยชนถูกทำให้เลือนลางไปพร้อมกับวาทกรรมลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
เรื่องราวส่วนหนึ่งของการสัมภาษณ์ ยาสมิน อุลลาฮฺ : เส้นทาง 32 ปีที่ ‘ลี้ภัย’ รอดตายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ‘โรฮิงญา’ จนเกือบสูญสิ้นความเป็น ‘คน’
อ่านบทสัมภาษณ์เต็มได้ที่ : https://decode.plus/20241216-genocide-rohingya/
.
ย้อนคดีค้ามนุษย์ "โรฮิงญา" ถึง พล.ต.ต.ปวีณ ปัญหาที่ยังซุกใต้พรม
https://www.thaipbs.or.th/news/content/312876
.
พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์: ลำดับเหตุการณ์คดีค้ามนุษย์โรฮิงญา ที่ทำให้อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนต้องลี้ภัยไปออสเตรเลีย
https://www.bbc.com/thai/thailand-61212670
.
3 ปี พลวัตที่เปลี่ยนแปลงไป
หลังรัฐประหารพม่า https://www.the101.world/3-years-after-myanmar-coup/
#โรฮิงญา #ผู้ลี้ภัย #อารกัน #ยะไข่ #การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ #myanmar #genocide #refugees #ICC #สิทธิมนุษยชน


https://www.facebook.com/61555026261500/videos/1567153223917773/


สอนลัทธิมารกซ์ให้ลูกชาวนาไทย 😆 หรือ ใครก็ได้ ที่ยังคิดว่า มาร์กซมีคำสอน #ศาสนาคือยาเสพติด

ภาพจาก Vijayasankar Ramachandran
.....

Atukkit Sawangsuk
10 hours ago
·
อันนี้สอนลัทธิมารกซ์ให้ลูกชาวนาไทย

Shinji Stoichkovsky
14 hours ago
·
หนึ่งในความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวง ที่สังคมมีเกี่ยวกับมาร์กซิสต์ ก็คือคิดว่ามาร์กซมีคำสอน #ศาสนาคือยาเสพติด นี้แหละ
ซึ่งผิด
ผิดทั้งคำ และผิดทั้งความหมาย
เพราะจริงๆสิ่งที่มาร์กซ์เขียนคือ
Die Religion [...] ist das Opium des Volkes
ศาสนาคือ #ยาฝิ่นของประชาชน
ข้อความนี้ของมาร์กซมาจาก Towards a Critique of Hegel’s Philosophy of Right: Introduction (1844)
คนจำนวนมากมักเข้าใจกันว่ามันเป็นคำโจมตีศาสนา ที่เป็นยาเสพติดมอมเมาประชาชนเหมือนฝิ่น
แต่ช่วงเวลาที่มันถูกเขียนขึ้น (ยุค 1840s) ยาฝิ่นมันไม่ได้มีความหมายแง่ลบขนาดนั้น รวมถึงไม่สามารถแปลงไปเป็นคำว่ายาเสพติดตามความรับรู้ปัจจุบันได้
เพราะงั้นอย่าไปเปลี่ยนคำครูบาอาจารย์
Opium des Volkes = ยาฝิ่นของประชาชน!!!
ท่านก็ได้อธิบายขยายความไว้อยู่แล้วว่า ไอ้ที่ว่าศาสนาคือ Opium des Volkes คืออะไร เผลอๆจะตีความว่าคือคำชมได้ด้วยซ้ำ!
มาร์กซอธิบายไว้ว่า
“ศาสนาคือเสียงทอดถอนใจของสัตว์โลกที่ถูกกดขี่ หัวใจของโลกที่ไร้หัวใจ และวิญญาณของสภาพที่ไร้จิตวิญญาณ มันคือยาฝิ่นของประชาชน”
คือมาร์กซบอกว่า #ศาสนาเป็นการตอบสนองต่อการกดขี่และไร้น้ำใจของโลก
เพียงแต่ว่ามันเป็นการตอบสนองที่ยังไม่พอ
เพราะแทนที่จะพาเราท้าทายตัวการกดขี่และความไร้น้ำใจนั้น แต่มันทำให้เรารู้สึกชาต่อความเจ็บปวดแทน เหมือนฝิ่น ที่ในยุคนั้นยังใช้ในการแพทย์เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดด้วย
ดังนั้นความหมายของยาฝิ่นในเวลาที่มันถูกเขียนขึ้น และในความหมายของมาร์กซ จึงอาจอธิบายได้ว่า
ยาฝิ่น = ยาชาบรรเทาปวด ...แบบซวยหน่อย ใช้แล้วเสพติดด้วย
ส่วนถ้าท่านใดยังอยากแปลงบิดคำนี้ให้ได้ หมั่นไส้พวกมาร์กซิสมัน ก็ขอเสนอคำว่า
#ศาสนาคือยามอร์ฟีนของประชาชน
อันนี้ก็ได้แปลงคำ แถมยังได้ความหมายในบริบทปัจจุบันอีกต่างหาก ถามหมอแวนแล้ว ฝิ่นบรรเทาปวดของยุคปัจจุบันมันก็คือมอร์ฟีน
หรือไม่ชอบมอร์ฟีน จะลองเป็นแนวนี้ดูก็ได้
-ศาสนาคือยาไอซ์ของประชาชน
-ศาสนาคือการดมเคของประชาชน
-ศาสนาคือการเล่นหนมของประชาชน
ประมาณนี้ ลองใส่ตามความชอบได้เลยครับ
----
อ้างอิงจากเล่มนี้ :
มาร์กซ: ความรู้ฉบับพกพา
Peter Singer เขียน
เกษียร เตชะพีระ แปล

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1326194368410580&set=a.111415729888456





ชีวิตที่งดงามของ Jimmy Carter


Pipob Udomittipong
18 hours ago
·
นอกจากจะอายุยืนมากสุด จิมมี คาร์เตอร์ (1924-2024) ยังแปลกกว่าเพื่อนปธน.ด้วยกัน เพราะเป็นปธน.ที่ไม่ปอปปิวลาร์เลยระหว่างดำรงตำแหน่ง ความดีงามเขาเกิดขึ้นช่วง 40 ปีหลังเป็น “lame duck president” แพ้เลือกตั้งสมัยที่สอง ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจาก Stagflation ภาวะเงินเฟ้อสูงตลอดระหว่างดำรงตำแหน่ง และอิหร่านแกล้งเขา ด้วยการไม่ปล่อยตัวประกันอเมริกันช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง แต่ปล่อยหลังจากเขาแพ้เลือกตั้ง
คนจดจำเขาได้จากการเป็นครูสอนศาสนาใน Sunday School ตลอดเวลา 40 ปี จากการร่วมมือกับภรรยาเป็นอาสาสมัครให้กับ Habitat for Humanity เพื่อสร้างบ้านให้คนยากไร้ จากการก่อตั้ง The Carter Center ซึ่งทำงานด้านมนุษยธรรมหลายอย่าง ที่โดดเด่นคือการแก้ไขความขัดแย้ง การสังเกตการณ์การเลือกตั้ง และการส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
ผลงาน 40+ ปีของเขาเกิดขึ้นหลังเขาลงจากตำแหน่งทั้งหมด รวมทั้งการได้รางวัลโนเบลสันติภาพปี 2002 ตอนลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี หลังยุคนิกสันที่อื้อฉาว แม้จะเป็นผู้ว่าการรัฐ แต่คาร์เตอร์ไม่มีทั้งเงินและเส้นสาย เขาไม่ได้ใกล้ชิดกับแกนนำของพรรคเดโมแครต ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ establishment ของพรรค เป็นแค่ผู้ว่าการจากรัฐเล็ก ๆ ลูกหลานเกษตรกรจากชนบท มีแต่ Joe Biden สว.หนุ่มที่ endorsed เขา ทั้งคู่สนิทสนมกันมาก
เขาเสนอตัวต่อปชช. สร้างภาพว่าเป็นคนซื่อ ตรงไปตรงมา ใช้ภาษาแบบบ้าน ๆ ในการแนะนำตัวเอง "I'm Jimmy Carter and I'm running for president.” และคำขวัญในการหาเสียงของเขาคือ "I'll Never Lie to You" ตอกย้ำภาพที่ขัดแย้งจากการเมือง toxic ในยุคก่อนนั้นมาก
คาร์เตอร์ชนะใจศิลปินเพลงคันทรีร็อคของภาคใต้ที่จัดคอนเสิร์ตระดมทุนให้เขา เป็นกระบอกเสียงร่วมกับดีเจตามสถานีวิทยุ ช่วยกันหาเสียงให้เขา จนเขาชนะเลือกตั้งอย่างเหลือเชื่อในปี 1976 เขามีความสนิทสนมกับ Bob Dylan ในยุคนั้น รวมทั้ง The Allman Brothers และ Willie Nelson ในเวลาต่อมา จนได้รับฉายา The Rock & Roll President
คาร์เตอร์อยู่ข้างคนยากไร้มาตลอด คนดำโหวตให้เขาเป็นกอบแป็นกำ ตั้งแต่เลือกตั้งสมัยแรกที่ยังเป็น underdog จนแม้เลือกตั้งสมัยที่สอง ตอนที่คนขาวทิ้งคาร์เตอร์ไปเลือกเรแกน คนดำก็ยังคงโหวตให้เขาเหนียวแน่นมาก
เขาสนับสนุนแนวคิด Two States เขียนบทความลง New York Times “America Must Recognize Palestine” เมื่อปี 2016 เรียกร้องให้อเมริการับรองสถานะรัฐปาเลสไตน์ และน่าจะเป็นผู้นำระดับสูงคนแรก ๆ ที่บอกว่าการยึดครองของอิสราเอลที่กระทำต่อชาวปาเลสไตน์มีลักษณะเป็น “apartheid” การกดขี่อย่างเป็นระบบ
ทั้งจิมมี คาร์เตอร์และภรรยา Rosalynn ที่ทำงานเคียงข้างเขาตลอด ใช้ชีวิตเรียบง่ายมากจนเหลือเชื่อ แม้จะมีสวัสดิการตลอดชีวิตในฐานะอดีตปธน. สามารถเบิกเงินเพื่อพักอาศัยในบ้านที่โอ่โถงได้ ได้รับความคุ้มกันอย่างดีจาก Secret Service แต่ทั้งคู่เลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่าย อาศัยในบ้านหลังเล็ก ๆ
ตอนที่คาร์เตอร์กับภรรยาตัดสินใจเข้า hospice เพื่อใช้ชีวิตก่อนตายอย่างเงียบสงบ เขาไม่มีโรคอะไรเลย ก่อนหน้านั้นเคยเป็นมะเร็งสมอง แต่ก็รักษาจนหายแล้ว เหตุที่เขาตัดสินใจเข้า hospice เพราะต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณรักษาพยาบาล ซึ่งเขาเบิกได้แน่นอนในฐานะอดีตปธน. น่าเสียดายที่คู่ชีวิตที่แต่งงานกันมา 77 ปี เสียชีวิตลงแค่ 2 วันหลังเข้าสู่บริการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายด้วยวัย 96 ปี
หลังมรณกรรมของเขา ชาวบ้านร่วมกันไว้อาลัยให้เขาด้วยการวางขวดเนยถั่ว ลูกพีช และถั่วลิสงด้านนอกของ Carter Center ที่แอตแลนตา จอร์เจีย เพื่อไว้อาลัยให้กับลูกเกษตรกรปลูกถั่วลิสงจากเมืองชนบทเล็ก ๆ ในรัฐจอร์เจีย ที่เพิ่งมีอายุครบรอบ 100 ปีเมื่อสองเดือนก่อน

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162077893186649&set=a.10150096728651649


Jimmy Carter Dead at 100: Fmr. Pres. Urged "Peace Not Apartheid" in 2007


Speech to Brandeis University (Jan. 23, 2007)

The Carter Center

Jun 20, 2014

Former U.S. President Jimmy Carter's speech to Brandeis University on his book, "Palestine Peace Not Apartheid," Jan. 23, 2007. 

Founded in 1982 by former U.S. President Jimmy Carter and former First Lady Rosalynn Carter in partnership with Emory University, The Carter Center is committed to advancing human rights and alleviating unnecessary human suffering. The Center wages peace, fights disease, and builds hope worldwide.

https://www.youtube.com/watch?v=hbUA8ld_2yc



ไหนๆ ก็ ไหนๆ แล้ว เครือซีพี ได้มง ถึงเวลาที่ ศาลรัฐธรรมนูญ ควรได้รับมงบ้าง


The101.world
20 hours ago
·
5.องค์กรมีมารยาทแห่งปี: ศาลรัฐธรรมนูญ
.
“การแสดงความเห็นใดๆ ต้องมีมารยาททางการทูตและการต่างประเทศที่พึงปฏิบัติต่อกัน” ศาลรัฐธรรมนูญ, 2567
.
ข้อความข้างต้นคือส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ กรณีลงมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคก้าวไกลและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี เนื่องจากใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ ด้วยการหาเสียงนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
.
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังวินิจฉัยให้พรรคก้าวไกลและพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล เลิกการกระทำ เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกมาตรา 112 อีกด้วย
.
ตอนหนึ่งของคำวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่ากฎหมายจำเป็นต้องหยุดการทำลายหลักการพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ศาลจึงต้องสั่งยุบพรรคตามที่กฎหมายระบุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
แน่นอนว่าคดียุบพรรคถูกจับตาจากนานาชาติ ศาลรัฐธรรมนูญจึงย้ำว่าการแสดงความคิดเห็นต้องมีมารยาททางการทูต โดยบอกผ่านคำวินิจฉัยว่า “แม้นักวิชาการสาขาต่างๆ นักการเมือง หรือนักการทูตของต่างประเทศ ต่างก็มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายภายในประเทศ รวมทั้งข้อกำหนดของตนที่แตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละประเทศ การแสดงความเห็นใดๆ ย่อมต้องมีมารยาททางการทูตและการต่างประเทศที่พึงปฏิบัติต่อกัน”
.
รักษามารยาทขนาดนี้ วันโอวันขอมอบมงให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กร ‘มีมารยาท’ แห่งปีเสียเลย เยี่ยมจริงๆ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1139239020904236&set=a.523964959098315


เรื่องเกี่ยวข้อง


https://www.facebook.com/the101.world/posts/pfbid02nvnuhMD2xZwuZ8Aq9gbbK9bZc2JQhisN1JaTzW87atAhkPKXKweFH72yy5LXPNpxl


เรื่องอวนตามุ้งยังไม่จบ สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย เตรียมเคลื่อนใหญ่ ทบทวน มาตรา 69 ที่อนุญาตใช้อวนล้อมจับตาถี่เวลากลางคืน


Chainarong Setthachua
15 hours ago
·
แถลงการณ์สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย เตรียมเคลื่อนใหญ่ ทบทวน มาตรา 69 ที่อนุญาตใช้อวนล้อมจับตาถี่เวลากลางคืน

เรียนพี่น้องประชาชนทุกท่าน …

ตามที่สภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติเห็นชอบผ่านร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ พ.ศ. …. เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๗ ปรากฏว่ามีข้อท้วงติงจากกรรมาธิการเสียงข้างน้อย กรณี มาตรา ๖๙ อนุญาตให้ใช้อวนตาถี่ ๓ มิลลิเมตรล้อมจับสัตว์น้ำในเวลากลางคืนได้เป็นครั้งแรกในระบบกฎหมายไทย จะนำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศทะเล กระทบต่อพันธ์สัตว์น้ำจำนวนมากที่มีอาศัยระบบนิเวศทางทะเลในการเลี้ยงดูตัวอ่อนสืบเผ่าพันธ์ และผลกระทบจะไม่เกิดเฉพาะต่อชาวประมงพื้นบ้านพาณิชย์ทุกประเภทด้วยกันเองเท่านั้น ที่ต้องอาศัยการเจริญเติบโตของฝูงปลาในการประกอบการประมง แต่ลุกลามขยายไปยังกลุ่มนันทนาการทางทะเล การดำน้ำ ธุรกิจการนำเที่ยวตกปลา และถึงที่สุดจะกระทบต่ออาหารในจานของคนไทยทุกคน

หลังการผ่านกฎหมายประมง มาตรา ๖๙ ชั่วข้ามคืน กระแสสังคมที่เพิ่งได้รับทราบได้พยายามส่งเสียง ขอให้ทบทวนกฎหมายมาตรานี้ แต่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายไปก่อนแล้ว หลังจากนี้คงเหลือแต่ขั้นตอนที่กฎหมายต้องผ่านการกลั่นกรองของวุฒิสภา ซึ่งจะใช้เวลาพิจารณา ๖๐ วัน หากไม่แล้วเสร็จสามารถขยายเวลาเพิ่มได้อีก ๓๐ วัน ในกรณีที่วุฒิสภาไม่เห็นชอบหรือแก้ไขเพิ่มเติมในบางส่วน ต้องตั้งกรรมาธิการร่วมสองสภา เพื่อพิจารณาร่วมกัน หากผลเป็นประการใด ให้สภาผู้แทนราษฎร ย้อนกลับมาพิจารณาใหม่เพื่อชี้ขาดอีกครั้ง

แม้จะเป็นหนทางแสนยากลำบากแต่นับเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เกิดกระบวนการทบทวนมาตรา ๖๙ ร่วมกันใหม่บนหนทางแห่งประชาธิปไตย ที่ทุกฝ่ายจะได้ร่วมกันจับตามองและมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของประเทศซึ่งเป็นสมบัติร่วมของคนไทยทุกคน บนหลักการเหตุผลความถูกต้องเป็นธรรมเท่าเทียมสมดุลและยั่งยืน

จึงขอประกาศถึงพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน สื่อมวลชน นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล นักดำน้ำเพื่อชื่นชมธรรมชาติ นักตกปลา นักกฎหมาย นักการเมือง พรรคการเมือง ภาคธุรกิจเอกชน นักอนุรักษ์ ชาวประมงทั้งพื้นบ้านและพาณิชย์ ว่า ขอได้โปรด ร่วมกันติดตามสนับสนุน การเรียกร้องขอเปิดโอกาส ให้ วุฒิสภาทบทวนมาตรา ๖๙ กฎหมายประมงฉบับใหม่ ซึ่งจะเข้าสู่กระบวนการวุฒิสภาหลังปีใหม่ ในเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๖๘ นี้

หลังเทศกาลปีใหม่ ในวันที่วุฒิสภาประชุมพิจารณากฎหมายวันแรก เราจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ปักหลัก ยืนหยัด ณ รัฐสภา เดินสายให้ข้อมูล ขอความร่วมมือ และขอโอกาสให้ทุกพรรคการเมืองได้ศึกษาทบทวนอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง เราจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อขอให้วุฒิสภาเปิดเส้นทางสู่การพิจารณาทบทวนมาตรา ๖๙ ร่วมกันใหม่ สู่ การตั้งกรรมาธิการร่วมสองสภา ต่อไป

ขอความสุขสวัสดีแด่ทุกท่านตลอดปีใหม่ แล้วเราจักสู้ไปพร้อมกัน

๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๗

สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1804197177049329&set=a.115070885961975



แด่อิสรภาพ หากการเมืองดี พวกเราคงได้กลับบ้าน ภาพจากขนุนและเพื่อนผู้ต้องขังคดีทางการเมือง แดน 4 ณ. เรือนจำพิเศษกรุงเทพ


Sirapob Phumphengphut
8 hours ago
·
ภาพจากขนุนและเพื่อนผู้ต้องขังคดีทางการเมือง แดน 4
ณ. เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
#ขนุน #จดหมายจากนักโทษการเมือง #ขนุนสิรภพ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=3932725990308160&set=a.1386258978288220


”ภูมิธรรม” รอดู “ปากีสถาน” ใช้เครื่องยนต์จีน ในเรือดำน้ำจีน แล้วเป็นอย่างไร ลั่น ต้องจบใน 6 เดือน โอด !! “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่งฯ” ขอ ไม่ซื้อ 3 ลำ ได้มั้ย


China copied the German MTU 396 diesel engine for the Hangor II submarine

Easy News

May 2, 2024

Source: 
https://en.wikipedia.org/wiki/Type_03...

https://www.youtube.com/watch?v=vS6EbC1HBT4
.....


Wassana Nanuam
12 hours ago
·
เรือดำน้ำ นานาชาติ
”ภูมิธรรม” เผย จะใช้วิธี ให้ เยอรมัน ขายตรง MTU 396 ให้ไทย แล้ว เราไปติดตั้ง ยังไงก็แล้วแต่เรา
เสนอให้ “ผช.ทูตเยอรมัน” ไปคุยกับรัฐบาลเยอรมัน ก่อน
ออกตัว เพิ่งมาเป็น รมว.กลาโหม
ใครทำอะไรไว้ไม่รู้
จะให้ผมเซ็น ผมไม่เซ็น
ถ้าเซ็น ผมก็ ต้องรับผิดชอบ ด้วย
แต่ มีทางเลือก ถ้าจะเอาเครื่องจีน
เพราะต่อไป 80% จ่ายไป 8 พันกว่าล้านแล้ว เสนอ ให้จีนเพิ่ม Offset Policy ให้ไปคุยกับ กรมการเมือง
รอดู “ปากีสถาน” ใช้เครื่องยนต์จีน ในเรือดำน้ำจีน แล้วเป็นอย่างไร
ลั่น ต้องจบใน 6 เดือน
โอด !! “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่งฯ”
ขอ ไม่ซื้อ 3 ลำ ได้มั้ย
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าโครงการเรือดำน้ำจีน ของทร. ที่อยู่ระหว่าง การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ เครื่องยนต์CHD620 ของจีน ว่า ยอมรับว่ามีการเชียร์ให้มีผลออกมาโดยเร็ว เพราะโครงการนี้ค้างมานานแล้ว
“แต่ผมยังไม่เซ็น เพราะยังไม่เห็นอะไรเลย ใครทำไว้ก็ไม่รู้ แต่ต้องมาเซ็น ต้องมารับผิดชอบ หากมีผลเสียเกิดขึ้นมา คนที่รับผิดชอบเต็มๆ สุดท้ายคือผม ดังนั้นต้องขอให้ศึกษาข้อมูลต่างๆให้ชัด”
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ได้บอกกับกองทัพเรือ และ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ว่าผมเป็นคนไม่ชอบทำอะไรที่ค้างนาน และไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อ หรือดึงเวลา ตอนแรกตั้งใจว่าจะให้เสร็จภายในเดือน ธันวาคม 2567 แต่ทำไม่ได้
เพราะหลังจากมาดูแล้ว การเปลี่ยนตัวเครื่องยนต์ เป็นสาระสำคัญ ต้องคุยกันให้จบ ถามว่า กองทัพเรือทำทุกอย่างครบหรือยัง กองทัพเรือก็พยายามชี้แจง จึงอยากให้มีการพิสูจน์ทราบ ว่ามีปัญหาหรือไม่
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ได้เชิญ ผช.ทูตทหารของเยอรมัน มาพูดคุย โดยได้ถามไปว่า เหตุใดถึงได้แซงชั่นประเทศจีน ด้วยระบบของนาโต้ ที่จริงแล้วได้มีการซื้อขายกัน จึงได้กำหนดสเป็คของทางเยอรมัน แต่พอมีการบอยคอตจากต่างประเทศ ทางเยอรมันจึงต้องบอยคอตด้วย จึงถามไปว่า ถ้าเยอรมัน ไม่ขายให้กับประเทศจีน ขายให้กับประเทศไทยได้หรือไม่ แล้วเราไปหาคนติดตั้งเครื่องยนต์เอง ไม่ต้องให้จีนติดตั้ง เพื่อให้ได้ของที่ตรง
สเป็กมากขึ้น
เรื่องนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เคยพูดคุยกันไว้บ้างแล้ว ทางทูตเยอรมัน ก็แจ้งว่ายังไม่เคยไปพูดคุยกันในเรื่องนี้กับทางเยอรมัน แต่รับปากว่าจะไปพูดคุยให้
จึงไม่แน่ใจว่าสิ่งที่รัฐบาลตัดสินใจไปแล้วจะแก้ไขได้หรือไม่ การเปลี่ยนหรือไม่ เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือดำน้ำ ไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญคือยืนยันจุดยืนที่จะทำ
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนจะทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะขายเครื่องยนต์นี้ให้กับประเทศไทยหรือไม่ เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยให้ทางผู้ช่วยทูตทหาร กลับไปคุยกับรัฐบาลเยอรมัน และมารอฟังคำตอบอย่างเป็นทางการ
อย่างน้อยตัวนี้จะเป็นเครื่องวัด ไม่ใช่บอกว่าให้เซ็น ก็ต้องเซ็นเลย เรื่องนี้พยายามหาทางออก เพราะมีคำถามจาก ผู้ต่อต้านการซื้อว่าเรือลำนี้ ไม่เคยลงน้ำเลย และอาจทำให้มีความกลัวที่จะเสียชีวิตในการลงเรือดำน้ำลำนี้
แต่เรือดำน้ำรุ่นนี้ จีนได้ขายและใช้เครื่องยนต์เดียวกับที่จีนเสนอให้ไทย ขายให้ปากีสถาน จำนวน 8 ลำแล้ว จึงได้คุยกับทางเอกอัครราชทูตปากีสถานประจำประเทศไทย ขอให้นำเรือดำน้ำรุ่นนี้ลงดำเร็วๆ แล้วประเมินผลด้วยหลักสากล และขอให้รับรู้ด้วยได้หรือไม่ ถ้าลงน้ำและใช้ไปแล้ว 3-4 เดือน เรือดำน้ำรุ่นนี้ไม่มีปัญหาอะไร ก็จะสามารถตอบได้ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ถึงแม้จะเป็นสาระสำคัญของสัญญา ก็สามารถทดแทนได้ และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ถ้าได้คำตอบจะได้มีอะไรไปบอก เพื่อลงนามได้
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ถ้าสิ่งเหล่านี้เคลียร์เงื่อนไขสำคัญ ที่ทำให้เราตัดสินใจยอมรับ เพราะเรือดำน้ำทำไปแล้ว 80% อู่จอดเรือก็ทำไปแล้ว ได้ส่งกำลังพล กองเรือดำน้ำไปเรียน และได้ตั้งหน่วยขึ้นมาแล้ว เงินทั้งหมดที่จ่ายไป ถ้าทิ้งไปไม่มีเงินมาคืน เท่ากับทิ้งเงิน 8,000 ล้านบาทไป ราคาเรือดำน้ำ 13,000 ล้านบาท เหลืออีก 20% จ่ายเงินก็จะได้ของมา ถ้าไม่เอาก็ทิ้งไป จึงต้องกลับมาดูว่าคุ้มค่าหรือไม่
ถึงได้บอกว่าพอ ผมมาถึงแล้วจะให้ตอบในเรื่องนี้ ทั้งกองทัพเรือและผู้สื่อข่าว ก็ตอบไปว่า เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง มาถึงก็มาจับแก้ปัญหา ถ้าจำเป็นก็จะกลับมาดูว่า ไม่ซื้อทั้ง 3 ลำได้หรือไม่ เราต้องมาเคลียร์กระบวนการนี้ใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าโครงการเรือดำน้ำ จะจบในรัฐบาลนี้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า 6 เดือน ก็จบแล้ว มั่นใจว่าจะตัดสินใจได้
ส่วนจะเรียบร้อยหรือไม่ สังคมก็ช่วยตรวจสอบ จะไม่ทิ้งไว้ ถ้าทิ้งไว้ก็จะช้าอยู่อย่างนี้ จะเอาหรือไม่เอา จะตัดสินใจหรือไม่ตัดสินใจ ก็ต้องหาคำตอบมา

https://www.facebook.com/photo?fbid=9112825492109161&set=a.440635312661599


เรื่องเรือดำน้ำจีน ”ภูมิธรรม” โดนบีบให้เซ็น!? ลั่น ผมไม่เซ็น แม้ ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ทร.ขอให้เคลียร์

https://www.facebook.com/watch/?v=1144329833908659

WassanaDeepbluesea
9 hours ago
·
โดนบีบให้เซ็น!?
”ภูมิธรรม” ลั่น ผมไม่เซ็น
แม้ ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ทร.ขอให้เคลียร์
เรือดำน้ำจีน
ใครทำอะไรไว้ไม่รู้
จะให้ผมเซ็นเลย แต่ผมไม่เซ็น
ยังไม่เห็นอะไรเลย
ถ้าเซ็น ผมก็ต้องรับผิดชอบด้วย
แต่ จะใช้วิธี ให้ เยอรมัน ขายตรง MTU 396 ให้ไทย แล้ว เราไปติดตั้ง ในเรือดำน้ำจีน S26 T ยังไง ก็ปล่อยเรา
เสนอให้ “ผช.ทูตเยอรมัน” ไปคุยกับรัฐบาลเยอรมัน ก่อน
ออกตัว เพิ่งมาเป็น รมว.กลาโหม
แต่ มีทางเลือก ถ้าจะเอาเครื่องจีน
เพราะต่อไป 80% จ่ายไป 8 พันกว่าล้านแล้ว
เสนอจีน เพิ่ม Offset Policy ให้ประชาชนสบายใจ เพราะเขาไม่อยากได้
รอดู “ปากีสถาน” ใช้เครื่องยนต์จีน ในเรือดำน้ำจีน แล้วเป็นอย่างไร
ลั่น ต้องจบใน 6 เดือน
โอด !! “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่งฯ”
.
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าโครงการเรือดำน้ำจีน ของทร. ที่อยู่ระหว่าง การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ เครื่องยนต์CHD620 ของจีน ว่า ยอมรับว่ามีการเชียร์ให้มีผลออกมาโดยเร็ว เพราะโครงการนี้ค้างมานานแล้ว
“แต่ผมยังไม่เซ็น เพราะยังไม่เห็นอะไรเลย ใครทำไว้ก็ไม่รู้ แต่ต้องมาเซ็น ต้องมารับผิดชอบ หากมีผลเสียเกิดขึ้นมา คนที่รับผิดชอบเต็มๆคนแรกคือ พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และคนรับผิดชอบสุดท้ายคือผม ดังนั้นต้องขอให้ศึกษาข้อมูลต่างๆให้ชัด”
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ได้บอกกับกองทัพเรือ และ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ว่าผมเป็นคนไม่ชอบทำอะไรที่ค้างนาน และไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อ หรือดึงเวลา ตอนแรกตั้งใจว่าจะให้เสร็จภายในเดือน ธันวาคม 2567 แต่ทำไม่ได้
เพราะหลังจากมาดูแล้ว การเปลี่ยนตัวเครื่องยนต์ เป็นสาระสำคัญ ต้องคุยกันให้จบ ถามว่า กองทัพเรือทำทุกอย่างครบหรือยัง กองทัพเรือก็พยายามชี้แจง จึงอยากให้มีการพิสูจน์ทราบ ว่ามีปัญหาหรือไม่
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ได้เชิญ ผช.ทูตทหารของเยอรมัน มาพูดคุย โดยได้ถามไปว่า เหตุใดถึงได้แซงชั่นประเทศจีน ด้วยระบบของนาโต้ ที่จริงแล้วได้มีการซื้อขายกัน จึงได้กำหนดสเป็คของทางเยอรมัน แต่พอมีการบอยคอตจากต่างประเทศ ทางเยอรมันจึงต้องบอยคอตด้วย จึงถามไปว่า ถ้าเยอรมัน ไม่ขายให้กับประเทศจีน ขายให้กับประเทศไทยได้หรือไม่ แล้วเราไปหาคนติดตั้งเครื่องยนต์เอง ไม่ต้องให้จีนติดตั้ง เพื่อให้ได้ของที่ตรง
สเป็กมากขึ้น
เรื่องนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เคยพูดคุยกันไว้บ้างแล้ว ทางทูตเยอรมัน ก็แจ้งว่ายังไม่เคยไปพูดคุยกันในเรื่องนี้กับทางเยอรมัน แต่รับปากว่าจะไปพูดคุยให้
จึงไม่แน่ใจว่าสิ่งที่รัฐบาลตัดสินใจไปแล้วจะแก้ไขได้หรือไม่ การเปลี่ยนหรือไม่ เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือดำน้ำ ไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญคือยืนยันจุดยืนที่จะทำ
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนจะทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะขายเครื่องยนต์นี้ให้กับประเทศไทยหรือไม่ เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยให้ทางผู้ช่วยทูตทหาร กลับไปคุยกับรัฐบาลเยอรมัน และมารอฟังคำตอบอย่างเป็นทางการ
อย่างน้อยตัวนี้จะเป็นเครื่องวัด ไม่ใช่บอกว่าให้เซ็น ก็ต้องเซ็นเลย เรื่องนี้พยายามหาทางออก เพราะมีคำถามจาก ผู้ต่อต้านการซื้อว่าเรือลำนี้ ไม่เคยลงน้ำเลย และอาจทำให้มีความกลัวที่จะเสียชีวิตในการลงเรือดำน้ำลำนี้
แต่เรือดำน้ำรุ่นนี้ จีนได้ขายและใช้เครื่องยนต์เดียวกับที่จีนเสนอให้ไทย ขายให้ปากีสถาน จำนวน 8 ลำแล้ว จึงได้คุยกับทางเอกอัครราชทูตปากีสถานประจำประเทศไทย ขอให้นำเรือดำน้ำรุ่นนี้ลงดำเร็วๆ แล้วประเมินผลด้วยหลักสากล และขอให้รับรู้ด้วยได้หรือไม่ ถ้าลงน้ำและใช้ไปแล้ว 3-4 เดือน เรือดำน้ำรุ่นนี้ไม่มีปัญหาอะไร ก็จะสามารถตอบได้ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ถึงแม้จะเป็นสาระสำคัญของสัญญา ก็สามารถทดแทนได้ และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ถ้าได้คำตอบจะได้มีอะไรไปบอก เพื่อลงนามได้
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ถ้าสิ่งเหล่านี้เคลียร์เงื่อนไขสำคัญ ที่ทำให้เราตัดสินใจยอมรับ เพราะเรือดำน้ำทำไปแล้ว 80% อู่จอดเรือก็ทำไปแล้ว ได้ส่งกำลังพล กองเรือดำน้ำไปเรียน และได้ตั้งหน่วยขึ้นมาแล้ว เงินทั้งหมดที่จ่ายไป ถ้าทิ้งไปไม่มีเงินมาคืน เท่ากับทิ้งเงิน 8,000 ล้านบาทไป ราคาเรือดำน้ำ 13,000 ล้านบาท เหลืออีก 20% จ่ายเงินก็จะได้ของมา ถ้าไม่เอาก็ทิ้งไป จึงต้องกลับมาดูว่าคุ้มค่าหรือไม่ เพิ่ม offset policy ให้เพิ่ม ได้มั้ย
ถึงได้บอกว่าพอ ผมมาถึงแล้วจะให้ตอบในเรื่องนี้ ทั้งกองทัพเรือและผู้สื่อข่าว ก็ตอบไปว่า เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง มาถึงก็มาจับแก้ปัญหา ถ้าจำเป็นก็จะกลับมาดูว่าไม่ซื้อทั้ง 3 ลำได้หรือไม่ เราต้องมาเคลียร์กระบวนการนี้ใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าโครงการเรือดำน้ำ จะจบในรัฐบาลนี้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า 6 เดือน ก็จบแล้ว มั่นใจว่าจะตัดสินใจได้
ส่วนจะเรียบร้อยหรือไม่ สังคมก็ช่วยตรวจสอบ จะไม่ทิ้งไว้ ถ้าทิ้งไว้ก็จะช้าอยู่อย่างนี้ จะเอาหรือไม่เอา จะตัดสินใจหรือไม่ตัดสินใจ ก็ต้องหาคำตอบมา
#ผมไม่เซ็นเรือดำน้ำจีน
#สหายใหญ่ใส่ท็อปบู๊ท


๒๘ ธันวาคม ๒๓๑๐ ถ้าไม่มีพระเจ้าตากสินมหาราช ก็ไม่มีกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร กับไม่มีกรุงรัตนโกสินทร์มหานคร แล้วก็คงไม่มีสยามประเทศไทย (แบบเดียวกับไม่มีประเทศมอญรามัญ)


รวมฮิตคลิป "พระเจ้าตาก" เนื่องในวันที่ 28 ธันวาคม

ขรรค์ชัย-สุจิตต์ ทอดน่องท่องเที่ยว

Dec 27, 2024

เดินทางทอดน่องท่องเที่ยวเพื่อศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์-โบราณคดี-วัฒนธรรมของสังคมไทย ไปกับ 2 กุมารสยาม "ขรรค์ชัย บุนปาน - สุจิตต์ วงษ์เทศ"

https://www.youtube.com/watch?v=kb1EeB4geVw
.....

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ Charnvit Kasetsiri
16 hours ago
·
๒๘ ธันวาคม ๒๓๑๐
ถ้าไม่มีพระเจ้าตากสินมหาราช
ก็ไม่มีกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร
กับไม่มีกรุงรัตนโกสินทร์มหานคร
แล้วก็คงไม่มีสยามประเทศไทย
(แบบเดียวกับไม่มีประเทศมอญรามัญ)



วันจันทร์, ธันวาคม 30, 2567

“ทำบาปมาทั้งปี สวดมนต์ข้ามปีแค่วันเดียว” เป็นอย่างไร ต้องถาม ‘คำผกา’ ผู้มาก่อนกาล แล้ววันนี้ยังมาแปลก สลัดคราบ ‘นังแบก’ เกลี้ยงเกลารับปีใหม่

กรณีขึ้นป้ายสวัสดีปีใหม่ของ ส.ส.พรรคประชาชนคนหนึ่งว่า “ทำบาปมาทั้งปี สวดมนต์ข้ามปีแค่วันเดียว” อาจทำให้หลายๆ คน ที่จิตสำนึกแบบไทยๆ เปี่ยมล้น อย่างน้อยๆ ออกอาการ ฉุน อย่างหนาๆ คงไม่มากไม่น้อยกว่านายแบกคนหนึ่ง

ผู้ใช้นามทางโซเชียลว่า ‘Thai Ariyaskun’ ออกมาฟาดทันทีว่า ไม่แปลกใจ “พรรคของพวกมาร์กซิสต์ ไม่มีศาสนาอยู่แล้ว พวกนี้คิดว่าศาสนาคือยาเสพติดอยู่แล้ว” ซึ่งก็เลยเถิด เพ้อเจ้อเกินไป เพียงจิตสำนึกตนเองตั้งหน้าฟันพวกเขาเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขาว่าถึงรายการสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ที่บอกมีผู้อ่านผู้ชมรายการเสนอชื่อ อานนท์ นำภา เป็นบุคคลแห่งปี ถึง ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ของจำนวนคอมเม้นต์กว่า ๘,๕๐๐ ราย นั้นเพียง “สร้างกระแส โดยเอาความเชื่อของตัวเองเป็นหลัก”

มิใย Atukkit Sawangsuk ต่อยอดให้ “ในขณะที่คนเชียร์เพื่อไทยบางคนยังผูกพันกับม็อบ ยังแชร์โพสต์อานนท์แทบทุกวัน” จึงเป็นอันว่านายแบกรายนี้เอาแต่ตั้งหน้าทำคอนเท้นต์ ให้เข้าตา นายใหญ่ แต่ตนเองยังติดกับวาทกรรมศตวรรษก่อน

 

จนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเดี๋ยวนี้พวกนายแบกมัก “ขว้างงูไม่พ้นตัว” เลยโดนผู้ที่รู้จักม้าร์คซิสต์ดีกว่า อย่าง สศจ. Somsak Jeamteerasakul เล่นสนุกด้วย ว่า “ฮาๆๆ ไม่เกี่ยวกับ มาร์กซิสต์ อะไรหรอก” ชวนนั่ง ไทม์แมชชีน ไปถาม คำผกา

 

ย้อนเวลากลับไป ๑๕ มีนา ๒๕๕๕ โน่น จะพบว่า “คำผกาคึกจัด วิพากษ์พุทธ ฉะรัฐผลาญงบสวดมนต์ข้ามปี แนะเอาเงินไปบำรุงสาธารณประโยชน์...ด้านศูนย์พิทักษ์พุทธฯ โผล่ร้อง กมธ.ศาสนาสภาฯ ฟัน...มหาโชว์ จี้ โอ๊ค ปลดรายการ” นั่นเลย

 

ด้าน คำผกา วันนี้มาแปลก สลัดคราบ นังแบก เกลี้ยงเกลารับปีใหม่ สอนพรรคเพื่อไทยเลิกทะเลาะกับคนนั้นคนนี้ “รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกฝ่าย นี่ไม่ใช่เวลาที่เราทะเลาะกัน...เพราะฉะนั้น อะไรที่จะกระทบ กระเทือนจิตใจกัน ก็กดปุ่ม pause ไว้ก่อน”

 

ถ้าจะถามว่าทำไมล่ะ จะว่าสำนึกผิดคงไม่ใช่ คนอย่างนี้รู้ดีอยู่แล้วเรื่องข้ามขั้วตระบัดสัตย์ อาจเป็นด้วยข้อมูลใหม่ “มีเวลาแค่สี่ปี...ในเงื่อนไขว่า เลือกตั้งครั้งหน้า ก็ยังต้องการชนะการเลือกตั้งได้อยู่” ไหม ข้อสำคัญบางอย่างนังแบกไม่รู้ นายใหญ่ก็อาจไม่รู้

 

ในสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า “Pick a fight with wrong people.” หรือหาเรื่องต่อกรผิดคน นอกจากเขาจะไม่ใช่ศัตรูแล้ว ศักยภาพอาจมีมากกว่าเราเยอะ ลองไปสำรวจภูมิหลัง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ๓๙ คน ต่อจาก พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ของเขาดู

 

ขนาด หัวหน้าเท้งยังอยู่ในอันดับ ๑๓ แล้ว ๑๒ คนก่อนหน้าเขา ตัวเอ้ทั้งนั้น อีก ๒๗ คนตามหลังเขา ทั้งทักษะ และผลงานทางสังคมที่ผ่านมา ไม่เบา พื้นฐานการศึกษาปริญญาตรี โท เอก เกลื่อน หลายคนเป็นเทคโนแครทรุ่นหนุ่มสาว

 

(https://election66.moveforwardparty.org/member/partylist, https://www.matichonweekly.com/column/article_818938 และ https://www.facebook.com/somsakjeam/posts/TgZE5sKdgp)

 

ไทยรัฐพลัส คัดเลือก 5 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่ควรถูกลืมในปี 2567 เรื่องที่คัดมา อาจไม่ใช่เรื่องราวที่ใหญ่ที่สุดในรอบปี แต่ทั้งหมดเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ที่อธิบายให้เห็นภาพกว้างของสภาพสังคมและการเมืองไทยได้มากกว่าที่คิด



5 เรื่องที่ไม่อยากให้ลืมในปี 2567

26 ธ.ค. 67
Thairath Plus

บันทึก 5 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2567 ที่คัดเลือกมา อาจไม่ใช่เรื่องราวที่ใหญ่ที่สุดในรอบปี แต่ทั้งหมดเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ที่อธิบายให้เห็นภาพกว้างของสภาพสังคมและการเมืองไทยได้มากกว่าที่คิด



เศรษฐาพ้นนายกฯ

เศรษฐา ทวีสิน พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ นำมาสู่การเปลี่ยนตัวผู้นำรัฐบาลเป็น แพทองธาร ชินวัตร และการมีบทบาทมากขึ้นของ ทักษิณ ชินวัตร

วันที่ 14 สิงหาคม ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัยให้ เศรษฐา ทวีสิน พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติทางจริยธรรมร้ายแรง จากกรณีแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งชุด

การยื่นถอดถอนครั้งนี้เกิดจากการที่อดีต 40 สว. ลงชื่อยื่นคำร้องต่อศาลฯ ว่า พิชิต ชื่นบาน ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

จริงอยู่ว่ายังมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญ เช่น การยุบพรรคก้าวไกล ทำให้พรรคส้มร่างสามถือกำเนิดใหม่ในนามพรรคประชาชน แต่เมื่อเทียบกับกรณีฟันเศรษฐา การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีนั้นส่งผลสะเทือนทางการเมืองมากกว่าการยุบพรรคส้ม

ก่อนหน้านั้น มีการคาดการณ์กันว่า เศรษฐาเป็นเพียงตัวสำรองในช่วงที่ แพทองธาร ชินวัตร ยังไม่พร้อมจะเป็นผู้นำ เป็นที่มาของข้อสมมติฐานหลายอย่าง เช่น ดีลลับเอาทักษิณกลับบ้านมีการเปลี่ยนแปลง ไปจนถึงขั้นที่ว่า เศรษฐาอาจถูก ‘วางยา’ จากการแต่งตั้งพิชิต

หลังจากนั้น แพทองธาร ชินวัตร ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งระหว่างทางก็เกิดการเขย่าขั้วการเมืองใหม่ พลังประชารัฐของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องหลุดออกจากพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อไทยหันไปจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางข่าวลือว่า คนในบ้านจันทร์ส่องหล้าเป็นกุนซือดีลการจัดตั้งรัฐบาลใหม่

เมื่อบุตรสาวเป็นนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ก็เริ่มมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น จนใครหลายคนบอกว่า ทักษิณกำลังทำหน้าที่ ‘นายกฯ ตัวจริง’ ทั้งวิพากษ์วิจารณ์พรรคฝ่ายค้านอย่างต่อเนื่อง ขึ้นเวทีหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นแต่พูดเรื่องการเมืองระดับชาติ ไปจนถึงงัดข้อกับพรรคร่วมอย่างภูมิใจไทยที่เริ่มออกท่าขัดขวางการทำงานของรัฐบาลมากขึ้น

ทั้งหมดนี้มีจุดเริ่มต้นจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เศรษฐาพ้นจากตำแหน่ง ทุกอย่างจึงดูเหมือนจะเข้าทางทักษิณไปเสียหมด

อ่านเพิ่มเติม:
เศรษฐาหลุดนายกฯ ครม. พ้นทั้งชุด หานายกฯ คนใหม่จากแคนดิเดตเดิม



บุ้ง เนติพร เสียชีวิต

บุ้ง - เนติพร เสน่ห์สังคม เสียชีวิตหลังจากอดอาหารและน้ำกว่า 100 วัน แต่จนถึงวันนี้ ยังมีนักโทษการเมืองและคดีมาตรา 112 ยังถูกคุมขังอีกหลายคน และกฎหมายนิรโทษกรรมก็ยังไม่เห็นอนาคต

นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวังเริ่มอดอาหารและน้ำประท้วง (dry hunger strike) ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2567 เพียง 1 วันหลังศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งถอนประกัน จากการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2566 ที่มีการพ่นสีหน้ากระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเรียกร้องให้ถอด เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ สมาชิกวุฒิสภาออกจากการเป็นศิลปินแห่งชาติ และสั่งจำคุก 1 เดือน กรณีละเมิดอำนาจศาล จากการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลเมื่อ 19 ตุลาคม 2566

ข้อเรียกร้องในการอดอาหารของบุ้งมี 2 ข้อ คือ หนึ่ง-ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และสอง-ต้องไม่มีใครติดคุกเพราะเห็นต่างทางการเมืองอีก

เช้าวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ใบปอ-ณัฐนิช ดวงมุสิทธิ์ โพสต์ข้อความส่งต่อทางกลุ่มนักกิจกรรมว่า บุ้งอาการวิกฤติ โดยโรงพยาบาลแจ้งว่าหัวใจหยุดเต้น ต้องเร่งปั๊มหัวใจ และนำตัวส่งโรงพยาบาล

เวลา 11.22 น. บุ้ง-เนติพร เสน่ห์สังคม นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง วัย 28 ปี เสียชีวิตที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ หลังอดอาหารมานาน 108 วัน ซึ่งเป็นการอดอาหารประท้วงยาวนานที่สุดในยุคหลังการชุมนุมใหญ่ปี 2563

จนถึงทุกวันนี้ สาเหตุการเสียชีวิตของบุ้งก็ยังไม่ถูกเปิดเผยชัดเจน และข้อเรียกร้องสองข้อก็ไม่เป็นผล เพราะยังมีนักโทษการเมืองและคดีมาตรา 112 ถูกจำคุกโดยไม่ได้รับสิทธิประกันตัวออกมาสู้คดีเหมือนความผิดฐานอื่นๆ ทั้งที่ส่วนใหญ่คดียังไม่ถึงที่สุด

ข้อมูลจาก ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยตัวเลขผู้ต้องขังจากคดีแสดงออกทางการเมืองและมาตรา 112 นับถึง 12 ธันวาคม 2567 พบว่า
ผู้ถูกคุมขังในเรือนจำจากการแสดงออกทางการเมือง หรือมีมูลเหตุเกี่ยวข้องกับการเมือง มีอย่างน้อย 33 คน เป็นคดีมาตรา 112 จำนวน 24 คน
ผู้ถูกคุมขังระหว่างการต่อสู้คดี มีอย่างน้อย 22 คน เป็นคดีมาตรา 112 จำนวน 15 คน
เยาวชน 1 คน ถูกคุมขังในสถานพินิจฯ ตามคำสั่งมาตรการพิเศษแทนการมีคำพิพากษาของศาล
ผู้ต้องขังที่คดีถึงที่สุดแล้วถูกคุมขังในเรือนจำ มีอย่างน้อย 10 คน เป็นคดีมาตรา 112 จำนวน 9 คน

ส่วนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่มีจุดประสงค์เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมือง 20 ปี ของทั้งภาคประชาชนและพรรคการเมือง ก็มีแนวโน้มสูงว่าจะไม่นับรวมความผิดจากคดีมาตรา 112 เข้าไปด้วย

ล่าสุด อานนท์ นำภา นักเคลื่อนไหวคนสำคัญ เพิ่งถูกศาลตัดสินคดีมาตรา 112 คดีที่ 6 จำคุกเพิ่มอีก 2 ปี 8 เดือน จากคดีปราศรัยใน ‘ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์’ ทำให้ขณะนี้ทนายอานนท์มีโทษจำคุกจาก 6 คดี รวม 18 ปี 10 เดือน 20 วัน

การเสียชีวิตของ บุ้ง เนติพร จึงเป็นภาพสะท้อนของการเรียกร้องสิทธิของนักโทษการเมืองที่ยังมองไม่เห็นปลายทางและความหวังในเร็ววันนี้

อ่านเพิ่มเติม:
108 วันของ บุ้ง เนติพร ก่อนถึงวันเดินทางไกล
ความตายของ บุ้ง เนติพร ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ความหวังที่ยังไม่ชัดเจนนักในรัฐบาลชุดนี้



ปลาหมอคางดำระบาด

การระบาดของปลาหมอคางดำ สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำเดือดร้อนมหาศาล ตามมาด้วยคำถามถึงความเกี่ยวข้องกับทุนใหญ่ และข้อพิพาทระหว่าง BioThai และ CPF

ปลาหมอคางดำมีลักษณะคล้ายปลาหมอเทศหรือปลาหมอสี บริเวณใต้คางมีสีดำ เป็นสายพันธุ์ต่างถิ่น หรือ alien species สามารถกินได้ทั้งพืช สัตว์ หรือซากของสิ่งมีชีวิต และมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็ว อัตราการรอดสูงของตัวอ่อนกว่าปกติ และสามารถผสมพันธุ์ได้ทุกฤดูกาล

การแพร่กระจายของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้สัตว์น้ำท้องถิ่นในธรรมชาติลดลง จากการบุกรุกยึดครองพื้นที่ สัตว์น้ำวัยอ่อนของกุ้ง หอย ปู และปลา ล้วนตกเป็นเหยื่อของปลาหมอคางดำ เกิดเป็นวิกฤติการณ์สำหรับผู้เลี้ยงสัตว์น้ำและระบบนิเวศ

คำถามที่ว่า ปลาหมอคางดำที่แพร่กระจายไปในแหล่งน้ำมีที่มาจากไหน นำมาสู่คดีความและการต่อสู้ระหว่างองค์กรภาคประชาสังคมกับกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่

ในเวทีเสวนา ‘บทเรียนหายนะสิ่งแวดล้อม กรณีปลาหมอคางดำ: การชดเชยเยียวยาความเสียหาย ฟื้นฟูระบบนิเวศและปฏิรูประบบความปลอดภัยทางชีวภาพ’ จัดโดยมูลนิธิชีววิถี (BioThai Foundation) ร่วมกับมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) สภาองค์กรของผู้บริโภค เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก และเครือข่ายความมั่นคงทางอาหาร เมื่อ 26 กรกฎาคม 2567 มีรายละเอียดส่วนหนึ่งพาดพิงไปถึง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ว่าเป็นผู้นำเข้าปลาหมอคางดำมาตั้งแต่ปี 2553 และเป็นต้นเหตุของการระบาดสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ CPF แถลงข่าวโต้ว่าไม่ใช่ต้นตอการระบาด และเตรียมดำเนินคดีต่อผู้ที่ใช้ภาพและข้อมูลเท็จ เพื่อปกป้องชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของบริษัท

ต่อมา เดือนกันยายน CPF แจ้งความดำเนินคดี BioThai ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา โดยจำเลยที่หนึ่งคือ วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการ BioThai จากการจัดเวทีวิชาการสาธารณะเปิดเผยเบื้องหลังการระบาดของปลาหมอคางดำ ซึ่ง BioThai นำเสนอหลักฐานหลายชิ้นระบุว่าศูนย์กลางการระบาดอยู่ที่ฟาร์มยี่สารของ CPF

ตามมาด้วยคดีที่สองในเดือนธันวาคม เมื่อ CP All แจ้งความดำเนินคดี กล่าวหาว่า เฟซบุ๊ก BioThai โพสต์ข้อความหมิ่นประมาท ซึ่ง BioThai คาดว่าน่าจะมาจากการโพสต์วิพากษ์วิจารณ์การมีอิทธิพลเหนือตลาดของร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง

กรณีนี้จึงเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญขององค์กรภาคประชาสังคมที่กล้าชนกับทุนใหญ่แบบไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หลังจากก่อนหน้านี้เครือ CP ก็เคยถูกพาดพิงว่าพัวพันกับหมูเถื่อน ซึ่ง CP ออกมาชี้แจงว่าไม่เกี่ยวข้อง และล่าสุดจากการตรวจสอบของ DSI ก็ยังไม่พบหมูเถื่อนในร้านเครือ CP แต่อย่างใด

อ่านเพิ่มเติม:
รู้จักปลาหมอคางดำ



คดีตากใบหมดอายุความ

คดีสลายการชุมนุมและขนย้ายผู้ชุมนุมจากเหตุการณ์ตากใบเมื่อปี 2547 หมดอายุความ 20 ปี โดยที่ไม่สามารถจับกุมผู้เกี่ยวข้องซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐมาดำเนินคดีได้แม้แต่คนเดียว

การรื้อฟื้นคดีตากใบครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเพราะคดีใกล้หมดอายุความ แต่คดีไม่มีความคืบหน้า วันที่ 25 เมษายน 2567 กลุ่มญาติของผู้เสียชีวิต 48 คน จึงฟ้องเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐต่อศาลนราธิวาสด้วยตัวเอง และต่อมาศาลประทับรับฟ้องวันที่ 23 สิงหาคม 2567

ข้อหาของจำเลย 7 คนในคดีที่ญาติผู้เสียชีวิตยื่นฟ้องโดยสรุปคือ ร่วมกันฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่าผู้อื่น และร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว ส่วนอีกคดีของผู้ต้องหาทั้ง 8 คนที่เกี่ยวข้องกับการขนย้ายผู้ชุมนุม ถูกกล่าวหาว่า มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ซึ่งคดีตากใบนั้นทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการฆ่าผู้อื่น ซึ่งตามกฎหมายอาญากำหนดโทษไว้คือ ประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 10–20 ปี

ศาลนัดสอบคำให้การจำเลยสองรอบ 12 กันยายน และ 15 ตุลาคม 2567 แต่ก็ไม่มีจำเลยคนใดปรากฏตัว และหลบหนีจนหมดอายุความ 20 ปี

จำเลยทั้ง 7 คน คือ
พลเอกพิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4
พลเอกเฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร อดีตผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5
พลตำรวจเอกวงกต มณีรินทร์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า
พลตำรวจโทมาโนช ไกรวงศ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9
พลตำรวจตรีศักดิ์สมหมาย พุทธกูล อดีตผู้กำกับ สภ.ตากใบ
ศิวะ แสงมณี อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย
วิชม ทองสงค์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส

นอกจากนี้อัยการสูงสุดพิจารณาสำนวนและมีคำสั่งฟ้องอีก 8 ผู้ต้องหาโดยวินิจฉัยว่าจากพยานหลักฐานที่ได้ไต่สวน ประกอบด้วยทั้งพลขับและผู้ควบคุมการขนย้ายผู้ชุมนุม ด้วยความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น

คดีตากใบเป็นคดีประวัติศาสตร์ เพราะเป็นความพยายามที่ใกล้เคียงที่สุดของประชาชนที่จะเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐผู้มีส่วนกับการสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่ความพยายามครั้งนี้ก็จบลงที่การลอยนวลพ้นผิดอีกครั้ง เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐคนไหนกล้าเดินเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย

ชิ้นส่วนความทรงจำที่น่านำมาปะติดปะต่อเป็นภาพรวมของเหตุการณ์ เช่น ผู้เสียชีวิต 85 ราย จากการสลายการชุมนุมหน้า สภ.ตากใบ 7 ราย ที่เหลือขาดอากาศหายใจจากการขนย้าย 78 ราย, จังหวัดชายแดนใต้อยู่ภายใต้กฎหมายพิเศษยาวนาน, ความไม่สงบจังหวัดชายแดนใต้ 20 ปีผ่านนายกฯ 9 คน จึงสัมพันธ์กับเรื่องนโยบายทางการเมืองและการจัดการกองทัพอย่างชัดเจน, มีคำขอโทษ แสดงความเสียใจ มีการจ่ายเงินชดเชย แต่เจ้าหน้าที่รัฐผู้มีส่วนร่วมและสั่งการเลือกที่จะหลบหนีความผิดมากกว่ารับผิดชอบ

แม้ว่าในกระบวนการทางกฎหมายไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว สิ่งที่ยังคงดำเนินอยู่ต่อไปจึงคือการบันทึกความทรงจำต่างๆ เพื่อทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น บริบทแวดล้อม ผลสืบเนื่อง เพื่อไม่ให้ความสูญเสียจากการสลายชุมนุมตากใบหมดไปพร้อมๆ กับอายุความ

อ่านเพิ่มเติมที่:
ตากใบ ในความทรงจำ
เมื่อคดีตากใบกำลังจะหมดอายุความ และนำไปสู่การลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ
20 ปีตากใบ นกกระดาษตัวสุดท้าย ที่ชายแดนใต้ต้องการ อาจเป็นความยุติธรรม



การกลับมาของ MOU 44

มวลชนอนุรักษนิยมกลุ่มหนึ่งพยายามปลุกกระแสยกเลิก MOU 44 เพราะจะนำไปสู่การเสียดินแดนเกาะกูดของไทยให้กัมพูชา แต่กระแสที่พยายามปลุกม็อบการเมืองในยุคนี้อาจจุดไม่ติดเหมือนก่อน

ผู้นำมวลชนรักชาติกลุ่มนี้ คือ สนธิ ลิ้มทองกุล เรียกร้องให้รัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ยกเลิก MOU 44 หรือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน ที่ไทยและกัมพูชาลงนามร่วมกันเมื่อ 18 มิถุนายน 2544 โดยมวลชนกลุ่มนี้แสดงความกังวลว่า MOU 44 จะนำไปสู่การเสียเกาะกูดให้กัมพูชา เหมือนกรณีเขาพระวิหาร

สนธิยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล โดยจะติดตามผลและพร้อมลงถนน ซึ่งสนธิย้ำคำเดิมเหมือนที่เคยใช้ในการชุมนุมทางการเมืองครั้งก่อนๆ ว่า สู้ครั้งนี้ต้องชนะลูกเดียว

คาดกันว่า การเรียกร้องของสนธิและมวลชนกลุ่มอนุรักษนิยม ไม่ได้เถรตรงไปยังเรื่อง MOU 44 แต่มีนัยทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง คือการลดทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาล เช่นประโยคที่ว่า ประเทศไทยไม่มีพื้นที่ทับซ้อน มีแต่นายกฯ ทับซ้อน และ MOU 44 เป็น MOU ขายชาติ

ที่สำคัญคือ MOU 44 ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่การเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายสิบปี ทำไม MOU 44 ถึงเพิ่งถูกจุดประเด็นขึ้นมา ทั้งที่สมัยรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับไม่มีใครพูดถึงหรือออกมาเรียกร้อง

แต่ดูเหมือนว่ากระแส MOU ขายชาติเพื่อเขย่ารัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร จะยังจุดไม่ติดเหมือนการชุมนุมของพันธมิตรหรือ กปปส. สะท้อนให้เห็นภาพรวมของการชุมนุมทางการเมือง ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้นในยุคที่บ้านเมืองยังพอเดินหน้าได้ และคงไม่มีใครกล้าเป็น ‘ท่อน้ำเลี้ยง’ เพราะการลงทุนครั้งนี้อาจไม่คุ้มค่าใดๆ

แต่แม้ MOU 44 จะเป็นประเด็นไกลตัว และอาจไม่มีข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ถึงการเสียดินแดน แต่ก็ไม่ควรประมาทการเคลื่อนไหวของมวลชนอนุรักษนิยม เพราะเมื่อมวลชนกลุ่มนี้เริ่มก่อตัว ข้อเรียกร้องอาจจะขยับไปเรื่อยๆ กระทั่งจุดกระแสได้ บทเรียนสำคัญคือการชุมนุมของพันธมิตรเพื่อขับไล่ทักษิณ และ กปปส. ขับไล่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งผลของการชุมนุมใหญ่ทั้งสองครั้งจบลงที่รัฐประหาร และการหนีออกนอกประเทศของนายกฯ นามสกุลชินวัตร

อ่านเพิ่มเติม:
MOU 44 ทำความเข้าใจไม่ยาก เว้นเสียแต่ว่าไม่อยากจะเข้าใจ
ถ้าไทยยกเลิก MOU 44 จะเกิดอะไรขึ้นกับพื้นที่ทับซ้อนไทย - กัมพูชา

https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105050