วันอาทิตย์, ธันวาคม 19, 2564

ศาลอาญาไทย 'อำนาจล้นแก้ว' ที่สั่งจำคุก เบนจา อะปัญ ๖ เดือน เหมือนจะออกกฎหมายเองอะนะ

ศาลไทยเดี๋ยวนี้อำนาจล้นแก้ว ออกกฎหมายเองได้ด้วยไหมล่ะ ข้อคิดจากฟัง วรเจตน์ ภาคีรัตน์ วิจารณ์คำตัดสินศาลอาญาสั่งจำคุก เบนจา อะปัญ เต็มพิกัด ๖ เดือน คดีโปรยใบปลิว ละเมิดอำนาจศาลอธิบดีผู้พิพากษาอ้างนอกบริบท ป.วิแพ่ง มาตรา ๓๐

เสวนาออนไลน์ อ่านกฎหมาย ดำเนินรายการโดย ไอดา อรุณวงศ์ ถามความเห็นศาสตราจารย์กฎหมายมหาชนธรรมศาสตร์ หนึ่งในคณะนิติราษฎร์ ต่อคำตัดสินของศาลอาญาเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน จากคดีทวงคืนสิทธิประกันให้เพื่อน ๒๙ เมษายน

คดีดังกล่าว เบนจา กับ ณัฐชนน ไพโรจน์ “กับพวกประมาณ ๓๐๐ คน ได้พากันเข้าไปในบริเวณศาลอาญา” ตะโกนส่งเสียงดังใช้อุปกรณ์ขยายเสียง และโปรยกระดาษ อีกทั้งใช้ถ้อยคำ “ประณามใส่ร้ายและดูหมิ่นต่อการทำหน้าที่ของผู้พิพากษา”

ศาลจึงตัดสินว่ามีความผิด “ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิแพ่ง) มาตรา ๓๐, ๓๑ (), ๓๓ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา) มาตรา ๑๕, ๑๘๐ ให้ลงโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหามีกำหนด ๖ เดือน”

หัวใจของคำตัดสินอยู่ที่ความผิดตาม ป.วิแพ่ง ที่วรเจตน์ชี้ให้เห็นว่า ใช้จำกัดเฉพาะภายในห้องพิจารณาคดี และคดีนั้นๆ มิใช่นำออกมาใช้เป็นการทั่วไป ไม่ถูกต้องด้วยเหตุผลสำหรับการตีความกฎหมาย เท่ากับอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากำหนดกฎหมายเอง

การนี้ศาลนำเอา ข้อกำหนด ข้อ ๑ และ ข้อ ๖ ของนายสิทธิโชติ อินทรวิเศษ สั่งไว้เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม มาใช้พิพากษา น.ส.เบนจา ด้วยโทษจำคุกสูงสุด ไม่รอลงอาญา อย่างมิเคยมีแบบอย่างมาก่อน (เท่าที่ปรากฏจะสั่งจำคุก ๑ หรือ ๒ เดือน แล้วรอลงอาญา)

วรเจตน์แนะให้นักกฎหมาย ทนาย และผู้พิพากษาอ่านมาตรา ๓๐ อย่างช้าๆ ชัดๆ ว่าระบุเป็นการออกข้อกำหนด “แก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือแก่บุคคลภายนอกที่อยู่ต่อหน้าศาล” เมื่อนำไปใช้บังคับคดีกับเบนจา เป็นการใช้แก่บุคคลภายนอกที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าศาล

วรเจตน์บอกว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ ถึงแม้ความเห็นของตนไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เมื่อมีการนำข้อกำหนดมากระทำสำเร็จแล้ว แต่ควรต้องท้วงติงมิให้ไปกันใหญ่ ที่ศาลไหนๆ ศาลจังหวัดใดศาลหนึ่งออกข้อกำหนดของตนเอง ให้เอาไปใช้ทั่วไปได้

การที่อธิบดีผู้พิพากษาซึ่งเป็นตำแหน่งบริหารกิจการเกี่ยวกับ อาคาร ศาล จะออกข้อกำหนดให้ใช้ประหนึ่งกฎหมายไม่ได้ หากอยากทำเช่นนี้ต้องไปผ่านกระบวนการแก้ไขกฎหมาย ต่อรัฐสภาอันเป็นตัวแทนของปวงชน เช่นเดียวกับฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร

ต่อคำถามที่ว่า แล้วอย่างนี้ประชาชนจะสามารถแก้ไขได้อย่างไร วรเจตน์ตอบว่าในประเทศไทยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากมาก ทางหนึ่งคือการร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งมองไม่เห็นทางสำเร็จ เพราะศาลปกครองจะบ่ายเบี่ยงไม่รับฟ้อง อ้างว่า “ไม่ใช่เรื่องของกรู” (อิ อิ)

อีกทางคือยื่นเรื่องฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ผ่านทางผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ก้เป็นหนทางที่ริบหรี่เสียเหลือเกิน พูดอย่างเราๆ ชาวบ้าน ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ก็รู้ๆ อยู่ ชอบทำแบบรัฐทำนวย ในเรื่องอะไรที่จะกระทบกระทั่ง กระเทือนซางพวกคนที่ตั้งตนเข้าไป

ในตอนท้ายของรายการ ไอดาถามว่าถ้างั้น เอาข้อท้วงติงที่ อจ.วรเจตน์ตั้งข้อสังเกตุไว้ไปใช้ในการอุทธรณ์คดีนี้ของเบนจา วรเจตน์เห็นว่า น่าลองศาลอุทธรณ์อาจจะ อ่านกฎหมาย แตก แล้วเห็นว่าข้อกำหนดดังกล่าวเป็นเนื้อร้ายในกระบวนยุติธรรม

ส่วนถ้าศาลจะว่าพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของ ‘demi-god’ โดยที่มักอ้างเสมอว่าพิพากษา “ด้วยพระปรมาภิไธย” ฉะนั้นเราสามารถออกข้อกำหนดที่ใช้บังคับเหมือนกฎหมาย คือลงโทษจำคุกถึงที่สุดพิกัด ๖ เดือนได้ แต่ไม่เลือกใช้โทษปรับสูงสุด ๕๐๐ บาท

ก็ขอให้ว่ามาด้วยเหตุและผลในกรอบกฎหมาย ไม่เช่นนั้นคงต้องหันไปหากระบวนการเมืองในทางแก้ไข เปลี่ยนแปลง และปฏิรูประบบกฎหมายโดยรวม เนื่องจากวัฒนธรรมองค์กร ตลก.ยังเป็นเอกเทศ ศูนย์กลางจักรวาล ไม่ยี่หระ สากล

บังเอิญ (หรือไม่วะ) มีนักการเมืองคนหนึ่งพูดถึงคดีเบนจานี้ไว้ว่า “กล่าวง่ายๆ คือความผิดฐานนี้แทนที่จะใช้ปกป้องกระบวนการให้ดำเนินไปได้ กลับถูกนำมาใช้ปกป้องตัวผู้พิพากษาไม่ให้ถูกวิจารณ์เสียเอง” แล้วยิ่งถ้า “เพื่อสร้างผลร้ายต่ออีกฝ่าย” ยิ่งไปกันใหญ่

“กฎหมายอย่างเรื่องการละเมิดอำนาจศาล ที่ศาลเป็นผู้ออกข้อกำหนดเอง ตั้งข้อกล่าวหาผู้อื่นเอง และพิพากษาเอง หากถูกบิดเบือนขึ้นมาแล้ว อาจทำลายระบบกฎหมายโดยที่ยากที่จะมีผู้ใดตรวจสอบได้” รังสิมันต์ โรม เขียนความเห็นไว้บนเฟชบุ๊ค

เขาวงเล็บเอาไว้ตอนหนึ่ง ต้องพิจารณาขยายผล “พรรคก้าวไกลได้เคยยื่นเสนอแก้ประมวลกฎหมายอาญาต่อรัฐสภา เพื่อเพิ่มความผิดฐานการบิดเบือนกฎหมายโดยเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ขอฝากพี่น้องประชาชนติดตามกันต่อไป”

(https://prachatai.com/journal/2021/11/95769, https://mgronline.com/crime/detail/9640000108234 และ https://www.facebook.com/readlaw2017/videos/1364366200656417/)