วันอาทิตย์, ตุลาคม 13, 2562

ปิยบุตรย้อนเกล็ด 'แดงหย่าย' ใครกัน 'ไฮบริดจ์ 'ยึดอำนาจด้วยกฎหมาย"


ไม่ว่าจะเป็น ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ในฐานะเพื่อนซี้ หรือ อนุทิน ชาญวีรกูล สายกองหนุน ที่ออกมาให้ท้าย ผบ.ทบ. ต่อการที่ แดงหย่ายบรรยายจวกทั้งนักวิชาการและฝ่ายซ้าย ดัดจริตคิดแก้รัฐธรรมนูญมาตรา ๑ เพื่อแก้ปัญหาภาคใต้

ไม่นับ แรมโบ้อีสานที่ฉวยโอกาสยกหางนาย สร้างค่ากำหนดราคาตนเองเผื่อจะยกระดับจาก ขี้ครอกขึ้นไปเป็นลิ่วล้อได้บ้าง คนเหล่านี้ต้องฟังปิยบุตร แสงกนกกุล ‘rebuttal’ โต้กลับ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ จึงจะแตกฉานหลักการเมือง ประชาธิปไตย ได้บ้าง

ในที่นี้ขอนำรายงานการบรรยายของเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ซึ่ง หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทยกรุณาถอดความออกมาตีแผ่ต่อสาธารณชนอย่างละเอียด มาฉายซ้ำอย่างกำชับ เท่าที่ผู้เขียนความเห็นนี้นี้ประทับใจ

เรื่องแรกเกี่ยวกับมาตรา ๑ รัฐธรรมนูญ ที่ดูเหมือนพวกสืบทอดอำนาจติดใจกันนัก โดยเฉพาะ ศรีสุวรรณ จรรยา ถึงขนาดจะยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาว่าหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ทำให้เสื่อมเสียสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับจีน

อ้างว่าเพจ Chinese Embassy in Bangkok’ ยังตั้งข้อสังเหตุภาพที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถ่ายคู่ โจชัว หว่อง แสดงว่า “มีการติดต่อกับกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีน โดยมีท่าทีเชิงสนับสนุน...” นั้น

แม้ธนาธรจะระบุว่าพบกันเพียง ๕ นาฑี ศรีสุวรรณก็ยังตั้งท่าสงสัย “เป็นการกระทำที่ผิดอย่างร้ายแรงและไร้ความรับผิดชอบ” ตามที่เพจสถานทูตจีนกล่าวหาอยู่ดี


ปิยบุตรแนะให้ ผบ.ทบ.และใครๆ ที่ออกมาประกาศห้ามแตะมาตรา ๑ นั้น กลับไปอ่านรัฐธรรมนูญเสียใหม่ อย่าเอาแต่ความรู้สึกส่วนตัวมาผูกเงื่อนให้เป็นปัญหา

“เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๖๐ กำหนดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ในมาตรา ๒๕๕ และ ๒๕๖ () ซึ่งระบุไว้ว่าถ้าจะแก้ไขหมวด ๑ ต้องผ่านประชามติ” ในฐานะนักกฎหมายมหาชน ปิยบุตรจึงยันว่า

มาตรา ๑ รัฐธรรมนูญแก้ได้ เพียงแต่มีข้อจำกัด จะทำไม่ได้ต่อเมื่อเป็นการ “เปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจากราชอาณาจักรไป และเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐจากความเป็นรัฐเดี่ยว”

ปิยบุตรย้ำด้วยว่าที่ผ่านมา “ฝ่ายค้านได้ประกาศหลายครั้งในที่สาธารณะ ว่าไม่แตะต้องหมวด ๑ และหมวด ๒ประเด็นที่ ผบ.ทบ. หยิบมาพูดจึงเป็นความเข้าใจรัฐธรรมนูญ ผิดทั้งหมด” ดังนั้น “ผบ.ทบ. ต้องไม่นำความเข้าใจผิดของท่านเอง ความรู้สึก ความเชื่อของท่านเอง มาทำลายขบวนการขับเคลื่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ”

เขายังเจาะจงเลคเชอร์วิชารัฐธรรมนูญ คสช. ๒.๐ ให้ ผบ.ทบ.และสายเกาะหางได้ซึมซับว่า “โลกยุคปัจจุบันต้องถอดรื้ออำนาจศักดิ์สิทธิ์ออกจากองค์ประธาน แล้วสร้างอำนาจสูงสุดใหม่คือประชาชน” ประชาชนคือผู้สร้างชาติ

ทั้งนี้เขาขยายความการสร้างชาติว่าต้องประกอบด้วยคุณค่าพื้นฐาน (ใหม่) ๔ ประการ “ประกอบด้วย ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์, สิทธิมนุษยชน, การพึ่งพาช่วยเหลือกันฉันมิตรอย่างเพื่อนร่วมชาติ และเคารพความแตกต่างหลากหลาย”

“ดังนั้นอยากให้คิดให้ดีว่าเรื่องแบบนี้ เรื่องสำคัญแบบนี้ คนมีที่ปากกา มีมือ มีปาก มีความคิด กับคนที่มีอาวุธ ใครกันแน่ที่ละเมิดมาตรา ๑” ปิยบุตรกล่าวถึงกรณี ผบ.ทบ.สวมเครื่องแบบไปบรรยายสับแหลกฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทหาร นั่นคือการเล่นการเมืองเต็มตัว

คือเป็น ไฮบริด (ลูกผสม) แบบนี้ บอกไม่ยุ่งการเมือง แต่ตบเท้าแสดงความเห็นการเมืองได้บ่อย ๆ ในอนาคตก็จะสร้างปัญหาได้” มิหนำซ้ำปัจจุบันมีการยึดอำนาจแบบใหม่ เปลี่ยนจาก Warfare เป็น Lawfare “หรือใช้กระบวนการทางกฎหมายเข้าจัดการ”

เป็นการ “ยึดอำนาจด้วยกฎหมาย...เอาประเด็นปัญหาทางการเมืองไปอยู่ในมือของศาล ปรากฏให้เห็นถึงอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรค อำนาจศาลสูงในการตัดสินคดีคอร์รัปชันของนักการเมือง โดยมาในนามของ Rule of law (หลักนิติธรรม)
 
อีกทั้งถามกลับย้อนเกล็ด ผบ.ทบ. “จะฝากประเทศไว้ในมือคน ๓ กลุ่มหรือ” คือกองทัพที่ “แทรกแซงทางการเมืองได้เสมอ พร้อมรัฐประหารทุกเวลา และยังติดหล่มอยู่ในยุคสงครามเย็น” และ “สื่อยุยงปลุกปั่นที่เขาเรียกว่า ดาวสยาม 4.0’

หรือ “รัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจ ที่ตอนอำนาจล้นมือยังแก้ปัญหาไม่ได้เลย จะปล่อยให้เข้ามาแก้ไขปัญหา คิดว่าไม่มีทาง” นักวิชาการกฎหมายที่หันมาทำการเมืองด้วยมือทิ้งท้ายการเลคเชอร์นายทหาร จากการที่ถูกพาดพิงว่าเป็น ฝ่ายซ้ายดัดจริตว่า

“การเปลี่ยนแปลงในโลกนี้มีได้ ๒ แบบคือ ปฏิวัติกับปฏิรูป โดยอย่างแรกเกิดจากคนกลุ่มหนึ่งที่ปราศจากอำนาจ โอกาส และทรัพยากรที่ลุกขึ้นมาบอกทำไมไม่แบ่งให้เขาบ้าง

“ถ้าคนที่ครองอำนาจเห็นว่าต้องแบ่งปัน ก็จะเกิดการจับมือกันปฏิรูป แต่ถ้าคนที่ครองอำนาจมัวแต่คิดว่าเป็นผู้ไม่หวังดี มีมาสเตอร์มายด์ ถ้าพวกเขาทนไม่ไหวก็จะเกิดการปฏิวัติ”