วันพุธ, กันยายน 29, 2564

ความป่าเถื่อนของผู้รักสถาบัน !

https://www.facebook.com/watch/?v=4777081328998202
.....
Atukkit Sawangsuk
10h ·
ความภูมิใจของกระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้าน

นี่หรือรัฐบาลที่พระองค์ท่านพระราชทานมา ?!?



...




คณะกรรมการจัดงาน 6 ตุลา ยืนยันจัดงาน รำลึก 45 ปี 6 ตุลา ที่ มธ.ท่าพระจันทร์ แน่!

LIVE🔴 แถลงข่าวการจัดงานรำลึก 45 ปี 6 ตุลา ที่ มธ.ท่าพระจันทร์ #สำนักข่าวราษฎร #RatsadonNews
Streamed live 19 hours ago


สำนักข่าวราษฎร - Ratsadon News
16h ·

คณะกรรมการจัดงาน 6 ตุลา ยืนยันจัดงาน รำลึก 45 ปี 6 ตุลา ที่ มธ.ท่าพระจันทร์ แน่! เผยต้องจัดในสถานที่เกิดเหตุจริง เพราะคนตายไม่ได้ตายในโลกออนไลน์ และจะไม่นำเรื่องโควิดมาเป็นข้ออ้างไม่จัดงาน
วันนี้ (28 ก.ย.) เวลา 11.30 น. ที่ ห้องประชุมสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นายสุเทพ สุริยะมงคล ประธานคณะกรรมการจัดการงาน 45 ปี 6 ตุลา 2519 พร้อมด้วย นายกฤษฎางค์ นุตจรัส นายพลากร จิรโสภณ น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ และ ตัวแทนสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แถลงข่าวยืนยันจะจัดงานรำลึก 45 ปี 6 ตุลา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
.
ด้าน นายสุเทพ สุริยะมงคล ประธานคณะกรรมการจัดงานฯ กล่าวว่าตามที่มีคำสั่งจากอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการมีหน้าที่ คือ 1.) ดำเนินการจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์ครบรอบ6 ตุลา 2519 ประจำปีเป็นไปด้วยความเรียบร้อย 2.) เพื่อเยียวยาความรู้สึกผู้สูญเสียและผู้จากไปในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 3.) รณรงค์ประชาสัมพันธ์กิจกรรมเพื่อฟื้นฟูจิตสำนึกสาธารณะในระบอบประชาธิปไตยแก่เยาวชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง 4)หน้าอื่นๆ ตามที่มหาวิทยาลัยมอบหมาย ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปโดยมีวาระดำเนินการ 2 ปี
.
"ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยให้ความร่วมมืออย่างดี มาถึงปีนี้สถานการณ์โควิด มาขัดขวางการจัดงาน และได้คุยกับทางมหาวิทยาลัย ซึ่งได้แนะนำว่าให้จัดออนไลน์แต่ตอนนี้สถานการณ์โควิดได้คลี่คลายลงไปเยอะ อย่างเช่น การผ่อนปรนตามมาตรการ ศบค. อาทิ การเล่นดนตรีตามร้านอาหาร หรือ การเปิดโรงภาพยนตร์ สำหรับกาารรำลึก 6 ตุลา ใช้สถานที่แบบโล่งแจ้ง จึงไม่มีเหตุผลว่าจะไม่ให้ใช้สถานที่ ซึ่งทางคณะกรรมการยืนยันที่จะจัดงานในสถานที่จริงตามมาตรการควบคุมโรค และขอให้มีการรำลึกทำพิธีกรรม ปาฐกถา และวางพวงหรีดมาลา" นายสุเทพ กล่าว
.
ด้านนายกฤษฎางค์ นุตจรัส หรือ ทนายด่าง คณะกรรมการการจัดงานฯ กล่าวว่า เราตกลงใจร่วมกันว่ายืนยันจะจัดงานครบรอบ 45 ปี 6 ตุลา ที่ ลานประติมากรรม หน้าหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ซึ่งตนได้ยืนยันกับทางมหาวิทยาลัยว่าไม่มีข้อกฎหมายใดที่ห้าม เราจะไม่นำเรื่องโควิด 19 มาเป็นข้ออ้างในการไม่จัดงานรำลึก 6 ตุลา เหตุการณ์นี้มีประชาชน นิสิต นักศึกษา เมื่อ 45 ปีที่แล้ว ต่อสู้ แลกสิทธิเสรีภาพเพื่อประชาธิปไตย และสืบสานอุดมการณ์ 14 ตุลา ซึ่งอุดมการณ์เหล่านี้ยังไม่สำเร็จ และคนในเหตุการณ์ 6 ตุลา ไม่ได้ตายผ่านออนไลน์ แต่ตายจากสถานที่จริง ซึ่งการจัดกิจกรรมนี้จะมีมาตรการป้องกันโรค เพราะมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่ใช่เป็นสถานที่ของใคร เหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นเหตุการณ์ทางการเมือง ด้วยเหตุผลว่า ศบค.ได้ผ่อนปรนการทำกิจกรรมของประชาชนแล้ว และ สภานักศึกษาได้มีกำหนดการรำลึกเหตุการณ์เพื่อกู้ศักดิ์ศรีของผู้เสียชีวิตหรือบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย ตนยืนยันว่าไม่ได้ขัดแย้งกับผู้บริหารมหาวิทยาลัย และขอเชิญชวนประชาชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมกิจกรรมในวันดังกล่าว
.
นายกฤษฎางค์ กล่าวต่อว่า กิจกรรมในวันที่ 6 ตุลาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 07.30-12.00 น. ในส่วนของคณะกรรมการ มีการทำบุญตักบาตรตามความเชื่อทางศาสนา การวางพวงหรีด การกล่าวปาฐกถา และมอบรางวัลจารุพงษ์ ทองสิทนธุ์ให้กับนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ โดยกิจกรรมในวันดังกล่าวเพื่อมุ่งหมายให้ฟื้นฟูเกียรติภูมิวีรชน 6 ตุลา สานปณิธานวีรชน 6 ตุลาให้สังคมไทยเดินหน้าเป็นสังคมประชาธิปไตยตามที่วีรชนต้องการ รวมทั้งป้องกันปราบปรามนักศึกษา ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างที่ผ่านมา รวมทั้งการนำคนผิดมาลงโทษ และในช่วงบ่ายจะเป็นการจัดกิจกรรมของทางสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
.
ด้าน น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ กล่าวว่า งานรำลึก 6 ตุลา ยืนยันจะจัดในสถานที่จริง แม้ทางมหาวิทยาลัยจะยังไม่อนุมัติการใช้สถานที่ ซึ่งได้ขีดเส้นตายให้มีคำสั่งภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 การจัดงานนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การรำลึกอย่างเดียว แต่เป็นการต่อสู้ที่ยังไม่จบ และยังประกาศว่าเรายังสู้ต่อไป ทั้งนี้ คนที่ตายยังไม่ได้รับความเป็นธรรม และคนผิดยังไม่ได้รับโทษ ซึ่งประชาชนจะเป็นผู้คืนความยุติธรรมให้กับวีรชน
เรียบเรียงข่าวโดย Nattapong Malee
#สำนักข่าวราษฎร #RatsadonNews #45ปี6ตุลา #6ตุลา2519 #6ตุลา #มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

Minor Threat


Uninspired by current events
14h ·
Minor Threat


Komluck Chaiya
Yesterday at 3:42 PM ·

แล้วก็เป็นตามที่คาด ว่าต้องมีพวกสลิ่มอนุรักษ์นิยมเอามาเป็นประเด็นโจมตี นิทานชุดราษฎรนี้ เพราะคนเหล่านี้ย่อมไม่เชื่อว่าเด็กๆ และพ่อแม่ในครัวเรือนไทยย่อมสามารถเลือกสรร ซึมรับโลกได้อย่างมีเหตุผล
เด็กๆ เขามีสมองที่จะตัดสินเองได้ ตามที่เขาคิดจินตนาการ ในกระบวนการอ่านพ่อแม่ก็ดูแลอยู่ใกล้ชิด เสริมเติมไป และตราบที่เนื้อหามันส่งเสริม "คุณค่าความเป็นคน" ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หนังสือย่อมไม่ทำร้ายใครและมีคุณค่าเสมอ ทั้ง 8 เล่มนี้ สำหรับลูกสาวผม ก็ไม่ใช่เขาจะเปิดอ่านทุกเล่ม จะมี 2 เล่มที่เขาไม่ยอมเปิดอ่านเลย แต่เอาไปเก็บไว้ห่างๆ หลังจากที่สกรีนครั้งแรกแล้ว เพราะเขาไม่ชอบรูปภาพ คือ เรื่องแค็ก แค็กมังกร (หนูใจไม่ถูกโรคกับปกหนังสือรูปมังกรบางเล่ม เช่น เรื่อง "มังกรไฟไม่เรียนหนังสือ" ของคุณประภาสที่ออกมาหลายปีก่อน ดีมาก ตอนแรกๆ ก็ไม่กล้าเปิดอ่าน) อีกเรื่องที่ยังไม่เปิดอ่าน คือ "ตัวไหนไม่มีหัว" ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมน่าจะชอบมากที่สุดในชุดนี้ เรื่องราวของพยัญชนะ ที่บลูลี่ตัว ก.ไก่ กับธ.ธง ว่า "ไม่มีหัว" เหมือนกับตัวอื่นๆ แต่สุดท้ายทั้งหมดก็ได้เรียนรู้และยอมรับคุณค่าของพยัญชนะทุกตัวว่ามีคุณค่าเท่าเทียมกัน (ขอบอกว่าเรื่องนี้ดีมาก แต่งดีมาก แต่เด็กที่จะเข้าใจประเด็นได้ดี อาจจะต้องเรียนรู้เรื่องพยัญชนะก่อน ตัวพยัญชนะที่มีหัวกับไม่มีหัว)
เรื่อง "เด็กๆ มีความฝัน" นี่ดีงามทั้งภาพและเรื่องราว มีการเล่นกับภาพ โดยแต่ละหน้าจะให้เด็กๆ ตามหาว่า "มะนาว" กับ "ข้าวปุ้น" ตัวละครเด็กหญิง/ชายอยู่ตรงไหนในแต่ละภาพ เนื้อหาเรื่องนี้เป็นนามธรรมลึกซึ้งหน่อย แต่อ่านได้หลายระดับ จริงๆ ผมอ่านแล้วนึกถึง "จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน" ปฏิทินแห่งความหวังของ อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เรื่องราวล้อกันถึงสังคมที่ดีงาม เข้าใจว่าพี่สองขาได้รับแรงบันดาลใจจากบทกวีของคุณวัฒน์ วรรลยางกูร ซึ่งเขียนเอาไว้ในปกในก่อนจะเริ่มเรื่องด้วย ในการอ่านนี้ พ่อแม่จะเล่นสัมพันธ์ก้บลูกในการช่วยกันหามะนาวกับข้าวปุ้นให้เจอในแต่ละหน้า ถ้าจะมีอะไรที่ต้องปรับปรุง ผมคิดว่าภาพมันเล็กไป สำหรับผม พ่อแม่อายุขึ้นเลขสี่ เวลาไม่ใส่แว่นตาแล้ว ต้องมาหาภาพเล็กๆกับลูกมันปวดลูกกะตากว่าจะหาเจอ 555 ส่วนลูกสาวก็เด็กน้อย ภาพตัวละครมันเล็กก็มองหายาก (ดูที่ผ้าผูกแขนข้าวปุ้น) จะมีบางหน้าที่มะนาวกับข้าวปุ้นตัวใหญ่หน่อย หนูใจก็จะหาได้ด้วยตัวเองเลย
เรื่อง "เสียงร้องของผองนก" และ "เป็ดน้อย" เรื่องราวร้อยเรียงด้วยคำกลอนก็อ่านง่าย คำคลอนใช้คำสัมผัส และง่ายสำหรับเด็ก ภาพน่ารัก อ่านได้สบาย ยิ่งถ้าเด็กห้าปีขึ้น นี่ยิ่งไม่ยากเลย นามธรรมพวกเสรีภาพ พวกนี้จะต่างอะไร กับนามธรรมเชิงศีลธรรมธรรมะที่นิทานคุณธรรมชอบใส่มาในนิทาน มันเพียงแค่ขยายนามธรรมของสังคมเข้าไป ซึ่งเด็กๆ จะเข้าใจในระดับของเขา แต่เมื่อโตขึ้นเขาจะคิดและขยายความซับซ้อนลึกซึ้งเข้าไปได้เอง
เรื่องอื่นๆ ผมยังไม่ได้อ่านกับลูกสาว เพราะเขาจะอ่านนิทานอื่นๆ ที่มีอยู่ในบ้านเล่มที่เขาชอบซ้ำๆ บ่อยๆ ด้วย แต่ผมเปิดดูแล้ว ทุกเล่มภาพสวย เล่มสิบราษฎรนี่ออกแนวคอมมิกแบบเด็กโตหน่อย อารมณ์มันคล้ายคอมมิกมาร์เวล มีแต่ภาพเล่าเรื่องเป็นส่วนใหญ่ มังกรแค่กๆ นี่พี่หนูริ่งเอาประสบการณ์งานอาสาสมัครดับไฟมาเล่าในรูปแบบนิทาน เสริมสร้างความเข้าใจสามัคคีภราดรภาพในชุมชน เรื่อง "จิตร" นี่ก็ย่อยประวัติจิตร ภูมิศักดิ์ ด้วยคำกลอนอ่านง่าย ๆ ภาพสวยๆ เด็กโต/ผู้ใหญ่น่าจะเป็นประโยชน์ในการรู้จักชีวประวัติ ประชาชนนักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไทย "แม่หมิมไปไหน" นี่เล่าโดยทราย เจริญปุระ ในรูปแบบความเรียง แต่สองขาก็เขียนกลอนกำกับไว้ด้วย เล่าผ่านสายความสัมพันธ์ของเจ้าหมิม แมวเหมียวกับแม่ทราย อันนี้ผมยังไม่ได้อ่านละเอียด
แต่โดยรวมทุกเล่มภาพสวยงาม ยกย่องคุณค่าสากล คือ เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ถ้าหนังสือพวกนี้จะผิดก็คือ ผิดต่อความคิดแบบอนุรักษ์นิยมล้าหลังนั่นแหละ สำหรับเด็กแล้ว มันเป็นตัวบทของโลกเริ่มต้นก่อนที่่พวกเขาจะเติบโตและเรียนรู้ว่าโลกนี้ มีกระแสความคิดมากมาย ไม่ใช่เพียงเรื่องศีลธรรมฉาบฉวย และคุณธรรมแบบรัฐชาติพยายามสั่งสอนยัดเยียดตั้งแต่ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอนเท่านั้น
หนังสือจะดีแค่ไหน หากการอ่านนั้นไม่รอบด้านมากพอ ก็ทำให้โลกทัศน์คับแคบอยู่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐชอบกระทำการโดยการยัดเยียดเรื่องที่มีคุณค่าต่อรัฐแก่ผู้เรียนเสมอ ตรงข้ามกันเด็กจะฉลาดต้องอ่านมันให้รอบทุกอย่าง เปิดพื้นที่สำหรับความหลากหลายของเรื่องราวให้เด็กๆ ได้เรียนรู้โลกในประตูที่เปิดกว้างไว้ย่อมเหมาะสมกว่าการชี้นิ้วสั่งให้คุณค่าจากบนลงล่างถ่ายเดียว
ป.ล. วันนี้ไปซื้อของที่ห้างฯ หนูใจก็เข้าร้านหนังสือหยิบนิทานบนชั้นมาเปิดนั่งอ่านตามที่ชอบทำปกติ พ่อก็เสียเงินซื้อนิทานให้อีกตามระเบียบ เขาชอบปลาสวยๆ เลยได้ปลาสายรุ้งกลับบ้านมาด้วย

ฉันทามติภูมิพล - จุดเริ่มต้นและการสิ้นสุด | วาด รวี



ฉันทามติภูมิพล - จุดเริ่มต้นและการสิ้นสุด | วาด รวี

2020-11-03
https://www.sm-thaipublishing.com/content/7673/bhumibol-consensus-wad-rawee

บทความบางส่วนจาก ฉันทามติภูมิพล, จุดเริ่มต้นและการสิ้นสุด โดย วาด รวี

(สั่งซื้อได้แล้ว คลิก โอลด์รอยัลลิสต์ดาย - หนังสือรวมบทความการเมืองเล่มใหม่ของ วาด รวี )

การตระหนักถึงอิทธิพลที่มีต่อการเมืองอย่างลึกซึ้งของในหลวงภูมิพล กล่าวได้ว่าเกิดขึ้นแทบจะพร้อมๆ กับวิกฤตการเมือง ดันแคน แมคคาร์โก เสนอไอเดียเรื่อง network monarchy ในเดือนสุดท้ายของปี 2548 หนังสือ The King Never Smiles ของ พอล แฮนด์ลีย์ พิมพ์ออกมาในปี 2549 สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เริ่มวิจารณ์แวดวงปัญญาชนอย่างดุเดือดและเปิดประเด็นสถาบันกษัตริย์ตามเว็บบอร์ดก็ในปี 2549 กระนั้นตลอดสิบปีก่อนที่ในหลวงภูมิพลจะสวรรคตความพยายามที่จะทำความเข้าใจและอธิบายอิทธิพล สถานะและบทบาทของสถาบันกษัตริย์ก็แทบจะไม่ได้คืบหน้าไปไหน จนกระทั่งปีถัดจากที่ในหลวงสวรรคต เกษียร เตชะพีระ จึงเสนอคำว่า “The Bhumibol Consensus” ออกมา

ก่อนหน้านี้เป็นเวลานานที่ปัญญาชนหลายคนใช้ความคิดเรื่อง “อำนาจนำ” (hegemony) ในการพยายามอธิบายลักษณะอำนาจของสถาบันกษัตริย์ ในขณะที่แนวคิด network monarchy ครอบงำวงวิชาการไทยอยู่อย่างเงียบๆ (ไม่มีการอภิปรายแนวคิดนี้อย่างเปิดเผยเป็นทางการในสังคมไทย) จนกระทั่ง เออเจนี เมริโอ เสนอแนวคิดเรื่อง Deep State ต้นปี 2559

เมริโอโต้แย้งบทความของแมคคาร์โกตรงๆ และระบุว่าเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549 และ 2557 ชี้ให้เห็นว่าแนวคิด network monarchy นั้นล้มเหลว “ไม่สามารถรวบยอดแก่นความคิดว่าด้วยพื้นฐานทางสถาบันของเครือข่ายชนชั้นนำไทยได้อย่างพอเพียง”[1] และเสนอแนวคิดเรื่อง Deep State เข้าแทนที่

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า (ตามความเห็นของผม) บทความของแมคคาร์โกจะล้าสมัย แต่ประเด็นสำคัญคือมันเป็นแนวคิดเดียวที่มีอิทธิพลอยู่ในระหว่างวิกฤตการเมืองตลอดเวลานับ 10 ปี สาเหตุสำคัญก็เนื่องจากสังคมไทยถูกทำให้เงียบในหัวข้อนี้ บวกรวมกับความไม่กล้าและเฉื่อยช้าของนักวิชาการไทย ทำให้ “การไม่คิด” เป็นเรื่องเดียวกับ “ความไม่สามารถจะคิด” และไม่มีใครอภิปราย วิจารณ์ โต้แย้ง หรือเสริมจุดอ่อนของแมคคาร์โก

การที่บทความของแมคคาร์โกมีอิทธิพลครอบงำแวดวงวิชาการไทย โดยเฉพาะในช่วงแรกของวิกฤตการเมือง มีนัยสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือแมคคาร์โก ณ ขณะนั้นยังอยู่ในกระแสเดียวกับนักวิชาการไทยส่วนใหญ่ที่เกลียดทักษิณหรือมองทักษิณในแง่ลบอย่างเกินจริง อันที่จริง หากไม่เกิดวิกฤตการเมืองขึ้นเสียก่อน network monarchy เองก็น่าจะเป็นหนึ่งในงานวิชาการกระแสหลักที่วิจารณ์ทักษิณ เพียงแต่มันเป็นเพียงชิ้นเดียวเท่านั้นที่มองเห็นประเด็นสำคัญในเรื่องสถาบันกษัตริย์และเสนอออกมาอย่างถูกที่ถูกเวลา

ประเด็นสำคัญที่สุดของ network monarchy ก็คือการเสนอว่า สถาบันกษัตริย์หรือในหลวงภูมิพลมีอำนาจเหนือการเมืองไทยอย่างไม่เป็นทางการโดยกระทำการผ่านการใช้พร็อกซี่ ซึ่งแมคคาร์โกน่าจะไม่ใช่คนแรกที่เสนอไอเดียนี้ แต่ได้รับอิทธิพลมาจาก พอล แฮนด์ลีย์ แม้ว่าบทความของเขาจะเผยแพร่ก่อนหนังสือของแฮนด์ลีย์ แต่แมคคาร์โกได้อ่านต้นฉบับของแฮนด์ลีย์ก่อนจะเผยแพร่ และอ้างอิงบางส่วนอยู่ในเชิงอรรถของบทความ (ใน The King Never Smiles แฮนด์ลีย์ใช้คำว่า “พร็อกซี่” กับเปรมและคนอื่นๆ เกี่ยวกับการใช้คำนี้มีรายละเอียดที่ผมเขียนไว้ในบทความอีกชิ้นในเล่มนี้ เนื่องจาก “พร็อกซี่” ปัจจุบันมักหมายถึง proxy server ที่เป็นศัพท์เกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตที่มีความหมายอีกแบบอันตีความได้ว่าเป็นตัวแทนที่ใช้เพื่อปิดบังอำพรางตัวตนที่แท้จริง ประเด็นเล็กๆ ก็คือผมเห็นว่าความเป็นตัวแทนของเปรมในแบบเก่าตรงกับความหมายของคำว่า “agent” มากกว่า คือเป็นตัวแทนที่ไม่ได้ปิดบังอำพรางตัวตนแต่อย่างใด การใช้เปรมเป็นตัวแทนในลักษณะปิดบังอำพรางตัวตนเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง)

โครงเรื่องหลักของแมคคาร์โกที่ล้อกันกับวิกฤตการเมืองก็คือ ก่อนหน้าทักษิณ network monarchy มีบทบาทในการครอบงำบงการสังคมไทยมาเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ และทักษิณกำลังจะแทนที่เครือข่ายนี้ด้วยเครือข่ายของตนเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ของแวดวงวิชาการไทยในช่วงแรกเห็นคล้อยตามที่บทความชิ้นนี้เสนอและดูเหมือนว่าบทความจะสะท้อนเหตุการณ์ได้อย่างเป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้นเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างทักษิณกับราชสำนักขึ้นในปี 2549 (กรณี “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”) โดยเฉพาะฝ่ายต่อต้านทักษิณเองก็ได้รับอิทธิพลจากบทความชิ้นนี้[2] ด้วยเหตุที่บทความชิ้นนี้เป็นบทวิเคราะห์เดียวเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ที่ดังออกมาในช่วงเวลานั้น และสอดรับกันกับหนังสือของ พอล แฮนด์ลีย์ ที่เปิดหูเปิดตาสังคมไทยอย่างมาก ทำให้ควรจะกล่าวว่า ถ้าจะมีความสอดรับระหว่างเหตุการณ์ในสังคมไทยกับแนวคิด network monarchy นี้ ก็เป็นเพราะว่าปรากฏการณ์เหล่านั้นเกิดจากการได้รับอิทธิพลจากบทความชิ้นนี้ อันเนื่องมาจากช่วงเวลาเผยแพร่ที่เหมาะเจาะ ไม่ใช่เป็นเพราะบทความชิ้นนี้เขียนขึ้นจากความเข้าใจสังคมไทยและอรรถาธิบายออกมาได้อย่างถูกต้อง

ปรากฏการณ์ลักษณะใกล้เคียงกันเกิดขึ้นกับแนวคิด Deep State ของเมริโอ กล่าวคือบทความมีอิทธิพลไปข้างหน้ามากกว่าที่จะสะท้อนหรืออธิบายเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้อย่างถูกต้อง คำว่า “รัฐพันลึก” กลายมาเป็นคำติดปากนักวิชาการและสื่อจำนวนหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเพราะว่ามันอธิบายปรากฏการณ์ที่ผ่านมาได้ แต่เป็นเพราะมันดูสอดรับกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเป็นไปในขณะที่ไม่มีคำอธิบายอื่นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ให้ใช้


ในท่ามกลางความอับจนถ้อยคำ (และปัญญา) ในสังคมไทยก็ยังมีความพยายามคลำทางไปในความมืดของปัญญาชน ในท่ามกลางความพยายามเหล่านี้ แนวคิดเรื่องอำนาจนำเป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด และในบทสนทนาอันยาวนานนี้ “ฉันทามติภูมิพล” กล่าวได้ว่าเป็นความคืบหน้าที่สำคัญ

บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาที่ “ยังคุยไม่เสร็จ” แต่จะเสนอรายละเอียดที่จะประกอบสร้างแนวคิดเรื่อง “ฉันทามติภูมิพล” ให้ชัดเจนขึ้น และเปิดเผยลักษณะอำนาจ สถานะ และบทบาทของสถาบันกษัตริย์ ที่แนวคิดอื่นยังไม่สามารถอภิปรายถึง
--------------------------------

ผู้ที่เสนอคำว่า “The Bhumibol Consensus” คือ เกษียร เตชะพีระ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2560 ในงานเสวนา ‘Direk’s Talk’ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ภายใต้หัวข้อบรรยายชื่อ “ความขัดแย้งทางชนชั้นกับการเมืองมวลชนรอยัลลิสต์: ความย้อนแย้งของกระบวนการสร้างประชาธิปไตยกับพระราชอำนาจนำในสังคมไทย” ส่วนผู้ที่แปลเป็นไทยว่า “ฉันทามติภูมิพล” คือ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

จำเป็นต้องหมายเหตุไว้ตั้งแต่แรกว่า แม้จะเห็นด้วยกับไอเดียบางส่วนของเกษียร แต่ก็เห็นแย้งในสัดส่วนที่ไม่น้อย ผมเคยเขียนโต้แย้งและอภิปรายเรื่องนี้ไว้ในเฟซบุคตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการเสนอ แต่บทความชิ้นนี้เป็นการทำงานทางความคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อที่จะย่อยแนวคิดต่างๆ ทั้งหลายและสังเคราะห์คำอธิบายที่ถูกต้องออกมา


== ปัญหาของการนับหนึ่งอำนาจนำของในหลวงภูมิพลที่ 14 ตุลา ==

เรื่องเล่าที่แพร่หลายเกี่ยวกับอำนาจนำของในหลวงภูมิพล ซึ่งมีเกษียรเป็นกระบอกเสียงสำคัญ มักจะเริ่มต้นที่เหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ทำให้มันฟังดูแปล่งแปลกที่จะใช้คำว่า “ฉันทามติ” แม้แต่ในการนำเสนอเรื่อง “ฉันทามติภูมิพล” ในงานนี้ เกษียรก็ยังเล่าเรื่องโดยใช้พล็อตนี้ ทั้งที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่า 14 ตุลา เกิดฉันทามติที่ไร้การโต้แย้งมาจนถึงสมัยทักษิณ (ตามเรื่องเล่าของเกษียร) ดังนี้


สังคมไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ผ่านการเดินทางแสวงหาสลับพลิกผันปรับเปลี่ยนไปมาระหว่างแรงผลักดันต่อสู้ขัดแย้งของโครงการเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่/ภาวะสมัยใหม่ในแนวทางต่างๆ อาทิ โครงการเสรีประชาธิปไตย/สังคมนิยมประชาธิปไตยของ ปรีดี พนมยงค์, โครงการชาตินิยมแบบอำนาจนิยมทหารของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม, โครงการเสรีนิยมรอยัลลิสต์ของ ม.ร.ว.เสนีย์ และ คึกฤทธิ์ ปราโมช, โครงการเผด็จการทหารอาญาสิทธิ์ของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, โครงการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยของขบวนการคอมมิวนิสต์ เป็นต้น

กระทั่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ (ในหลวงรัชกาลที่เก้า) สังคมไทยจึงได้บรรลุฉันทามติของการประนีประนอมรอมชอมระหว่างกระบวนการเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่/ภาวะสมัยใหม่ กับฐานการเมืองวัฒนธรรมไทยแบบอนุรักษนิยม ที่ลงตัวในระดับหนึ่ง ระหว่างช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เป็นต้นมา ซึ่งพอจะสรุปสาระสังเขปในด้านต่างๆ ออกมาได้ดังนี้ :-

1. ด้านเศรษฐกิจ : เศรษฐกิจทุนนิยมที่เติบโตอย่างไม่สมดุล โดยถ่วงทานไว้ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

2. ด้านการเมือง : ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

3. ด้านอุดมการณ์ : ราชาชาตินิยมหรืออุดมการณ์ชาติพันธุ์ไทยภายใต้พระราชอำนาจนำ

4. ด้านศาสนา : พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก

อาจกล่าวได้ว่าฉันทามติแห่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ (หรืออาจเรียกเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า The Bhumibol consensus) เป็นแบบวิถีการเปลี่ยนผ่านสู่ความทันสมัยแบบไทยๆ ผ่านการประนีประนอมต่อรอง ที่ไม่หักรานจนเหี้ยน ไม่ใหม่หมด คนข้างล่างได้บ้างแม้จะได้ไม่มากเท่าคนข้างบน คนชั้นกลางได้มากกว่าและเติบใหญ่ขยายตัวออกไป ส่วนคนข้างบนได้มากที่สุด มันช่วยให้หลีกเลี่ยงการแตกหักกวาดล้างรุนแรงของกระบวนการเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่/ภาวะสมัยใหม่มาได้ และมีฐานรองรับสนับสนุนจากคนชั้นต่างๆ ตามสมควร ทั้งคนชั้นบน คนชั้นกลาง และรากหญ้า

ขณะเดียวกันก็มีเส้นอำนาจ (power boundaries) และการแบ่งเขตอำนาจ (jurisdiction) เชิงปฏิบัติ/เสมือนจริงที่ใช้การได้ เส้นและเขตที่ว่าอาจไม่ต้องตรงกับเส้นอำนาจและการแบ่งเขตอำนาจตามกฎหมาย/รัฐธรรมนูญเสียทีเดียว แต่ก็เป็นที่ยอมรับเคารพกันว่าอำนาจของฝ่ายหนึ่งหยุดตรงนี้ อำนาจของอีกฝ่ายเริ่มตรงนั้น ไม่ก้าวก่ายกัน ยอมรับเคารพกัน โดยมีสถาบันกษัตริย์เป็นประหนึ่งอนุญาโตตุลาการสุดท้าย (final arbiter) ในยามเกิดความแตกต่างขัดแย้ง

นอกจากนี้ ภายใต้ฉันทามติแห่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศดังกล่าว โครงการเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่/ภาวะสมัยใหม่ทางเลือกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางเสรีประชาธิปไตย, สังคมนิยม, ชุมชนนิยม, ทหารนิยม, สมบูรณาญาสิทธิ์, ฟาสซิสต์, คอมมิวนิสต์ ฯลฯ ต่างก็ถูกแช่แข็งกดปรามให้หยุดยั้งชะงักไว้ชั่วคราวด้วยบารมีแห่งพระราชอำนาจนำ

จวบจนการปรากฏขึ้นของโครงการทางเลือกเพื่อเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่/ภาวะสมัยใหม่ในแนวทางประชานิยมเพื่อทุนนิยม+ประชาธิปไตยอำนาจนิยมโดยผ่านการเลือกตั้งของรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร แห่งพรรคไทยรักไทยในราว พ.ศ.2544 เป็นต้นมา [3]

สังเกตว่าเกษียรกำหนดช่วงเวลาของฉันทามติไว้ที่ 14 ตุลา 2516 ถึง ปี 2544 เมื่อทักษิณชนะการเลือกตั้งครั้งแรก โดยที่ก่อนหน้านั้นก็ยังระบุให้การปฏิวัติของพรรคคอมมูนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในการเดินทางแสวงหาสลับพลิกผันที่ “ผ่าน” มา ก่อนที่จะลงตัวด้วยฉันทามติภูมิพล ทั้งที่การต่อสู้ของพรรคคอมมูนิสต์ยุติลงหลัง 14 ตุลา ถึง 9 ปี (2525) นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเกิดฉันทามติภูมิพลตั้งแต่ 14 ตุลา เช่น 6 ตุลา 19, กบฏเมษาฮาวาย 2524, การยึดอำนาจปี 2534 ของ รสช. และเหตุการณ์พฤษภา 35 เป็นต้น

เวลาเราพูดถึง “อำนาจนำ” เรากำลังพูดถึงอำนาจในเชิงวัฒนธรรมที่ทำให้เกิดความคล้อยตามโดยไม่ต้องใช้อำนาจในทางวัตถุมาบังคับ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายหรือกำลัง เบื้องต้นต้องแยกให้ออกก่อนว่า อำนาจนำในทางการเมืองไม่ได้หมายถึงแค่การใช้พระราชอำนาจเข้ามาแทรกแซงการเมือง ในหลวงภูมิพลอาจจะเริ่มต้นเข้าแทรกแซงการเมือง...อย่างโดดเด่นเห็นชัดในเหตุการณ์ 14 ตุลา แต่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คืออำนาจในเชิงวัฒนธรรมที่ทำให้คล้อยตาม หรือไม่อาจขัดขืน ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับไอเดียเรื่อง “mass monarchy” ของสมศักดิ์ และ Populist King ของ ธงชัย วินิจจะกูล ถ้าเกิด “ฉันทามติภูมิพล” ขึ้นตั้งแต่ 14 ตุลา คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ในขณะเดียวกันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยังมีความเคลื่อนไหวของพรรคคอมมูนิสต์ รวมถึงปรากฏการณ์อย่างการพยายามทำรัฐประหารของยังเติร์ก แม้แต่กรณีสุจินดาด้วย

แต่ทุกครั้งที่ปัญญาชนไทยเอ่ยถึงอำนาจนำของในหลวงภูมิพลก็มักจะต้องไปเริ่มต้นที่ไอเดียราชาชาตินิยมและปักธงเอาไว้ที่เหตุการณ์ 14 ตุลา 16 เสียทุกครา ทั้งที่มันเป็นเรื่องเล่าที่ขัดแย้งกันเองอย่างเห็นได้ชัด แต่ผู้เล่ามักไม่เคยรู้สึกตัวถึงความขัดแย้งกันเองนั้นเลย ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาทางความคิดที่สำคัญในกระบวนการคิดเรื่องสถาบันกษัตริย์ของปัญญาชน และไม่ใช่แค่ปัญญาชนไทย จะเห็นได้ว่าแมคคาร์โกก็เริ่มต้น network monarchy ที่เหตุการณ์ 14 ตุลา โดยไม่มีรายละเอียดว่านอกจากบทบาทของในหลวงภูมิพลแล้วเครือข่ายนี้คืออะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร อยู่ๆ ก็เกิด “เครือข่ายในหลวง” ขึ้นตอน 14 ตุลา แล้วหลังจากนั้นเครือข่ายนี้ก็มีบทบาทบงการการเมืองมาตลอด

อันที่จริง ต้นตอของการปักธงไปที่ 14 ตุลา เวลาพูดถึงอำนาจนำของในหลวงภูมิพลมาจากบทความของ ธงชัย วินิจจะกูล ตั้งแต่ปี 2544

ข้อเสนอของธงชัย ซึ่งถือกันว่าล้ำหน้าในเวลานั้น แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีวันล้าสมัยก็คือ ธงชัยเสนอว่า อุดมการณ์ประวัติศาสตร์ที่ครอบงำสังคมไทยเป็น “ยากล่อมประสาท” ก็คืออุดมการณ์ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม และเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ก็เป็นการรื้อฟื้นบทบาทของพระมหากษัตริย์ครั้งสำคัญที่ทำให้เกิด “ราชาชาตินิยมใหม่”

“บทบาทความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ได้รับการรื้อฟื้นครั้งสำคัญท่ามกลางการปฏิวัติของมหาชนเมื่อ 14 ตุลา 2516

“เรื่องตลกแต่จริงของประวัติศาสตร์คือ 14 ตุลา ปลดปล่อยทั้งพลังมหาชนและพลังพระมหากษัตริย์ นับจากวันนั้นจนถึงบัดนี้ อาจกล่าวได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะสูงส่งยิ่งกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย นับจากสิ้นสมเด็จพระปิยมหาราชเป็นต้นมา สวรรคต ค.ศ.1910 (พ.ศ.2453)

“ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมซึ่งไม่เคยจากหายไปไหนจึงได้รับการหนุนส่งจากพลังทางการเมืองจนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง กว่า 30 ปีมานี้สถานะของพระมหากษัตริย์พระองค์ต่างๆ แห่งราชวงศ์จักรีได้รับการเชิดชูสูงส่งเสียยิ่งกว่าเวลาใดในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ยิ่งกว่าในสมัยพระปิยมหาราชเอง ยิ่งกว่าสมัยที่พระบิดาประวัติศาสตร์ไทยสร้างสรรค์งานเขียนทางประวัติศาสตร์กระฎุมพีกรุงรัตนโกสินทร์แต่งตั้งสถาปนาให้พระองค์ต่างๆ เป็นบรรพบุรุษแทบทุกด้านของชีวิตกระฎุมพี

“แต่นี่เป็นราชาชาตินิยมใหม่ที่ได้รับการยกระดับด้วยอิทธิพลของสังคมไทยหลัง 14 ตุลา นั่นคือ ราชาชาตินิยมที่เป็นประชาธิปไตยและรับใช้ประชาชน” [4]

การนำเสนอความคิดของธงชัยไม่ต่างจากแมคคาร์โกในแง่ที่ว่าอยู่ๆ เหตุการณ์ 14 ตุลาก็ทำให้เกิดอุดมการณ์ราชาชาตินิยมใหม่ขึ้นมา แม้เขาจะตั้งสมมติฐานขึ้นว่าราชาชาตินิยมใหม่เกิดจากการสร้างของปัญญาชนนักวิชาการที่ต่อต้านเผด็จการ แต่ก็ไม่มีรายละเอียดอะไรนอกจากคำอธิบายว่าเพราะว่าพวกนี้ได้รับอิทธิพลจากประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมซึ่งสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตามแนวคิดของธงชัย ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมเป็นคำอธิบายเดียวให้กับสถานะและบทบาท รวมถึงลักษณะของประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กล่าวคือเขาคิดเรื่อง “ราชาชาตินิยม” ขึ้นมา แล้วก็ใช้อธิบายครอบจักรวาลทุกอย่าง แบบเดียวกับที่แมคคาร์โกคิดคำว่า “network monarchy” ขึ้นมา แล้วก็อธิบายครอบไปทุกอย่าง โดยทั้งสองคนเริ่มต้นที่ 14 ตุลา เหมือนกัน

ในปี 2548 ธงชัยนำเสนอแนวคิดเดิมอีกครั้งในปาฐกถา 14 ตุลา ประจำปี ปาฐกถาดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสารฟ้าเดียวกัน ฉบับ ตุลาคม – ธันวาคม 2548 ในชื่อ “ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา” ธงชัยหมายเหตุที่ชื่อบทความนี้เอาไว้ว่า “คำของ ประจักษ์ ก้องกีรติ ใน และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ ผู้เขียนใช้คำว่า “ราชาชาตินิยมใหม่” สำหรับอุดมการณ์ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมที่เน้นความเป็นนักประชาธิปไตยของกษัตริย์...”

เนื้อหาของบทความก็เป็นการเล่าเรื่องพล็อตเดียวกันกับราชาชาตินิยม เพียงแต่ใช้คำว่า “กษัตริย์นิยม” และทำความคิดให้ชัดเจนและมีรายละเอียดมากขึ้น แต่คำอธิบายเรื่อง “หลัง 14 ตุลา” ก็ยังเหมือนเดิม คือปักธงภาพของสถาบันกษัตริย์ที่เห็นในปัจจุบันนี้โดยเริ่มต้นที่เหตุการณ์ 14 ตุลา อย่างไรก็ตาม ในเล่มเดียวกันนี้มีบทความของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ตั้งคำถามกับประเด็นนี้ คือบทความ “หลัง 14 ตุลา” สมศักดิ์เปิดบทความด้วยคำถามต่อปาฐกถาของธงชัยว่า “ประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา หลังไหน?”

สมศักดิ์เสนอว่า หลัง 14 ตุลา ควรแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ
  • หลัง 14 ตุลา (I) นับจาก 14 ตุลา จนถึงปี 2531
  • และ หลัง 14 ตุลา (II) จาก 2531 เป็นต้นมา
โดยทั้ง 2 ช่วงมีความแตกต่างกัน 3 ด้าน คือ ด้านการเมือง, ด้านเศรษฐกิจ และด้านที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์

ด้านการเมือง 14 ตุลา (I) ศูนย์กลางอำนาจไม่ได้อยู่ที่รัฐสภา แต่กระจัดกระจาย ทั้งรัฐสภา กองทัพ และราชสำนัก ในขณะที่ 14 ตุลา (II) ศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่รัฐสภา

ด้านเศรษฐกิจ กลุ่มทุนที่ครอบงำประเทศในช่วง หลัง 14 ตุลา (I) คือ ทุนธนาคาร ส่วน หลัง 14 ตุลา (II) คือทุนคมนาคมสื่อสารทุนตลาดหุ้นและการหมุนเวียนของทุนสากล

ด้านที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ อุดมการณ์ / วาทกรรม ที่ล้อมรอบสถาบันกษัตริย์ มีความแตกต่างขั้นพื้นฐานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ในช่วง หลัง 14 ตุลา (I) ในท่ามกลางการแตกกระจายของศูนย์อำนาจของรัฐ สถาบันกษัตริย์ก็มีลักษณะเหมือนๆ กับศูนย์อำนาจหรือกลุ่มปกครองอื่นๆ คือเป็นเพียงศูนย์หรือกลุ่มหนึ่ง (a ruling clique) ในทางการเมือง บทบาทของสถาบันกษัตริย์มีลักษณะของการเข้าแทรกแซงทางการเมืองโดยตรง (direct political intervention) แบบเดียวกับกลุ่มหรือศูนย์อำนาจอื่นๆ จากกรณี 6 ตุลา ถึง 1-3 เมษา ถึงกรณีสนับสนุนเปรมโดยตรงอีกหลายครั้ง (กรณี “ข้อมูลใหม่”, กรณีสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงนำเปรม “ชมสวน”, สมเด็จพระบรมฯ ทรงขับรถส่งเปรมถึงบ้าน เป็นต้น เราสามารถจินตนาการถึงปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในปัจจุบัน?)

“ปัจจุบัน ในยุค หลัง 14 ตุลา (II) เมื่ออำนาจมารวมศูนย์อยู่ที่รัฐสภาและรัฐบาลจากรัฐสภา ซึ่งเป็นไปตามกรอบของรัฐธรรมนูญ การมีบทบาททางการเมืองของสถาบันกษัตริย์ ก็ต้องทำตามหรืออาศัยกรอบของรัฐธรรมนูญด้วย นั่นคือออกมาในลักษณะของการท้วงติงหรือถ่วงเวลากฎหมาย หรือการแต่งตั้งต่างๆ และการใช้ “สิทธิในการให้คำแนะนำ” (ขอให้สังเกตการอธิบาย คือต้องอธิบายว่า การมีบทบาททางการเมืองนั้น เป็น “สิทธิ” คือมีลักษณะเชิงกฎหมายรัฐธรรมนูญ constitutional อย่างหนึ่ง) ก่อนหน้านั้น รวมถึงช่วงหลัง 14 ตุลา (I) กรอบของรัฐธรรมนูญไม่มีความหมายเพราะแม้จะกำหนดให้อำนาจอยู่กับรัฐบาล/รัฐสภา แต่ความจริงไม่เคยอยู่ การที่รัฐธรรมนูญมีความหมายในการกำหนดอำนาจจริงๆ ในช่วง หลัง 14 ตุลา (II) เป็นเรื่องเดียวกับการที่ศูนย์อำนาจมารวมอยู่ที่รัฐสภา (แม้แต่งานของ ประมวล รุจนเสรี ซึ่งเสนอว่า กษัตริย์อยู่ “เหนือ” รัฐธรรมนูญ ก็ยังต้องอ้างอิงรัฐธรรมนูญ เพื่อสนับสนุนลักษณะการอยู่ “เหนือ” นี้ การพูดถึงงานของประมวลบนพื้นฐานของ 2490 จึงทำให้มองไม่เห็นลักษณะสำคัญของยุค หลัง 14 ตุลา (II) นี้) การที่ศูนย์อำนาจย้ายมาอยู่ที่รัฐสภา ทำให้ลักษณะการแทรกแซงทางการเมืองโดยตรงจากนอกรัฐสภาแบบสมัยก่อน เป็นเรื่องที่ทำได้ยากหรือเกือบจะทำไม่ได้ (ขอให้นึกถึงการระดมลูกเสือชาวบ้าน หรือ ตชด. เป็นต้น)

“เมื่อหลายปีก่อน ผมเสนอว่า พัฒนาการของสถาบันกษัตริย์หรือของบทบาทขององค์พระมหากษัตริย์ จากช่วง 14 ตุลา (หรือก่อนหน้านั้น) มาถึงปัจจุบัน อาจจะสรุปรวบยอดได้เป็นประโยคเดียวคือ “จากประมุขของกลุ่มปกครองเป็นประมุขของชนชั้นปกครอง” (from head of a ruling clique to head of a ruling class) ซึ่งผมเห็นว่ายังสามารถใช้ได้อยู่ [5]

สมศักดิ์ยังเสนอว่าอุดมการณ์ “กษัตริย์นิยม” หลัง 14 ตุลา (I) และ (II) มีความแตกต่างกัน การให้ความสำคัญในลักษณะ “พ่อ” หรือ “พลังแผ่นดิน”, การให้ความสำคัญกับการเข้าเฝ้าและรอฟังพระราชดำรัส 4 ธันวา เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วง หลัง 14 ตุลา (II) รวมถึงกิจกรรมสรรเสริญพระบารมีในลักษณะอุตสาหกรรมวัฒนธรรม (พระมหาชนก, คุณทองแดง, Golden Place) ก็เป็นผลผลิตของยุค หลัง 14 ตุลา (II) สมศักดิ์ตั้งคำถามว่า การเสนอให้ “ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา” นั้น ต้องถามว่าหลังแบบไหน ถ้าเป็นแบบ หลัง 14 ตุลา (I) ก็ได้ข้ามพ้นไปแล้ว แต่ถ้าเป็นแบบ หลัง 14 ตุลา (II) ก็ไม่เกี่ยวกับ 14 ตุลา เท่าไร “ถ้าจะเรียกว่าแบบ “หลัง” อะไร ควรเรียกว่าแบบ “หลัง 17 พฤษภา” ยังจะตรงกว่า”

ข้อเขียนข้างต้นนี้เขียนตั้งแต่ปี 2548 ก่อนที่บทความของ ดันแคน แมคคาร์โก จะเผยแพร่ไม่กี่เดือน มุมมองต่างๆ ยังคลาดเคลื่อนจากที่เราเห็นในปัจจุบันอยู่ไม่น้อย เช่น การที่ยังไม่เห็นสถานะความเป็น “ตัวแทน” (agent) ของราชสำนักของเปรม หรือ การแบ่งช่วงเวลาแรกจาก 14 ตุลา ถึง สิ้นสุดยุคเปรม (2531) ก็เป็นมุมมองที่ค่อนข้างล้าสมัยไปแล้วเมื่อมองผ่านกรอบของฉันทามติภูมิพล (2535) รวมถึงการที่บอกว่ารัฐธรรมนูญไม่มีความหมายในการกำหนดอำนาจในช่วงหลัง 14 ตุลา (I) ก็ไม่จริง อันที่จริง ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ดังที่จะชี้ให้เห็นข้างหน้า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สมศักดิ์พยายามจะโต้แย้งธงชัยในเวลานั้นก็มาจากการรู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่าง “ก่อน” และ “หลัง” ฉันทามติภูมิพล นั่นเอง

มันมีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างก่อนที่จะเกิดฉันทามติและหลังจากเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งทั้งธงชัยและแมคคาร์โกมองไม่เห็น แม้แต่เกษียรซึ่งเป็นคนคิดคำว่า “The Bhumibol Consensus” ขึ้นมาในปี 2560 ก็ยังไม่เห็น? (ถ้าเกิดฉันทามติตั้งแต่ 14 ตุลา จะเกิด 6 ตุลา และ การเมืองแบบในทศวรรษ 2520 รวมถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ได้อย่างไร?) และอยู่ดีๆ ฉันทามติ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?

ในที่นี้จะเสนอว่า ฉันทามติภูมิพลเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ พฤษภา 35 และไม่ได้เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้เหตุการณ์เดียว แต่คือผลของกระบวนการที่เกิดขึ้นก่อนหน้าตลอดทศวรรษ 2520 จนถึงครึ่งแรกของทศวรรษ 2530 และเป็นผลผลิตจากวิธีการเล่นการเมืองในเวลานั้น พอๆ กับเป็นผลผลิตของรัฐธรรมนูญ

...

บทความบางส่วนจาก ฉันทามติภูมิพล, จุดเริ่มต้นและการสิ้นสุด โดย วาด รวี

(สั่งซื้อได้แล้ว คลิก โอลด์รอยัลลิสต์ดาย - หนังสือรวมบทความการเมืองเล่มใหม่ของ วาด รวี )
=======================

รายการอ้างอิง

[1] เออเจนี เมริโอ. 2559. “รัฐเร้นลึกในไทย พระราชอำนาจ และศาลรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2540-2558)” แปลโดย วีระ อนามศิลป์, ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2559. หน้า 14.

[2] ดูบทความ “เครือข่ายของราชา กับ ทักษิณ” ของ วริษฐ์ ลิ้มทองกุล เผยแพร่ทางผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 3 สิงหาคม 2549

[3] เกษียรได้นำเนื้อหาของการบรรยายครั้งนี้ลงในคอลัมน์ของเขาที่มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23-29 มิถุนายน 2560 ข้อความนี้ผมยกมาจากคอลัมน์ดังกล่าว

[4] ธงชัย วินิจจะกูล. 2544. “ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม”, ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 23 ฉบับที่ 1, พฤศจิกายน 2544. หน้า 62.

[5] สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. 2548. “หลัง 14 ตุลา”, ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม 2548, หน้า 169-170.
=======================

สนใจสั่งซื้อหนังสือของ วาด รวี คลิก การเมืองโมเบียส
ผลงานแปล คลิก ชายชราและทะเล (ฉบับสองภาษา) เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ (เขียน)
บทความอื่นๆ คลิก สี่สิบปีของวรรณกรรมสมมติ
==================

แนะนำให้คุณโดยเฉพาะ ชุดประวัติศาสตร์ความคิดในรัฐไทย

สั่งซื้อ https://www.sm-thaipublishing.com/product/29925/set-thai-history-concept

สรุปดราม่า #มหาลัยธรรมทาส เมื่อปีนี้งานครบรอบ 45 ปี เหตุการณ์ 6 ต.ค. อาจไม่ได้จัดในรั้วธรรมศาสตร์

 
The MATTER
15h ·

RECAP: สรุปดราม่า #มหาลัยธรรมทาส เมื่อปีนี้งานครบรอบ 45 ปี เหตุการณ์ 6 ต.ค. อาจไม่ได้จัดในรั้วธรรมศาสตร์
.
อีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงวันครบรอบ 45 ปีเหตุการณ์นองเลือด 6 ต.ค. กลุ่มศิษย์เก่าและนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) บางส่วนจึงต้องการออกมาจัดงานรำลึกถึงเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น แต่ก็มีบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการจัดงาน เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้เกิดกระแสดราม่าขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมา
.
เรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และแต่ละฝ่ายมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง The MATTER จะมาเล่าให้ฟัง
.
1.เล่าคร่าวๆ ก่อนว่าเหตุการณ์นองเลือดในวันที่ 6 ต.ค. 2519 มีจุดเริ่มต้นที่กลุ่มนักศึกษาและประชาชนบางส่วนออกมาประท้วงการเดินทางกลับประเทศของจอมพล ถนอม กิตติขจร ที่ท้องสนามหลวง ก่อนจะย้ายมาภายในมหาวิทยาลัย เนื่องจากกังวลว่าการเดินทางกลับเข้าประเทศครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปตามคำอ้างที่บอกว่าเยี่ยมบิดา แต่มาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนรัฐประหาร
.
ในขณะเดียวกันที่จังหวัดนครปฐม ก็มีนักศึกษาจัดกิจกรรมล้อการก่อเหตุฆ่าคนงานของฝ่ายซ้าย ด้วยการนำหุ่นมาแขวนคอ ซึ่งภายหลังมีการประโคมข่าวว่า หุ่นนั้นมีใบหน้าคล้ายกับสมาชิกราชวงศ์ไทย ทำให้ประชาชนบางส่วนโกรธแค้นกลุ่มนักศึกษาอย่างมาก และรวมตัวกันมาประท้วงที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อเรียกร้องให้มีการลงโทษกลุ่มนักศึกษา รวมทั้งมีวลีว่า นักศึกษาธรรมศาสตร์คือพวกคอมมิวนิสต์
.
เหตุการณ์เริ่มรุนแรงมากขึ้นหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมวลชนบางกลุ่มเข้าล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และเริ่มใช้อาวุธสงครามหลายชนิดทั้งปืน ระเบิด และรุมประชาทัณฑ์ เพื่อปราบปรามผู้ชุมนุมในมหาวิทยาลัยฯ
.
ในเหตุการณ์นี้ ทางการระบุว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 41 ราย แต่บางแหล่งข่าวบอกว่าผู้เสียชีวิตจริงๆ อาจมีมากถึง 500 รายที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ตัวตน และมีนักศึกษาและประชาชนถูกจับกุม 3,094 ราย แต่จนผ่านมาแล้ว 45 ปีกลับยังไม่มีการสืบสวนที่มา รวมถึงไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐคนไหนได้รับโทษจากเหตุดังกล่าวเลย
.
2. กลับมาที่ดราม่า #มหาลัยธรรมทาส ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ ประเด็นดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นหลังกฤษฎางค์ นุตจรัส หรือ ทนายด่าง ทนายความสิทธิมนุษยชนและอดีตนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 21 กันยายนว่า ยืนยันจะจัดงานรำลึก 45 ปี 6 ต.ค.ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังทีมผู้บริหารของมหาวิทยาลัยเสนอให้จัดงานในรูปแบบออนไลน์ เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19
.
ข้อเสนอดังกล่าวทำให้นักศึกษาบางส่วนไม่พอใจและตั้งคำถามว่า มหาวิทยาลัยจงใจใช้ COVID-19 มาปิดกั้นการจัดงานหรือไม่
.
3. ประกอบกับเมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ ได้รับรางวัลจารุพงษ์ ทองสินธุ์ ประจำปี 2564 ซึ่งเจ้าตัวไม่สามารถมารับรางวัลได้ เนื่องจากยังอยู่ในเรือนจำ สุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ ผู้เป็นแม่จึงมารับรางวัลแทน แต่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ไม่ให้นักข่าวเข้าไปในงาน โดยอ้างว่าเป็นไปเพื่อควบคุมสถานการณ์ COVID-19 เช่นเดียวกัน ทำให้ยิ่งเกิดข้อกังขาถึงเหตุผลนี้
.
4. จากนั้น เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (สภานักศึกษา มธ.)ร่วมกับ คณะกรรมการนักศึกษา คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หลักสูตรนานาชาติ คณะกรรมการนักศึกษา คณะรัฐศาสตร์ ฯลฯ ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันจุดยืนว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะต้องอนุญาตจัดงาน 6 ต.ค.ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เหมือนที่ดำเนินการมาทุกปี เพราะถือเป็นวันสำคัญของประชาคมธรรมศาสตร์ (แต่ภายหลัง คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หลักสูตรนานาชาติ ออกมาชี้แจงว่า ไม่ได้มีส่วนร่วมกับแถลงการณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด)
.
5. ขณะที่ช่วงกลางดึกของวันเดียวกัน (27 กันยายน) คณะกรรมการบริหารองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) พร้อมด้วยคณะกรรมการนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 27 คณะ ก็ออกแถลงการณ์ถึงกรณีไม่เข้าร่วมแถลงการณ์ของสภานักศึกษา มธ. เรื่องการจัดงาน 6 ต.ค.
.
โดยชี้แจงว่า สภานักศึกษา มธ.ได้เชิญ อมธ.และคณะกรรมการนักศึกษาคณะต่างๆ ไปประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมรำลึก 6 ต.ค.ในรูปแบบออนไซต์เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 25 กันยายน ซึ่งผู้เข้าร่วมทุกคนเข้าใจจุดมุ่งหมายและเคารพจุดประสงค์ของการจัดงานเป็นอย่างดี
.
แต่สาเหตุที่ อมธ.และคณะกรรมการนักศึกษาอีก 27 คณะไม่เข้าร่วมในแถลงการณ์เนื่องจาก
- ผู้จัดงานไม่มีแผนการจัดกิจกรรมที่รัดกุมและเป็นรูปธรรมสำหรับช่วงการระบาด COVID-19
- การจัดงานยังขาดการอ้างอิงในส่วนของข้อกฎหมายที่แสดงถึงสิทธิและความสามารถในการจัดงาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงทั้งผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมงาน
- เรื่องที่มีกระแสข่าวห้ามจัดงาน 6 ต.ค. เป็นข่าวที่มาจากสภานักศึกษา มธ. ยังไม่มีข้อมูลจากมหาวิทยาลัย อมธ.จึงขอประสานงานเพื่อตรวจสอบข้อมูลจากทุกฝ่ายก่อน
.
อมธ.ทิ้งท้ายไว้ว่า หากสภานักศึกษา มธ.สามารถแจกแจงแผนการจัดงานที่รัดกุมมากพอทั้งความเสี่ยงด้านสุขภาพและกฎหมาย อมธ.และคณะกรรมการนักศึกษาก็พร้อมจจะสนับสนุนการจัดงาน 6 ต.ค.ในรูปแบบออนไซต์
.
6. หลังมีประกาศนี้ออกมา ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก จนแฮชแท็ก #มหาลัยธรรมทาส ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ในชั่วข้ามคืน ทำให้หลายคณะกรรมการนักศึกษาหลายคณะ (ที่ร่วมกับ อมธ.ในตอนแรก) ออกแถลงการณ์ใหม่ โดยบางส่วนถอนตัวจากมติของ อมธ. ขณะที่บางส่วนเตรียมเปิดให้นักศึกษาในคณะลงประชามติเพื่อถามความเห็นอีกครั้งว่าสนับสนุนการจัดงาน 6 ต.ค.แบบออนไซต์หรือไม่
.
7. นอกจากนี้องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ยังออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนการจัดกิจกรรม 6 ต.ค.ในพื้นที่มหาวิทยาลัย โดยระบุว่า งาน 6 ต.ค.ถูกจัดขึ้นทุกปี แต่ในปีนี้กลับยังไม่มีการอนุมัติให้จัดงานจากผู้บริหารมหาวิทยาลัย ทั้งที่ ศบค.เห็นชอบให้คลายล็อกมาตรการต่างๆ แล้วในวันที่ 1 ต.ค.
.
ประกอบการสังหารหมู่ที่ธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ต.ค. 2519 เป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ไม่ควรปล่อยให้เลือนหายไปตามเวลา อบจ.จึงขอแสดงจุดยืนสนับสนุนสภานักศึกษา มธ.
.
8. ส่วนกลุ่มอิสระล้อการเมืองแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนเห็นด้วยกับการจัดกิจกรรม 45 ปี 6 ต.ค. "หนี้เลือดที่ยังไม่ชดใช้” และยืนยันเข้าร่วมกิจกรรมในรูปแบบออนไซต์
.
9. นอกจากแถลงการณ์สนับสนุน ยังมีการจัดทำแคมเปญในเว็บไซต์ change ‘คัดค้านแถลงการณ์องค์การนักศึกษาธรรมศาสตร์ กรณีมติไม่เข้าร่วมแถลงการณ์สภานักศึกษาธรรมศาสตร์’ โดยมีการเชิญชวนนักศึกษาและผู้ที่ไม่เห็นด้วยลงชื่อเพื่อคัดค้านแถลงการณ์กล่าว โดยกล่าวว่า มติของ อมธ.เป็นมติที่ขาดความชอบธรรม และตัดสินใจบนพื้นฐานของความหวาดกลัว ไม่ได้เกิดจากการพิจารณาอย่างรอบคอบมากพอ
.
10. อีกทั้งยังมีการรณรงค์แชร์โพสต์ที่มีข้อความร่วม “ร่วมส่งเสียงกดดันผู้บริหารให้อนุมัติจัดงาน 6 ต.ค.ภายในมหาวิทยาลัย” พร้อมติดแฮชแท็ก #6ตุลาจัดในมอ เพื่อสนับสนุนแนวทางของสภานักศึกษา มธ.และสนับสนุนให้มีการจัดงานในรูปแบบออนไซต์ตามเดิม
.
ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันว่า งานครบรอบ 45 ปีเหตุสังหารหมู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะได้จัดในรูปแบบไหน และทางผู้บริหารมหาวิทยาลัยเองก็ยังไม่ได้ออกมาให้ความชัดเจนในเรื่องนี้ แต่ประเด็นนี้เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สังคมไทยให้ความสนใจอย่างมาก เพราะ 6 ต.ค. ไม่ใช่เพียงแค่บทเรียนหนึ่งในหนังสือ แต่มันคือการเสียสละชีวิตของประชาชนที่พยายามปกป้องประชาธิปไตยให้ดำรงอยู่ในเส้นทางที่เหมาะสม
.
.
อ้างอิงจาก
https://doct6.com/learn-about/how/chapter-4
https://web.facebook.com/TheReportersTH/posts/2778442295739486/
https://www.matichon.co.th/politics/news_2949790
https://web.facebook.com/.../a.1372413.../10159313923569544/
https://prachatai.com/journal/2021/09/95194
https://web.facebook.com/.../a.358575414.../4493688104046782
https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_469407
https://chng.it/yjn2HRBwCT
#RECAP #TheMATTER
.....

Tony Woodsome : Modernized Thailand 'โทนี่'ชี้'ประยุทธ์' กู้เงินต่างกับตัวเอง เน้นกู้มาแจกสร้างบาปให้ลูกหลานทางอ้อม สอนนายกฯ เป็นผู้นำต้องโมเดิร์น ไม่ดักดาน แนะแก้ รธน. ยกฉบับปี 40 ดีที่สุดทำให้คนไทยมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่เป็นไพร่

#ModernizedThailand #คิดเคลื่อนไทย
CareTalk x Care ClubHouse : Modernized Thailand กำเนิดใหม่ความทันสมัย เพื่อคนไทยและประเทศไทย

Streamed live 7 hours ago

VOICE TV

MODERNIZED THAILAND : กำเนิดใหม่ความทันสมัย เพื่อคนไทยและประเทศไทย
.
.
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2549 ก่อนหน้าการรัฐประหารเพียงไม่กี่เดือน พวกเรารู้หรือไม่ว่าประเทศไทยกำลังจะทันสมัย ด้วยนโยบาย Modernized Thailand โดยรัฐบาลของพี่โทนี่
.
นโยบายนี้ได้เริ่มต้นในเดือนเมษายน 2549 โดยกำลังทำเมกะโปรเจคท์ในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะคมนาคม ชลประทาน การศึกษา สาธารณสุข การป้องกันประเทศ ฯลฯ
.
เมกะโปรเจคท์เหล่านี้จะเปลี่ยนโฉมหน้าประเทศไทยให้ทันสมัยขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่น่าเสียดายที่ความเจริญก้าวหน้านี้กลับถูกทำลายทิ้งด้วยการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
.
ต่อมา สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ประกาศนโยบาย “สร้างอนาคตไทย 2020”ในเดือนกันยายน 2556 โดยผลักดันเมกะโปรเจคท์รถไฟความเร็วสูงและเครือข่ายคมนาคมอีกมากมาย แต่โอกาสแห่งความทันสมัยนี้ต้องสะดุดลงอีกครั้งด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเดือนมีนาคม 2557
.
ประเทศไทยจึงเสมือนไม่ใช่เพียงเป็นประเทศกำลังพัฒนา แต่เป็นประเทศห้ามพัฒนา
.
พบกันครั้งนี้ พี่โทนี่จะมาเล่าให้พวกเราฟังถึงนโยบาย Modernized Thailand ว่า ณ เวลานั้น กำลังคิดอะไรและจะทำอะไร รวมถึงจะเล่าให้เราฟังอีกว่า หากนโยบายนั้นสำเร็จหน้าตาของประเทศไทยในวันนี้จะเป็นอย่างไร
.
และแม้นโยบาย Modernized Thailand จะเป็นเพียงความมุ่งมั่นในอดีตเมื่อ 15 ปีก่อน แต่มหาวิกฤตในปัจจุบันเรียกร้องให้เราต้องคิดการใหญ่ยกระดับประเทศไทยอีกครั้ง ดังนั้นพี่โทนี่เลยจะมาร่วมฉายภาพแนวทางให้เราเห็นว่า ประเทศไทยจะทันสมัยได้อีกครั้งต้องคิดและทำอย่างไร
.
พบกับรายการ CareTalk x Care ClubHouse ในหัวข้อ “MODERNIZED THAILAND กำเนิดใหม่ความทันสมัยเพื่อคนไทยและประเทศไทย”
.
ในวันอังคารที่ 28 กันยายน 2564 เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป
.
ติดตามได้ที่ Facebook & YouTube : Care คิดเคลื่อนไทย และร่วมพูดคุยกับเราได้ที่ Care ClubHouse 
.

ประเทศเฮงซวย : หนังสือเด็กที่ "บิดเบือน" ประเภทเลียอย่างเดียว ขายได้ ประเภทเกี่ยวกับการเรียกร้องประชาธิปไตย คนเท่ากัน ขายไม่ได้ (จบ)







แล้วเล่มเหล่านี้หละ...



ตรวจสอบหนังสือเรียนก่อนดีมั้ย


ระบบการศึกษาไทยน่ะล้างสมองเด็กที่สุดแล้ว บังคับให้เด็กหมอบกราบ เชื่อว่าชนชั้นปกครองสูงส่งกว่าประชาชน ล้างสมองว่าประเทศนี้เป็นหนี้บุญคุณชนชั้นปกครอง ทั้งที่ประชาชนนั่นแหล่ะเลี้ยงชนชั้นปกครองมาตลอด ไหนจะบิดเบือนความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ไหนจะบังคับให้เข้าพิธีการอำนาจนิยมต่างๆ ไหนจะประวัติศาสตร์แบบห้ามเถียง ห้ามสงสัย ไม่มีความเป็นประวัติศาสตร์เลยด้วยซ้ำ
คุณน่ะล้างสมองเด็กที่สุดแล้ว เผด็จการ ระบบการศึกษา โรงเรียน
พอมีคนวาดการ์ตูนเนื้อหาว่า คนเท่าเทียมกัน มาดิ้น
ดิ้นเพราะอะไรวะ เพราะพวกคุณมันอยากสูงกว่าคนอื่นเหรอ อีพวกโดโลเรส อัมบริดจ์

ความเห็นมิตรท่านหนึ่ง




Atukkit Sawangsuk
Yesterday at 9:18 AM ·

มีอำนาจเหี้ยไร จะมาตรวจสอบไล่จับหนังสือเด็ก
กระทรวงศึกษามึงเป็นเจ้าชีวิตเด็กไทยหรือ
บังคับให้อ่านเล่มไหนก็ได้ ห้ามอ่านก็ได้
เรื่องของพ่อแม่เขาจะซื้อให้ลูกตัวเอง
เสือกอะไรด้วย อีคุณหญิงไม่มีงานทำ
หาว่าคล้ายตำราเรียน อีฟาย หนังสือเด็กทั้งหมดเขาก็ทำแบบนี้ วางขายกันทั่วไป มีใครต้องขออนุญาตมึง
………….
ถือว่ามันช่วยโฆษณา สั่งซื้อกันเลยครับ
วาดหวังหนังสือ
https://www.facebook.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-100930762288250/

ทะลุฟ้า - ทำไมเราถึงต้องพยายามไปทำเนียบรัฐบาล


ทะลุฟ้า - thalufah
15h ·

ทำไมเราถึงต้องพยายามไปทำเนียบรัฐบาล
พี่น้องหลายคนอาจจะกำลังคิดว่าเหตุใด
พวกเรากลุ่มทะลุฟ้าจึงจัดม็อบบุกทำเนียบรัฐบาลทุกวัน
พวกเราจึงขอชี้แจงเหตุผลในการไปทำเนียบรัฐบาลดังนี้
1) ทำเนียบรัฐบาลเป็นสถานที่ราชการที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย และเป็นสถานที่ที่นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีทำงานอยู่ รวมไปถึงคณะรัฐมนตรีอื่นๆอีกด้วย
ดังนั้นการจะไปทำเนียบรัฐบาลจึงเป็นการบุกเข้าหาตัวนายกรัฐมนตรีโดยตรง เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาลออกมาตอบรับข้อเรียกร้องของพวกเราอย่างทันทีไม่ต้องผ่านผู้อื่น
2. ทำเนียบรัฐบาลเป็นที่อยู่ของ 3 ป. (ประยุทธ์ จันทร์โอชา, ประวิตร วงษ์สุวรรณ, และป๊อก อนุพงษ์ เผ่าจินดา) ซึ่งสามคนนี้เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น ดังนั้นพวกเรากลุ่มทะลุฟ้าจึงคิดว่าสามคนนี้เป็นรากฐานอำนาจของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งประวิตรเคยเอ่ยปากพูดเองแล้วว่าสามคนนี้เป็นบุคคลที่รักกันประหนึ่งพี่น้อง ดังนั้นการจะตีฐานอำนาจของรัฐบาลชุดนี้จึงต้องไปตีที่สามคนนี้ด้วยเช่นกัน และทำเนียบรัฐบาลก็คือคำตอบนั้น
ดังนั้นการบุกไปทำเนียบรัฐบาลของพวกเราจึงมีนัยยะสำคัญดังที่กล่าวมา เพราะพวกเราต้องการสื่อสารกับผู้มีอำนาจอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับข้อเรียกร้องของพวกเรา พวกเราไม่ต้องการตัวกลางในการสื่อสารอีกต่อไปแล้ว ประยุทธ์จะต้องเป็นคนที่ออกมาพูดคุยเจรจราเพื่อรับข้อเรียกร้องกับพวกเราด้วยตัวเอง

#ทะลุฟ้า
#thalufah
#ม็อบ28กันยา
#หยุดราชวงศ์ประยุทธ์

Shame ! “30 years of blah blah blah”

#GretaThunberg #ClimateChange #GlobalNews
Greta Thunberg questions world leaders’ climate talks: “30 years of blah blah blah”

Sep 28, 2021

Global News

Teen climate activist Greta Thunberg and fellow youth campaigners struck a skeptical tone for this week's climate talks in Italy on Tuesday, saying much has been promised but little done to tackle global warming in almost three decades since the landmark Earth Summit. 

Fears that climate change is worsening grew after a United Nations report in August warned the situation was dangerously close to spiraling out of control, with the world certain to face further disruptions for generations to come. 

"Thirty years of blah, blah, blah," Thunberg told the opening session of a Youth4Climate event.

Thousands of young activists have converged on Milan this week with some 400, from about 190 countries, due to engage with policymakers to hammer out proposals for possible solutions. 

For more info, please go to https://globalnews.ca/news/8219833/th...

ควายเรียกพ่อ



ภาพเล่าเหตุการณ์ ม็อบทะลุฟ้า ที่แยกนางเลิ้ง ม็อบทะลุแก๊ส ที่ดินแดง 28 กันยายน 2564



















วันอังคาร, กันยายน 28, 2564

อธึกกิตบอกได้ไง “เห็นทีจะกลับเยอรมันยากอยู่นะ” ผลเลือกตั้งพรรคกรีนได้ที่สาม กำลังเป็น ‘kingmaker’ ร่วมจัดตั้งรัฐบาล

เมื่อสองวันก่อน Atukkit Sawangsuk โพสต์ถึง exit poll เลือกตั้งเยอรมนี ไว้ไม่ผิด (หรือที่จริงต้องบอกว่า ถูกหมด) คือพรรคกรีนมาแรงมาก ได้ที่สาม คะแนน ๑๔.๘% “น่าจะร่วมรัฐบาลแหงๆ” ส่วนประโยคสุดท้าย ทำไมล่ะ เดี๋ยวคุยกัน

เอานี่ก่อน พรรคกรีนได้รับยกย่องเป็น ‘kingmaker’ ร่วมกับพรรคประชาธิปไตยเสรี หรือ ‘FDP’ ซึ่งมาเป็นอันดับสี่ คะแนน ๑๑.๕% เนื่องจากไม่มีพรรคใดได้คะแนนเกินครึ่ง หรือ ๓๖๘ เสียงในสภา บุนเดิ้สแถก จากทั้งหมด ๗๓๕ ที่นั่ง

พรรครัฐบาลเดิมของนางอังเก-ลา แมร์แกล พันธมิตรคริสเตียน ‘CDU/CSU’ ตกไปเป็นที่สอง ๒๔.๑% ขณะที่ พรรคสังคมประชาธิปไตย ‘SPD’ ฝ่ายค้านเดิม ซึ่งได้ที่นั่งมากกว่าเพื่อน ๒๕.๗% จะต้องหาพรรคอื่นมาร่วมเป็นรัฐบาลผสมจึงจะตั้งรัฐบาลได้

ถ้าพรรคโซเชียลเดโมแครทไม่สามารถหาพรรคไหนมาร่วมมือร่วมใจ หรือได้เสียงไม่พอ ปล่อยให้พรรคอันดับสองดูดเอาพรรคอื่นๆ ไปหมด (พูดอย่างมิติไทย อิอิ) ละก็ พรรคเสียงข้างมากก็จะกลายไปเป็นฝ่ายค้านไปไม่ยาก เมื่อที่หนึ่งกับที่สองห่างกันแค่ ๑.๖%

พรรคกรีนกับพรรค ฟรีเด็มฯ ก็เลยฉวยโอกาสอย่างว่องไว (แต่ไม่เหมือนตอนประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยเลือกคณะรัฐประหารนะ) เปิดฉากรุกก่อน ตั้งตัวเป็นผู้สถาปนากษัตริย์ เอ้าใครจะมาร่วมกับเราบ้าง แน่ละพรรคที่สนใจย่อมเป็นสายเดียวกัน

บทวิเคราะห์ของ ยูโรนิวส์บอกว่าคนเยอรมันเดี๋ยวนี้ไม่ชอบพรรคใหญ่ ที่ชักจะทำตัวเป็น ลูกพี่ มากไป แต่ฟรีเด็มฯ ก็ต้องการนโยบายหลายอย่างเหมือนยุคอังเก-ลาซึ่งอยู่ยาว เศรษฐกิจเสรีนิยม ตลาดเสรี ลดภาษี และประหยัดการใช้จ่าย

พรรคอันดับสี่จึงยินดีที่จะร่วมกับพรรคอันดับสองรัฐบาลเก่า โดยถ้าไม่มีพรรคกรีน (อันดับสอง) ได้ก็ดี เพราะแนวทางต่างกันคนละขั้ว ฟรีเด็มฯ โปรธุรกิจ ขณะที่กรีนปกป้องสภาพแวดล้อมเป็นสรณะ ไปกันได้สบายๆ กับพรรคโวเชียลเด็มฯ

สูตรตั้งรัฐบาลตอนนี้จึงมีหลากหลาย ตามแถบสีพรรค คือ ไฟจราจร แดง-เขียว-เหลือง (SPD+Green+FDP) ‘ธงจาไมก้าดำ-เขียว-เหลือง (CDU/CSU+Green+FDP) ‘ธงคีเนียแดง-ดำ-เขียว (SPD+CDU/CSU+Green) หรือไม่เช่นนั้นก็ ธงเยอรมนีแดง-ดำ-เหลือง (SPD+CDU/CSU+FDP)

ส่วนที่คิดกันว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่เพราะการเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ที่สองพรรคใหญ่จะ ฮั้วรวมหัวกันตั้งรัฐบาล อลังการ’ Grand Coalition สีแดงกับดำ เหมือนดังข่าวลือในบ้านเรา ว่าจะเกิดขึ้นได้ถ้าเลือกตั้งมาเร็ว และตู่หลุดขั้ว

อ่า เจอมนีกับไตแลนเดียไกลกันซะที่ไหน บินไปบินมาสุวรรณภูมีกับมูนิคอาทิตย์ละสองเที่ยวยังเคยมาแล้ว อธึกกิตบอกได้ไง “เห็นทีจะกลับเยอรมันยากอยู่นะ” เออถ้าว่าไม่อยากกลับ ห่วงสมบัติพ่อก็พอทำเนา ยิ่งตอนนี้น้ำหลากกลัวเขื่อนพัง ใช่มั้ง

ที่จริงเมื่อ ‘9/11’ นี่เอง หนังสือพิมพ์ในยุโรปเพิ่งตีพิมพ์เรื่องราวของ Thai Konig กับเจอมนีอยู่หลัดๆ ว่า รามาเอ็กซ์ทรงติดค้างค่าภาษีโรงเรือนแขวงตุ๊ตซิ่งอยู่ตั้ง ๓ พันล้านยูโรส์ สำหรับบ้านหลังที่สอง คฤหาสน์พักร้อนในแขวงตุ๊ตซิ่ง บาวาเรียส่วนเหนือ

นั่นมาจากข้อมูลของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น Frankfurter Allgemeine Zeitung ว่าไตโคนิกเคยทรงประทับอยู่ที่คฤหาสน์นั้นเป็นนิจสิน ถึงตอนนี้มิได้เสด็จไปที่นั่นปีกว่าแล้วมั้ง แต่ปัจจุบันพระโอรส (ที่ทรงยอมรับ) ก็ยังเสด็จโรงเรียนสำหรับบุคคลพิเศษที่นั่นขณะนี้  

ฉะนี้วิลล่าขนาด ๕,๖๐๐ ตารางเมตร (ที่อยู่อาศัย ๑,๔๐๐ ตรม.) ต้องเสียภาษี ๓๐% ของมูลค่าประเมิน ๑ หมื่นล้านยูโรส์ เท่ากับ ๓ พันล้านยูโรส์นั่นละ นางลูซี่ วอร์ลิคโคว่า เหรัญญิกของเมืองนั้นออกมาบ่นว่าปล่อยไปได้ไง ขณะที่การเงินของแขวงติดลบอยู่สองแสนเจ็ดถึงสี่แสนยูโรส์

แล้วยังมีเรื่องภาษีมรดกอีก สื่อท้องที่บอกทรงซื้อวิลล่าเมื่อปี ๒๕๕๔ ตอนนั้นยังทรงเป็นพระราชโอฯ ยังไม่ได้เป็น ‘Head of State’ ก็น่าจะต้องเสียภาษีมรดกด้วย เพราะทรงผ่องถ่ายโอนทรัพย์สินของพระราชบิดา รวมทั้งทรัพย์สินที่ก้ำกึ่งของหลวงเป็นส่วนพระองค์แล้ว

เรื่องการทรงทำธุรกรรมในเจอมนีขณะยังไม่ได้เป็นพระประมุขนี่น่ะ มีการถกเถียงกันในสภาบุนเดิ้สแถกกันหลายหน เพราะพรรคเล็กฝ่ายค้าน เช่นพรรคกรีนและพรรค ซ้ายจิกไม่ยั้ง ลงท้ายรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลอังเก-ลา ยอมรับว่ายังทำอะไรไม่ได้

เนื่องเพราะนโยบายของรัฐบาลอังเก-ลา บอกว่าเรื่องนี้จุกจิกไป ขอ ‘hand off’ ไว้ก่อน ถึงอย่างไร (เจอมันบางคนบอกว่า) ถ้าไตโคนิกจะไปใช้ชีวิตอย่างหะรูหะราที่บาวาเรีย คนท้องที่ก็จะได้รับเศษเสี้ยวเล็กๆ น้อยๆ จากการจับจ่ายไม่ยั้งมืออยู่ดี

ถึงอย่างนั้นรัฐมนตรีต่างประเทศคนเก่า (ไฮโก ม้าส) บอกว่าจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของไตโคนิกไม่กระพริบ ส่วนนายกเทศมนตรีตุ๊ตซิ่งก็ยืนยันไม่ทิ้งเรื่องภาษีโรงเรือนเด็ดขาด ล่าสุดสื่อญี่ปุ่นปูดเรื่องแนวคิดต่อไปนี้จะเช็ควีซ่าโคนิกละเอียด

พรรคกรีนและซ้าย ซึ่งได้รับข้อมูลเต็มเปี่ยม เรื่องความสงสัยของขบวนการเยาวชนปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ไทย ว่ามีมือพิฆาตภายใต้ไตโคนิกไปเที่ยวสอยผู้ลี้ภัย ม.๑๑๒ ในลาวและเขมร เห็นมีศพลอยอืดน้ำโขงเป็นหลักฐาน

พรรค ซ้ายนั้นคราวนี้ได้ที่นั่งในสภาน้อยกว่าเก่า ก็ใช่ว่าจะก่อหวอดในสภาในเรื่องที่ตนมีข้อมูลเต็มเปาไม่ได้ (จะเปรียบกับ เต้ มงคลกิตติ์ พรรคไทยศรีวิไลย์ คงไหว) แถมพรรคกรีนก็คุ้นเรื่องนี้อยู่มาก ยิ่งถ้าได้เป็นรัฐบาลด้วย สนุกใหญ่

การอภิปรายเรื่องนี้ในบุนเดิ้สแถกต่อไปถ้าจะมี อาจไปลงเอยที่การใช้หลักการ ‘seizure’ (ภาษาสเปญหมายถึง ‘embargo’) หรือยุทธวิธีปิดกั้นน่านน้ำ ห้ามเข้านี่ละถึงได้คิดไว้แต่ต้นว่าโพสต์ของอธึกกิต ถูกหมด

(https://www.nau.ch/people/welt/thai-konig-maha-vajiralongkorn-droht-die-pfandung-65962555, https://asia.nikkei.com/Politics/Turbulent-Thailand/Germany-floats-asking-Thai-king-to-appoint-regent-for-next-visa, https://www.euronews.com/2021/09/27/german-election-greens-and-free-democratic-party-to-be-key-players-in-coalition-talks และ https://www.dw.com/en/german-election-2021-live-updates/a-59312264)