วันเสาร์, กันยายน 06, 2568

วันวาน ไม่หวานนะ ย้อนดูบทบาท “ภูมิใจไทย” 2566-2568 ปักธงตรงข้ามกับก้าวไกล ไม่ให้แตะ 112

https://www.facebook.com/iLawClub/posts/1192456762927941
iLaw 
Yesterday
·
ย้อนดูบทบาท “ภูมิใจไทย” 2566-2568 ปักธงตรงข้ามกับก้าวไกล ไม่ให้แตะ 112
29 สิงหาคม 2568 อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยประกาศพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 พ้นจากตำแหน่ง โดยพร้อมรับเงื่อนไขผ่านทางตันของพรรคประชาชนทั้งเรื่องยุบสภาภายใน 4 เดือน และการทำประชามติเพื่อนำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยยืนหยัดอยู่บนเส้นทางการเมืองด้วยวิธีการหลากหลาย ทั้งสลับขั้วตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร “ดูด” เสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จากพรรคอื่นๆ เข้ามาอยู่ใต้สังกัด การขัดขวางร่างกฎหมาย และความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่ทำให้กรรมการบริหารพรรคและผู้เกี่ยวข้อง 91 คนถูกดำเนินคดีในกรณีโกงการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ทั้งยังวางตัวเป็นคู่ตรงข้ามกับพรรคการเมืองสีส้ม ทั้งอนาคตใหม่-ก้าวไกล-ประชาชน มาตลอดเส้นทาง
ชวนย้อนดูบทบาทของพรรคภูมิใจไทยต่อประเด็นสำคัญบนหน้าการเมืองไทย ผ่านวาทะของสมาชิกพรรค นับแต่การเลือกตั้งปี 2566 จนถึงครึ่งแรกของปี 2568 ก่อนที่พรรคภูมิใจไทยจะไปร่วมงานในฐานะฝ่ายค้านกับพรรคการเมืองสีส้มและเตรียมร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว
ปี 66 พูดย้ำชัด ไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย
27 มีนาคม 2566 หลังจากการยุบสภาของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่นาน อนุทิน ชาญวีรกูลให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าด้วยทิศทางการจับมือตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง 2566 ว่าสำหรับพรรคภูมิใจไทย ชั่วโมงนี้ ต้องตั้งหน้า ตั้งตา ทำให้ประชาชนวางใจ มีเป้าหมายการได้ ส.ส.เท่าไร ต้องไปให้ถึง หรือทำให้ได้มากที่สุด
อนุทินยังกล่าวอีกว่า “ขอให้ดูผลการเลือกตั้ง พรรคที่ได้คะแนนสูงสุด ได้สิทธิ์ตั้งรัฐบาลก่อน ถ้าไม่สำเร็จก็ลำดับถัดไป จนกว่าจะมีการรวมเสียงสำเร็จ มันเป็นแบบนี้มาโดยตลอด อย่าไปกลัว รัฐบาลเสียงข้างน้อย ประเภท มี ส.ส.น้อยกว่า แต่ได้เป็นรัฐบาล เพราะเสียง ส.ว. เพราะมันเกิดยาก ถ้าฝืนทำแบบนั้นเหมือนตายทั้งเป็น เหมือน ส.ว. มาส่งลงเรือ ส.ส. ถ้าพวกไม่มากพอ ก็อยู่ไม่ได้ ส่วนใครจะจับใคร ให้ไปดูหลังการเลือกตั้ง”
25 มิถุนายน 2566 อนุทินให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าด้วยกระแสข่าวจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยอาศัยเสียงสว. ชุดพิเศษว่า การเป็นรัฐบาลมันต้องมีความเข้มแข็ง ถ้าเป็นเสียงข้างน้อยก็รอวันตาย เริ่มจากการแถลงนโยบาย ถ้าเป็นเสียงข้างน้อยกฎหมายมันจะไม่ผ่านรัฐบาลก็จะสิ้นสุด อาจจะยุบสภา หรือลาออกก็ได้ มันเกิดได้หมด ถ้าทำก็รอวันตาย โดยยังกล่าวอีกว่า “จะไปทำเพื่อสะใจ มันไม่ใช่ นี่เรื่องบ้านเมือง จะทำอะไร ต้องยั่งยืน นี่คือเหตุผลที่เรานิ่ง ไม่สร้างเงื่อนไขทางการเมือง ให้พรรคอันดับ 1-2 ตั้งรัฐบาลก่อนเลย พรรค 1 ตั้งไม่ได้ ก็เป็นโอกาสของพรรคลำดับถัดไป นี่ผ่านมา 6 สัปดาห์ ยังไม่เห็นโอกาสของพรรคอันดับ 3 เลย”
11 กรกฎาคม 2566 ก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทยได้แถลงมติโหวตนายกรัฐมนตรีในครั้งนั้น โดยระบุว่า พรรคยึดตามแนวทางการสื่อสารของอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค โดยไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และไม่ร่วมมือกับพรรคหรือบุคคลที่มีแนวคิดแก้ไขมาตรา 112
20 กรกฎาคม 2566 อนุทินให้สัมภาษณ์ว่าด้วยการจัดตั้งรัฐบาลว่า พรรคภูมิใจไทยรักษามารยาท เล่นตามกติกา เพราะยังไม่ถึงพรรคลำดับที่ 3
“ภูมิใจไทย เรายังเหมือนเดิมนะ เราไม่สามารถร่วมงานกับพรรคที่จะแก้ ม.112 และไม่สนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อย ตอนนี้สถานการณ์ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ เรารักษามารยาท รักษากติกา เรื่องการตั้งรัฐบาล ต้องไปถามพรรคที่เขาจัดตั้งอยู่ตอนนี้” อนุทินกล่าว ทั้งยังย้ำว่า พรรคภูมิใจไทย ยังไม่ได้คิดจัดตั้งรัฐบาล เพราะเป็นพรรคอันดับที่ 3 ตอนนี้เป็นกำลังใจให้พรรคอันดับต้นๆ จัดตั้งรัฐบาลให้ได้เสียก่อน
ต่อมาวันที่ 3 สิงหาคม 2566 ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทยในขณะนั้นยืนยันต่อสื่อมวลชนว่า พรรคภูมิใจไทยยังคงหลักการการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วยหลักการ 3 ข้อ คือ
1. จะต้องไม่มีนโยบายเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
2. ไม่สามารถทำงานกับพรรคก้าวไกลได้
3. ไม่จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย
ประกาศชัดวันโหวตนายกฯ มีก้าวไกล ไม่มีภูมิใจไทย
จุดยืนสำคัญต่อการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทยหลังการเลือกตั้งทั่วไป 2566 ระบุชัดว่า พรรคภูมิใจไทยจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล ซึ่งมีนโยบายหนึ่ง คือ การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
17 พฤษภาคม 2566 พรรคภูมิใจไทยได้ออกแถลงการณ์ย้ำจุดยืนดังกล่าว โดยระบุว่า จุดยืนนี้เป็นหลักการสำคัญของพรรคภูมิใจไทยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือต่อรองได้ ทั้งการเรียกร้อง ข่มขู่ กดดัน ต่อพรรคภูมิใจไทยให้สนับสนุนแคนดิเดตของพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไขและยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะไม่มีผลให้พรรคภูมิใจไทย และสมาชิกพรรคภูมิใจไทยเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์และจุดยืนได้
11 กรกฎาคม 2566 ก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทยได้แถลงมติโหวตนายกรัฐมนตรีในครั้งนั้น โดยระบุว่า พรรคยึดตามแนวทางการสื่อสารของอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค โดยไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และไม่ร่วมมือกับพรรคหรือบุคคลที่มีแนวคิดแก้ไขมาตรา 112
13 กรกฎาคม 2566 ระหว่างการอภิปรายก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ชาดา ไทยเศรษฐ์ สส. ภูมิใจไทยอภิปรายเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลไว้ตอนหนึ่งว่า อยากจะฝากถึงผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือเป็นรัฐบาลก็ตาม คนไทยไม่ได้มีแค่ 14 ล้านคน คนไทยไม่ได้มีแค่ 25 ล้านคน ท่านต้องเป็นนายกรัฐมนตรีของคน 60 กว่าล้านคน และต้องเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาลของพรรคใดพรรคหนึ่ง โดยคน 14 ล้านเสียงเป็นจำนวนไม่ถึง 20% ของประชากรในประเทศ แต่อย่าระเริงกับคำว่า 14 ล้านเสียง
ชาดายังกล่าวถึงประเด็นการแก้มาตรา 112 ว่า “ที่เจ็บปวดกว่านั้น มีคำพูดของผู้นำจิตวิญญาณพรรคก้าวไกลว่า ถ้าพิธาได้เป็นนายกฯ จะให้ไปลงสัตยาบรรณกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ซึ่งมีสาระสำคัญ สามารถฟ้องประมุขรัฐได้ อันนี้รับไม่ได้ จะให้พิธาไปลงนาม หมายความว่า คนนอกประเทศฟ้องในหลวงได้ ผมทำใจไม่ได้ หลับตานึกสิครับ พระมหากษัตริย์สูงสุดที่คุ้มกะลาหัวเราไปถูกฝรั่งมังค่าสอบสวน เป็นเรื่องที่น่ากลัวและอันตราย”
ชาดากล่าวต่อไปว่า “ท่านจะแก้ทั้งมาตราหรือจะทำอะไรก็ตาม แต่สิ่งสำคัญ ท่านคิดไหมครับ ว่าหากแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บ้านเมืองนี้จะสงบ บ้านเมืองนี้จะเจริญ? วันนี้ท่านได้รับเลือกตั้งมาแล้ว ท่านเก็บเรื่องนี้ไว้ในกระเป๋าไม่ได้หรือ ประเทศนี้ ถ้าแก้กฎหมาย(อาญา) มาตรา 112 ไม่ได้แล้วมันจะล่มจม ผมจะไม่ว่าเลย ท่านเสนอนโยบาย 200 – 300 ข้อ ท่านเป็นความหวังของคนไทยที่จะเข้ามาบริหารบ้านเมือง ท่านละเพียงเรื่องเดียว ท่านไม่ต้องไปด่าสว. (สมาชิกวุฒิสภา) ท่านไม่ต้องไปด่าฝ่ายตรงข้าม ท่านเป็นนายกฯ แน่ ถ้าไม่มี 112 ท่านยังไม่ยอมเลยครับ แต่ท่านไม่ยอมอะไรเลย ผมจึงอยากจะถามว่าพรรคอนาคตใหม่หรือพรรคก้าวไกล เกิดมาเพื่อจะแก้ (มาตรา 112) อย่างเดียวหรือ แก้มาตรา 112 หรือ ถ้าไม่แก้แล้วประเทศนี้มันจะล่มจมหรือ มันไม่ใช่ครับ มันมีเรื่องที่ต้องทำ ทำเรื่องที่ลุงตู่ (พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ทำแล้วไม่ดี ที่โดนด่า ผมเห็นด้วย ทำไปดิ เยอะแยะไปหมดความเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎร์…”
“ถ้าท่านถือว่าการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นเป็นพันธกิจของท่าน เป็นสิ่งที่ท่านจะต้องกระทำ ต้องทำให้ได้ ผมและพรรคภูมิใจไทย และพี่น้องประชาชนอีกหลายคน ก็ถือว่าเป็นพันธกิจของพวกเราเหมือนกัน ที่จะคัดค้านท่านทุกวินาที ทุกอย่าง ทุกทาง ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ” ชาดาย้ำ
ชาดายังบรรยายถึงต้นตระกูลที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาที่ประเทศไทย “ได้พึ่งพระบรมโพธิสมภารของในหลวง ด้วยความเคารพ วันนี้มาเป็นผู้แทน อยู่ดีกินดีกว่าคนไทยแท้ๆ เป็นล้านคน…แล้วถ้าผมไม่สำนึกไม่รู้กตัญญูต่อแผ่นดินนี้ผมก็ไม่สมควรเป็นคน ผมเรียนว่า บ้านเรามีเจ้าของ สิ่งที่บรรพบุรุษเราทำมามันมากมายเหลือเกิน เราอาศัยเขามาอยู่ มาขอเขาอยู่” … “ถ้าไม่ด้วยพระเมตตาของระบบสถาบันพระมหากษัตริย์ ท่านไม่ได้เลือกตั้งหรอกครับ ท่านไม่มีทางได้ 140 ที่นั่งครับผมพูดได้เลย ท่านลองไปพม่า อเมริกาช่วยอะไรได้ ทหารมายิงดิ้นหมด วันนี้เหมือนกันครับ ประเทศนี้ถ้าไม่มีในหลวงไม่มีสถาบันฯ ลุงตู่กับลุงป้อม (พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ไม่กลับบ้านง่ายๆหรอกครับ (หัวเราะ) มีแต่จะลากเอ็ม 16 มาเล่นกับพวกคุณ”
จุดยืนเข้มแข็งต่อมาตรา 112 ไม่แก้ไข-ไม่นิรโทษกรรม
นอกจากจุดยืนไม่สนับสนุนพรรคก้าวไกล ด้วยเหตุผลไม่สนับสนุนพรรคที่นโยบายแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 แล้ว จุดยืนต่อกรณีมาตรา 112 ของพรรคภูมิใจไทยในสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ที่มีมาอย่างเข้มแข็ง คือไม่แก้ไข และไม่นิรโทษกรรมให้คดีมาตรา 112��นอกเหนือจากการอภิปรายของชาดา ไทยเศรษฐ์ ในวันลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อ 13 กรกฎาคม 2566 แล้ว ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม-สร้างเสริมสังคมสันติสุข จำนวน 5 ร่าง เมื่อวันที่ 9 และ 16 กรกฎาคม 2568 พรรคภูมิใจไทยยังเสนอร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. …. โดยมีเนื้อความทำนองเดียวกับร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุขฉบับพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ใส่ไว้ให้เข้มแข็งขั้นสุดว่า จะไม่นิรโทษกรรมมาตรา 112 โดยใส่เป็นหลักการของร่างกฎหมายเลข ซึ่งเมื่อลงมติรับร่างนี้ไปแล้วจะไม่สามารถแก้ไขในหลักการได้ในวาระที่สอง
โดยในการอภิปรายเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ภราดร ปริศนานันทกุล สส. อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ผู้อภิปรายเสนอร่าง ได้อภิปรายว่า จุดยืนของพรรคภูมิใจไทย คือ จะไม่นิรโทษกรรมให้กับผู้ต้องคดีตามมาตรา 112 เด็ดขาด โดยจะนิรโทษกรรมต่อการเรียกร้องทางการเมืองเฉพาะการเรียกร้องต่อรัฐบาล อันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนเท่านั้น
ภราดรยังกล่าวอีกว่า สังคมนี้มีความเห็นมากมาย แม้กระทั่งพรรคภูมิใจไทยเองก็แสดงจุดยืนชัดเจน “ใครก็ตามที่กระทำผิดตามมาตรา 112 ก็ไม่สามารถนิรโทษกรรมให้ได้ แม้กระทั่งประชาชนส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่าเป็นส่วนมากหรือน้อย แต่เชื่อว่าเป็นส่วนมากที่ไม่เห็นด้วย ถ้านิรโทษกรรมให้จะไปสร้างปัญหาให้สังคมหรือไม่ กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยจะออกมาชุมนุมเรียกร้องไม่จบสิ้นหรือไม่”
ทั้งนี้ ภราดรได้ให้เหตุผลอ้างถึงการที่พรรคภูมิใจไทยเคยมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ฉบับพรรคเพื่อไทยเมื่อปี 2556 ว่า เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอันนำมาสู่การรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557
�และเมื่อ 16 กรกฎาคม 2568 กรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ได้อภิปรายสรุปร่างว่า พรรคภูมิใจไทยไม่อยากเห็น “กงล้อประวัติศาสตร์” กลับไปสู่จุดเดิม จึงพยายามหาทางออกให้สังคมสันติสุขที่ทำให้พอจะขยับไปข้างหน้าได้บ้าง โดยไม่กระทบกับคนส่วนใหญ่ในสังคมจนทำให้รู้สึกว่าไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับคนกลุ่มดังกล่าว โดยย้ำจุดยืนว่าไม่นิรโทษกรรมคดีทุจริต ความผิดต่อชีวิต และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
กรวีร์ยังได้เสนอว่า “มีช่องทางอื่นครับ เช่น ถ้าสำนึกผิด ก็ไปขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งที่ผ่านมานั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ครับ ผมเห็นมีหลายกรณี มีหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ผู้ที่ออกมาร่วมชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นนักคิด นักวิชาการที่เขาถูกลงโทษไปแล้วขอพระราชทานอภัยโทษ ผมก็เห็นทางสถาบันพระมหากษัตริย์ก็พระราชทานอภัยโทษลงมานะครับ การกระทำแบบนี้ต่างหากครับ ที่จะทำให้คนอีกส่วนหนึ่งของสังคมเขาเห็นว่า ถ้ามีคนที่กระทำผิดตามกฎหมายแล้วรับโทษตามกฎหมายแล้ว ได้รับความยุติธรรมแล้ว ออกมาสู่สังคม เราจึงจะอยู่กันได้บนความยุติธรรม บนสังคมที่มันเป็นสุขอย่างแท้จริง”
ที่สุดแล้ว สส. พรรคภูมิใจไทยได้โหวตรับหลักการร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุขทั้งสามฉบับ โดยปัดตกร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกลเดิมและเครือข่ายภาคประชาชน ที่เสนอให้นิรโทษกรรมรวมทุกคดีทุกคน
ชาดา ไม่ปล่อยให้พฤติกรรมบีบแตรใส่ “ขบวนเสด็จ” เกิดขึ้นกับผืนแผ่นดินไทย
4 กุมภาพันธ์ 2567 ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ “แฟรงค์” นักกิจกรรม ถูกกล่าวหาว่าขับรถยนต์ใช้ช่องจราจรเข้าสู่ทางร่วมเข้าต่างระดับมักกะสัน ซึ่งปิดการจราจรเนื่องจากจะมีขบวนเสด็จพระราชดำเนินของพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งรถยนต์ดังกล่าวพยายามแทรกรถยนต์คันอื่นๆ ที่ชะลอรถ และบีบแตรยาวประมาณ 1 นาที
8 กุมภาพันธ์ 2567 ชาดา ไทยเศรษฐ์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ตำรวจอยากจะดำเนินการทางกฎหมาย แต่ก็ไม่กล้า เดี๋ยวจะเป็นการระคายเคืองต่อสถาบัน แต่พฤติกรรมที่ตะวันและแฟรงค์ถูกกล่าวหาเป็นสิ่งที่ไม่สมควร
ชาดายังกล่าวอีกว่า “ผมถือเป็นพฤติกรรมหาเรื่อง ซึ่งเป็นคนที่เนรคุณต่อแผ่นดิน อย่าคิดว่าเป็นเรื่องหล่อเรื่องเก่งนะครับ มันเป็นเรื่องที่ไประคายเคืองสถาบันหลักของประเทศ มันไม่ใช่เขาไม่มีทางให้ไป แต่ไม่ไปเอง ก่อกวน เป็นพฤติกรรมที่ก่อกวนและตั้งใจ ไม่ใช่ขบวนเสด็จจะไปขวางเขาซะเมื่อไร”
“ตามรูปที่ดูจากคลิปก็หลบอยู่ทางฝั่งขวา ทางซ้ายไปได้ แต่นี่คือพฤติกรรมหาเรื่อง เป็นสิ่งที่ไม่งาม ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ถือว่าคุณทำเรื่องไม่ถูกต้อง เท่ากับคุณไปด่าพ่อด่าแม่ตัวเองนะเนี่ย พฤติกรรมแบบนี้ใช้ไม่ได้ และผมคงไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นอีก ไม่ยอมแล้ว มีปัญหาแน่ ไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผืนแผ่นดินไทยแน่นอน”
ต่อมา วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 ตะวันและแฟรงค์ถูกออกหมายจับจากกรณีถูกกล่าวหาว่าบีบแตรใส่ขบวนเสด็จ ถูกตั้งข้อหายุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามมาตรา 116 ก่อความเดือดร้อนรำคาญในท่ีสาธารณะ และข้อหาพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการถ่ายไลฟ์เฟซบุ๊ก ไม่ถูกตั้งข้อหามาตรา 112
ไม่เร่งทำประชามติ ไม่เอาเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
หนึ่งในเรื่องที่พรรคภูมิใจไทยแสดงตัวคัดค้านญัตติของพรรคก้าวไกลในสภา คือ การส่งเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการจัดทำประชามติรัฐธรรมนูญ โดยวันที่ 25 ตุลาคม 2566 ภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย อภิปรายคัดค้านญัตติที่พรรคก้าวไกลเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบ และส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อถามความเห็นประชาชนว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ภราดรอภิปรายว่า พรรคภูมิใจไทยเคยอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 ไปแล้วว่า ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพื่อยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยระบุเหตุผล 3 ข้อที่ไม่เห็นด้วยกับญัตติของพรรคก้าวไกลไว้ว่า
1. รัฐบาลของเศรษฐา ทวีสิน ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาหาแนวทางเพื่อจัดทำประชามติอยู่แล้ว ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้เข้าร่วมคณะกรรมการชุดดังกล่าวเพื่อเสนอความเห็นโดยไม่จำเป็นต้องเสนอญัตติในสภาผู้แทนราษฎร
2. เนื้อหาของญัตตินี้ โดยภราดรกล่าวว่า ไม่สามารถลงมติเห็นด้วยกับญัตตินี้ได้ เพราะมีคำถามเสนอรัฐบาลว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยการแก้ไขหมวดที่ 1 บททั่วไป และหมวดที่ 2 พระมหากษัตริย์ นั้น พรรคภูมิใจไทยไม่สามารถยอมรับได้ เนื่องจากหมวดที่ 1 และหมวดที่ 2 เป็นหัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญ
3. การเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมดจากประชาชน ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าจะมีคนจากทุกสาขาอาชีพ และตัวแทนจากกลุ่มชาติพันธุ์ ศาสนา และกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งการเลือกตั้ง 100% ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ แต่ไม่ใช่ขัดขวางการเลือกตั้ง สสร. อาจจะมีการเลือกตั้ง สสร. แต่อาจจะมีการเสริมตัวแทนทุกกลุ่มเข้าไปด้วยเพื่อเป็นทางออกได้หรือไม่
โดยภราดรย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า อย่าได้ตีความเจตนารมณ์ของพรรคภูมิใจไทยว่า ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง สสร. 100% ไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติ หรือแม้กระทั่งไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เพียงไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพราะพรรคภูมิใจไทยเองก็เคยเสนอให้มี สสร. เข้ามาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ
ต่อมา 8 พฤศจิกายน 2566 ศุภชัย ใจสมุทร อดีต สส. และแกนนำพรรคภูมิใจไทยยื่นเรื่องต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สอบสวนเรื่องการขับปดิพัทธ์ สันติภาดา สส. พิษณุโลก รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง เนื่องจากส่งผลต่อการครองผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรของหัวหน้าพรรคก้าวไกลตามมาตรา 106 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ว่า ผู้นำฝ่ายค้านจะมาจากสส. ที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่จำนวนสส. มากที่สุด และไม่มี สส. ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านจะพ้นตำแหน่งหากมีสส. ในพรรคตนเองดำรงตำแหน่งสามตำแหน่งดังกล่าวแม้เพียง 1 คน
ศุภชัยเห็นว่า มติกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลดังกล่าวไม่ได้ปรากฏว่ามีการสอบสวนทางวินัยปดิพัทธ์ตามข้อบังคับพรรค และไม่มีมติสมาชิกพรรค 3 ใน 4 ของที่ประชุมร่วมกรรมการบริหารพรรคและ สส. ของพรรคตามมาตรา 101 (9) ของรัฐธรรมนูญ อันเป็นเหตุให้กกต. ส่งศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยยุบพรรคได้
https://www.ilaw.or.th/articles/54583
...

Yingcheep Atchanont
วันวาน ไม่หวานนะ

https://www.facebook.com/iLawClub/posts/1192456762927941