
ประเทศไทยในยุคประชาธิปไตยร่างทรง : จันจิรา สมบัติพูนศิริ
8 Sep 2025
101 World
การลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมาสิ้นสุดลง ด้วยการที่ อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศ
ก่อนหน้านี้ การเมืองไทยอยู่ในช่วงฝุ่นตลบ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคประชาชนประกาศลงคะแนนให้ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าและแคนดิเดตจากพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกฯ ด้วยเงื่อนไขว่าจะยุบสภาภายในสี่เดือนและทำรัฐธรรมนูญใหม่ ขณะที่ฟากพรรคเพื่อไทยส่ง ชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกฯ พร้อมข้อเสนอว่าหากพรรคประชาชนเลือกชัยเกษม เพื่อไทยจะยุบสภาทันที
และผลการโหวตนายกฯ ก็ออกมาเป็นที่เรียบร้อยว่า อนุทินได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกฯ คนล่าสุดด้วยคะแนนเห็นชอบ 311 เสียง ขณะที่ชัยเกษมได้ 152 เสียง และมีผู้งดออกเสียง 27 เสียง
วันโอวัน สนทนากับ จันจิรา สมบัติพูนศิริ นักวิชาการจากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าด้วยทิศทางการเมืองและประเทศไทยในยุคของอนุทิน ตลอดจน ‘การเมืองแห่งความหวัง’ ที่ดูใกล้จะมอดดับในห้วงเวลาเช่นนี้
มองการโหวตเลือกนายกฯ อย่างไร ผิดคาดไหม
จริงๆ อยากชวนถอยออกมามองภาพกว้าง ว่าเรากำลังเห็นสมการประชาธิปไตยอีกแบบ
กล่าวคือระบอบประชาธิปไตยแบบที่เรามีคือประชาธิปไตยร่างทรง ถ้าเรามองย้อนกลับไปยังการรัฐประหารปี 2557 และการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา จะพบว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เรามีรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากคนที่วนเวียนกับระบอบ ประยุทธ์ จันทร์โอชา (อดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่รัฐประหาร และอดีตนายกฯ) นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฝ่ายบริหารก็ไม่เคยมีเสถียรภาพเลย และอาจเป็นการสะท้อนว่าช่วงแปดปีระหว่างปี 2557 ถึง 2565 นั้น ฝ่ายบริหารอยู่ได้เพราะเขามีร่างทรงที่ถูกตัว
แต่หลังจากการเลือกตั้งปี 2566 เราจะพบว่าฝ่ายบริหารตะกุกตะกักตลอด เพราะฝ่ายอำนาจ -ที่ใช้อำนาจทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง- กำลังหาร่างทรงใหม่ ทำให้มีการใช้อำนาจตุลาการและนิติสงครามเพื่อเปลี่ยนร่างทรงเสมอ ดังนั้น วิกฤตทางการเลือกนี้คือวิกฤตที่ถูกปั้นขึ้นมา ไม่ใช่วิกฤตจริง
การโหวตเลือกนายกฯ ที่ผ่านมาก็เป็นความพยายามอีกครั้งที่จะหาร่างทรงของฝ่ายบริหาร แต่คำถามคือว่าร่างทรงนี้ ‘ตรงปก’ หรือยัง
ถ้าถอยกลับมามองภาพรวมเหตุการณ์ช่วงก่อนหน้าวันโหวตนายกฯ จะพบว่าเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทั้งการที่พรรคประชาชนประกาศจะลงคะแนนเสียงให้คุณอนุทิน, พรรคเพื่อไทยสูญเสียอำนาจ หรือแม้แต่การที่คุณทักษิณออกเดินทางไปนอกประเทศ อาจารย์มองปรากฏการณ์นี้อย่างไร
มองในภาพย่อยลงมา เราจะพบว่า ไม่ว่าปรากฏการณ์นี้จะมีใครอยู่เบื้องหลัง มันเป็นการทำลายพรรคที่เป็นหรือเคยเป็นปฏิปักต่อฝ่ายอนุรักษนิยม ที่แน่ๆ พรรคเพื่อไทยสู้เพื่อลมหายใจสุดท้าย และส่วนตัวก็คิดว่าพรรคเพื่อไทยเดินหมากพลาดด้วย คงรู้สึกว่าถ้าให้พรรคภูมิใจไทยคืบคลานทางอำนาจเข้ามาในพื้นที่ทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวเองจะเสียเปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงเลือกเดินหมากอันตราย และผลก็เป็นดังที่เราเห็น
หลังจากนี้ ส่วนตัวคิดว่าเพื่อไทยคงไม่สูญพันธุ์ แต่จะกลายเป็นพรรคการเมืองทางประวัติศาสตร์ และคงไม่กลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม อาจไม่ใช่พรรคที่ได้คะแนนเสียงมากเท่าเดิม หรือมีอำนาจในการต่อรองเข้าร่วมมากเหมือนเมื่อก่อน ที่สำคัญคือตระกูลชินวัตรจะไม่เหมือนเดิมด้วย
ส่วนพรรคประชาชน ส่วนตัวรู้สึกว่าการเมืองที่เกิดขึ้นในเวลานี้เป็นการเมืองที่ยากของตัวพรรค เพราะเล่นในกติกาถูกออกแบบไว้ให้เล่นอย่างไรก็แพ้ พรรคประชาชนถูกบังคับให้เลือก โอเค เขาอาจไม่เลือกนายกฯ คนใดก็ได้ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าพรรคประชาชนไม่ใช่พรรคที่ทำอะไรเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพรรคเพียงอย่างเดียว ตัวเลือกที่เกิดขึ้นนี้คงเป็นตัวเลือกที่พรรครู้สึกว่า อาจพาประเทศขยับไปได้สักที่หนึ่ง แม้จะไม่รู้ว่าไปไหน แต่ก็ดีกว่าติดหล่มอยู่กับที่
ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่น่าสนใจและน่าติดตามคือผลต่อพรรคประชาชนและแรงศรัทธา ต้องอย่าลืมว่าถ้าไล่ไปตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่, พรรคก้าวไกลจนมาถึงพรรคประชาชน การเมืองของเขาคือการเมืองของความหวังและอุดมคติ ทั้งหมดนี้ พรรคเอาการเมืองเรื่องความหวังและอุดมคติมาเดิมพันกันด้วยการบอกว่า จุดนี้คือจุดที่เราต้องเล่นการเมืองเชิงปฏิบัติ (pragmatics) ต้องเห็นผลประโยชน์ของส่วนรวมเบื้องหน้า ทำอย่างไรให้ไปต่อถึงการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่
พูดภาษาชาวบ้านคือตอนนี้ พรรคประชาชนถูกทำให้มาอยู่ในระนาบเดียวกับพรรคการเมืองเชิงปฏิบัติอย่างพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย ซึ่งอาจบั่นทอนการเมืองเรื่องความหวังของพรรค ที่เป็นเหมือนป้ายยี่ห้อและทำให้พรรคได้คะแนนเสียงในช่วงที่ผ่านมา
เรื่องนี้น่าสนใจและน่ากังวลด้วย เพราะไม่รู้ว่าประชาธิปไตยแบบร่างทรง หรือการเล่นในกติกาที่ออกแบบมาให้แพ้จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปในทิศทางไหน รวมทั้งจะขยับประชาธิปไตยไปในทางไหนด้วย
อย่างนั้นแล้ว ประชาชนมีสิทธิผิดหวังทิศทางที่พรรคประชาชนเลือกไหม
ผิดหวังได้ กระนั้นก็เป็นความผิดหวังที่เข้าใจได้ เพราะหลังจากพรรคถูกยุบไปแล้วสองรอบ พรรคคงเห็นความเป็นจริงทางการเมืองไทย และในฐานะพรรคการเมือง ถ้าจะสร้างความเป็นสถาบันให้พรรค พรรคก็ต้องรอดชีวิตก่อน ลองดูประวัติศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยก็ได้ ว่าการถูกยุบพรรคหลายรอบก็ส่งผลกับตัวพรรคเหมือนกัน เพราะมันจะกร่อนเซาะแกนกลางของพรรคไปเรื่อยๆ
กลับมาที่ความผิดหวัง ก็คงผิดหวังได้ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าการเมืองเชิงปฏิบัติเป็นเรื่องธรรมดา คือเป็นการเมืองแห่งการต่อรอง เป็นการเมืองที่ความเป็นจริงคือแบบนี้ จะให้ทำอย่างไร เราจึงอยากให้ถอยออกมาแล้วดูภาพการเมืองประเทศไทย ว่ามันเป็นภาพการเมืองของการทำลายความหวัง กติกามันถูกสร้างมาแบบนี้
ด้วยระเบียบการเมืองนี้ ส่วนตัวคิดว่าเราเห็นคลื่นใต้น้ำเยอะ เพราะตัวระเบียบการเมืองใหม่นี้ก็ไม่รู้ว่าจะใช้อำนาจผ่านใครได้ และเครือข่ายอำนาจรวมใครมาได้บ้าง ดังนั้น มันจึงการเมืองรัฐสภา กับการเมืองที่เป็นระเบียบการเมือง
ถ้าพูดเชิงนามธรรม ก็ต้องบอกว่าฝ่ายอำนาจเก่า แต่ถ้าใช้คำของอาจารย์ เกษียร เตชะพีระ (อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) คือนี่เป็นฉันทามติ 112 เรียกว่าเป็นระเบียบการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วง ปี 2557 แทนที่ฉันทามติเดิมคือฉันทามติภูมิพล
เราจะพบว่าพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย มีเหตุผลด้านรักษาประชาธิปไตยเพื่อสร้างความชอบธรรมทิศทางที่ตัวเองเลือก ในฐานะที่อาจารย์ศึกษา democratization ข้ออ้างนี้ฟังขึ้นไหม
ถ้านับว่าระบอบประชาธิปไตยคือการได้รับการเลือกตั้ง ก็ฟังขึ้น เพราะพื้นฐานแรกสุดของประชาธิปไตยคือการมีการลงคะแนนเสียงจากการเลือกตั้ง
แต่ประชาธิปไตยก็มีกติกาของมัน เราเลือกตั้งน่ะใช่ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้มันยุติธรรมไหม นี่เป็นปัญหาของประเทศไทย เพราะมีตัวละครที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งที่แทรกแซงนิติบัญฯญัติและบริหารมาโดยตลอด
พรรคเพื่อไทยเองพยายามต่อรองกับพลังอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และขั้นตอนการต่อรองกับพลังอำนาจ ก็บั่นทอนตัวพรรคในฐานะที่เคยเป็นแชมเปี้ยนของประชาธิปไตย รวมทั้งบั่นทอนกระบวนการประชาธิปไตยด้วย เช่น หลายเรื่องที่เป็นไปเพื่อการปฏิรูปเพื่อให้รัฐธรรมนูญดีขึ้น เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ทำ
คิดว่าการเมืองไทยใต้การนำของคุณอนุทิน จะทำให้ฝ่ายขวาทะยานขึ้นไหม
ตัวพรรคภูมิใจไทยเป็นนาฎกรรม หลายคนในพรรคแสดงความเป็นอนุรักษนิยม แสดงความรักชาติ แสดงความหวงแหนแผ่นดิน แต่การแสดงเหล่านั้นมันเป็นเครื่องมือในการเกาะกุมอำนาจบางอย่าง
ภูมิใจไทยเป็นเสมือนยานพาหนะที่มีคนจำนวนหนึ่งกระโดดเข้ายาน บางคนทำเพื่ออำนาจ บางคนทำเพื่ออุดมการณ์ ซึ่งไม่รู้ว่าคนที่ทำเพื่ออำนาจอันตรายกว่าหรือไม่ ที่ผ่านมา 7-8 ปี เราเห็นองคาพยพของความคลั่งชาติเข้มแข็งขึ้น พร้อมระดมคนทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งเชื่อมโยงกัน จะพบว่า เวลาเกิดวิดฤตการณ์ที่มีความขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน ก็มีการเชื่อมโยงฝั่งภาครัฐมาสะกิดมวลชนว่า ได้เวลาออกมาชุมนุมหรือไล่ล่าแรงงานต่างด้าว ได้เวลาออกไปม็อบชนม็อบที่ชายแดนแล้ว เป็นต้น
ส่วนตัวคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นคลื่นใต้น้ำที่พรรคภูมิใจไทยเป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนหลัก
อย่างนั้นแล้ว เป็นไปได้ไหมว่ากระแสฝ่ายขวาอาจไม่ได้ยั่งยืน
อันที่จริง ประเทศไทยเป็นผู้มาก่อนกาลในเรื่องนี้ เพราะฝ่ายขวาเราไม่เคยหายไปไหน ขณะที่ฝ่ายขวาในการเมืองโลกยังมีช่วงที่หายไปบ้าง คือช่วงปี 90s แล้วปะทุขึ้นมาใหม่
ตอนนี้กลายเป็นว่า ขวาโลกจับกับกลุ่มทุน จับกับมวลชนและจับกับพรรคการเมือง จนได้เข้าไปอยู่ในกลไกภาครัฐ กับเรื่องนี้ ประเทศไทยเองก็มาก่อนกาลเหมือนกัน แค่ว่าฝ่ายขวาในไทยเป็นฝ่ายขวาที่มากับกลุ่มอำนาจเดิม ไม่ได้ไปไหน
พูดถึงกลุ่มอำนาจเดิม จากนี้จะมีบทบาทอย่างไรในรัฐบาลของคุณอนุทิน
กลุ่มอำนาจเดิมก็จะใช้ร่างทรง และมองผลประโยชน์โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจแน่ๆ อาจมีนโยบายแบบใหม่ในแก้วเก่า หรือคือหลายอย่างที่พรรคภูมิใจไทยทำแล้วได้รับการยอมรับจากสมัยรัฐบาลประยุทธ์ ก็จะได้ไปต่อ และนี่แหละที่เราจะได้เห็นความต่อเนื่องในการใช้ร่างทรง
เราอาจเห็นบ้านเมืองในยุคที่คล้ายกับสมัยรัฐบาลประยุทธ์ โดยที่ไม่มีประยุทธ์
มองว่าข้อเสนอที่พรรคประชาชนยื่นนั้นเป็นไปได้จริงแค่ไหน หลายคนมองว่าตัวพรรคไร้เดียงสาเกินไป
(ถอนหายใจ) ไร้เดียงสาไหมก็ไร้เดียงสาแหละ แต่มันไม่มีทางเลือก เราคิดว่าภายใต้กรอบเวลา เงื่อนไข กติกาที่มันเลือกไม่ได้ ความไร้เดียงสานี้ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ประเด็นคือว่า พรรคประชาชนน่าจะคาดหวังให้ผู้คนกดดันพรรคภูมิใจไทยด้วย แต่มันก็ลักลั่นอีก เพราะเมื่อพรรคประชาชนเลือกเดินทางนี้ หลายคนที่สนับสนุนพรรคก็ผิดหวัง แล้วเมื่อผิดหวัง ใครล่ะจะไปกดดันภูมิใจไทย คนอาจมีภาวะเฉย เนือยจนไม่มีแรงกดดันที่มากพอได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องของภาคประชาชนจริงๆ

อย่างนั้นแล้ว ภาคประชาชนต้องปรับตัวอย่างไร
กลับไปที่ประเด็นเรื่องความผิดหวัง เราสามารถผิดหวังกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ได้ ทั้งความผิดหวังจากตัวพรรคประชาชน ความผิดหวังจากสิ่งที่เราเรียกว่าขบวนการฝ่ายก้าวหน้า แต่อย่าให้ความผิดหวังนั้นมปกคลุมไปในอนาคต จะอย่างไรเสีย การต้องสู้เพื่อเปิดพื้นที่ประชาธิปไตยเพื่อแก้รัฐธรรมนูญและเพื่อปรับกรอบกฎหมายต่างๆ ให้สอดคล้องกับหลังประชาธิปไตย ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องสู้ต่อไป
พรรคการเมืองจะสู้ต่อไปได้ ก็ต้องมีแรงสนับสนุนจากประชาชน ถึงเวลาเลือกตั้งก็คงต้องแสดงพลังออกไปเลือกตั้ง ส่วนตัวเรากังวลเล็กน้อยว่าตอนนี้ประชาชนอาจรู้สึกผิดหวัง จนถ้าเกิดการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ คนจะไม่ไปใช้สิทธิ เพราะที่ผ่านมา มันเป็นการเมืองแห่งความหวังและการเปลี่ยนแปลงจริง คนจึงออกไปใช้สิทธิเยอะ แต่ในเวลาแบบนี้ คยอาจสิ้นหวังกับกระบวนการเลือกตั้งไปด้วย ซึ่งเราไม่อยากให้ภาคประชาสังคมเป็นแบบนั้นเลย
นอกจากนี้ เรายังคงต้องกดดันให้รัฐบาลและแกนนำรัฐบาลทำตามสัญญา อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมารับประกันหรอก ไม่ว่าจะลงนามสัญญาอะไรก็ฉีกได้ทั้งนั้น มันไม่มีข้อผูกมัดอะไร แต่สิ่งเดียวที่จะทำให้รัฐบาลทำตามคำมั่นสัญญาได้คือแรงกดดัน ฉะนั้น ภาคประชาสังคมก็ต้องเดินไปพร้อมกัน เห็นเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาวไปพร้อมๆ กัน
เป้าหมายระยะสั้นคือการกดดันให้รัฐบาลทำตามสัญญาที่ให้ไว้ในสี่เดือน ระยะกลางคือเมื่อมีการเลือกตั้ง ก็ต้องออกไปเลือกตั้ง และระยะยาวคือทำอย่างไรให้ระบบรัฐสภามีเสถียรภาพ และหาทางจัดการอำนาจนอกระบบ ซึ่งนับเป็นโจทย์ใหญ่ของสังคม
https://www.the101.world/janjira-sombatpoonsiri-amd-new-prime-minister/