วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 27, 2561

ระบบราชการจะเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศได้จริงหรือ?





ระบบราชการจะเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศได้จริงหรือ?

ระบบราชการสมัยใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดทฤษฎีของตะวันตก ซึ่งเรายึดถือปฏิบัติมานานนับร้อยปีตั้งแต่การปฏิรูประบบราชการในปี พ.ศ.2435 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น

ในด้านหนึ่ง แนวคิดการจัดตั้งและพัฒนาระบบราชการ และการใช้ระบบราชการในการปกครองและบริหารประเทศ ปรากฎเป็นรูปเป็นร่างในจีนมานานนับพันปี อาจย้อนหลังไปได้ถึงการสถาปนาระบบราชการแบบรวมศูนย์ในรัฐฉินของซางยางในช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ตราบจนกระทั่งยุคกลางราชวงศ์หมิงในช่วงคริสตศตวรรษที่ 16 ระบบราชการของจีนก็พัฒนาจนถึงขีดสุด จนกลายเป็นรากฐานของระบบราชการในราชวงศ์ชิง ตราบจนถึงยุคหลังการปฏิวัติจีน สืบมาจนถึงปัจจุบัน

ระบบราชการในสมัยราชวงศ์หมิง ถูกจัดวางอยู่บนรากฐานความคิดที่สำคัญ คือแนวคิดจ้งเหวินชิงหวู่ (重文轻武) คือการ "เน้นบุ๋นละบู๊" หรือการให้ข้าราชการฝ่ายพลเรือนมีอำนาจกำกับ+ควบคุมข้าราชการฝ่ายทหารได้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่สืบทอดมาจากราชวงศ์ซ่งในช่วงคริสตศตวรรษที่ 10 โดยแนวคิดนี้มีหลักการสำคัญอยู่ที่การรวบอำนาจบังคับบัญชาทหารให้อยู่ที่ผู้นำสูงสุด คือฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียว ฮ่องเต้เท่าานั้นที่ทรงไว้ซึ่งอำนาจในการบังคับบัญชาทหาร ทั้งการคัดเลือก แต่งตััง ปลดนายทหาร การสั่งระดมพล เคลื่อนพล จะต้องกระทำภายใต้พระบรมราชโองการเท่านั้น

แต่ในทางปฏิบัติ สำหรับยุคสมัยที่ยังไม่มีระบบการสื่อสารทางไกลผ่านสายโทรศัพท์ โทรเลข คลื่นวิทยุ หากแม่ทัพนายกองได้รับพระบรมราชโองการให้นำทัพไปสู้กับข้าศึก จะมีอำนาจในการเคลื่อนบ้ายกำลังทหารตามสถานการณ์ในแนวหน้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างไร

ราชวงศ์หมิงในยุคต้นแก้ปัญหานี้ด้วยการตั้งขุนนางฝ่ายพลเรือน/ขุนนางฝ่ายใน(ขันที)มาทำหน้าที่เป็น "ผู้กำกับทัพ" ซึ่งเปรียบเสมือนข้าหลวงผู้แทนพระองค์ ทำหน้าที่พิจารณาอนุญาต/อนุมัติคำสั่งของผู้บัญชาการทหารแทนฮ่องเต้ ในการเคลื่อนย้ายกำลังพลในยามสงครามแทนฮ่องเต้ และขณะเดียวกันก็มีหน้าที่สอดส่องดูแลการบังคับบัญชาทหารของนายทัพแล้วรายงานต่อฮ่องเต้

ต่อมาก็พัฒนามาอีกขั้นโดยการตั้งตำแหน่งตูซือ(ผู้บังคับการทหาร)ในเขตพื้นที่มณฑลต่างๆ โดยขึ้นการบังคับบัญชากับถีตู(ผู้ว่าราชการมณฑล) ซึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายพลเรือน และฮ่องเต้จะทรงส่งผู้ตรวจการมณฑล(สวินฝู่)ไปตรวจการทั้งด้านทหารและพลเรือนในท้องที่ต่างๆเป็นครั้งคราว

ในช่วงปลายราชวงศ์หมิงก็มีการตั้งขุนนางตำแหน่ง "จ่งตู" (ผู้บัญชาการมณฑล/ข้าหลวงผู้สำเร็จราชการมณฑล) เป็นข้าราชการฝ่ายพลเรือน แต่มีอำนาจบังคับบัญชาทั้งทหารและพลเรือนในเขตมณฑลที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะมีตำแหน่งนี้อยู่ในมณฑลชายแดนที่อยู่ห่างไกล (ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิงได้เปลี่ยนขอบเขตการบังคับบัญชาของจ่งตูให้บังคับบัญชาสองมณฑลควบคู่กัน ผมจึงเปลี่ยนคำเรียกตำแหน่งนี้ในสมัยชิงเป็น "ผู้ว่าราชการสองมณฑล" ให้สอดคล้องกับขอบเขตอำนาจที่เปลี่ยนไป แต่ยังคงเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน มีอำนาจบังคับบัญชาทั้งทหารและพลเรือน)

ในส่วนกลางมีการจัดองค์กรระบบราชการทั้งกระทรวง/กรม (ปู้) มีสำนัก(ฝู่) กอง(ซือ) ต่างๆ ในการบริหารราชการแผ่นดิน มีหน่วยงานตรวจสอบการทำงานของข้าราชการทั้งหน่วยตรวจสอบการใข้อำนาจทางราชการในทางทุจริตและประพฤติมิชอบ(ตูฉาเยวี่ยน) และหน่วยตรวจสอบจริยธรรมขุนนาง(อวี้สื่อฉา) ในส่วนภูมิภาคก็มีการจัดระบบราชการโดยมีมณฑล(เสิ่ง)เป็นหน่วยการปกครองสูงสุดในส่วนภูมิภาค มีถีตู(ผู้ว่าราชการมณฑล)เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด แต่ละมณฑลก็มีส่วนราชการระดับสำนัก/กอง(ฝู่/ซือ) ทำหน้าที่เสมือนลิ่วปู้(หกกระทรวง/กรม)ในส่วนกลาง มีหัวเมืองในบังคับบัญชาหลากหลายระดับ ทั้งระดับนคร(ตู) เมือง/จังหวัด(ฝู่/ซื่อ/เฉิง/โจว) อำเภอ(เสี้ยน) และตำบล (เซียง) มีหน่วการปกครองที่เล็กที่สุดคือหมู่บ้าน(เจี่ย) ซึ่งมีนายบ้าน(หลีเจี่ย)ซึ่งเป็นคนท้องที่ที่มีอิทธิพล หรือมีบารมีเป็นที่เคารพนับถือของคนในหมู่บ้านเป็นผู้ปกครองดูแล

จะว่าไปในแง่ของระบบราชการ ราชวงศ์หมิงถือว่าได้ออกแบบระบบไว้ค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบแล้ว(และจะเห็นว่ามีหลายส่วนคล้ายกับระบบราชการปัจจุบันมาก)

แต่ปัญหาใหญ่คือ ปรัชญาความคิดที่ถูกนำมาใช้ในการบริหารราชการ และการปฏิบัติราชการของขุนนางในสมัยหมิง กลับยึดถือแนวคิดแบบลัทธิหรูเจีย (ลัทธิขงจื่อ) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ยึดถือจารีต ประเพณี ความสัมพันธ์ส่วนตัวและระบบอาวุโส มากกว่าที่จะยึดถือตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ(ซึ่งหานเฟยจื่อเคยวิจารณ์ไว้อย่างแหลมคมว่า "พวกหรูใช้บุ๋น(วิชาความรู้-หมายถึงหลักจารีตจริยธรรมในตำรา)บ่อนทำลายกฎหมาย") สิ่งนี้ก็เลยทำให้การทำงานของขุนนางขาดความเป็นมืออาชีพ ไม่สามารถแยกเรื่องส่วนตัวกับส่วนรวมได้ ดังนั้นปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ใช้อำนาจโดยมิชอบในวงราชการในสมัยหมิง จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยมิยาก แม้จะวางระบบไว้ดีเพียงใดก็ตาม

ยิ่งตั้งแต่ช่วงกลางราชวงศ์หมิง ที่รัฐต้าหมิงสมาทานแนวคิดหลี่เสวีย(ปรัชญาขงจื่อใหม่)โดยเฉพาะสำนักของจูซี และออกกฎบังคับให้บัณฑิตที่เข้าสอบเคอจวี่ หรือสอบเข้ารับราชการทุกระดับ ต้องยึดถือการตีความตามคัมภีร์ขงจื่อแบบจูซี และเขียนให้อยู่กรอบของปากู่เหวิน หรือบทความแปดตอน ห้ามขาดห้ามเกิน ห้ามตีความนอกกรอบความคิดสำนักจูซี เลยทำให้บุคลากรที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาในระบบราการนั้น นอกจากจะไม่มีความเป็นมืออาชีพเพราะยึดถือความสัมพันธ์ส่วนตัวและระบบอาวุโส(ตามกรอบคิดแบบขงจื่อ) ยังกลายเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ไม่รู้จักคิดสร้างสรรค์หรือคิดนอกกรอบ ทำให้ไม่สามารถปรับตัว ปรับแนวคิดการปฏิบัติราชการให้สอดคล้องกับถาวการณ์ที่เปลี่ยนไปได้ทันการณ์ ท้ายสุดราชวงศ์หมิงจึงอ่อนแอลงจนล่มสลายใต้เงื้อมมือกบฎชาวนา ทั้งที่ตั้งราชวงศ์ขึ้นโดยกบฎชาวนา และวางระบบไว้อย่างดีแล้วก็ตาม

หากพิเคราะห์ในแง่นี้ คำถามที่ว่า ระบบราชการจะขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศได้จริงหรือไม่ ตอบว่าได้ แต่หลักคิดปรัชญาในการขับเคลื่อนระบบราชการ และการปฏิบัติราชการของข้าราชการในระบบ ควรยึดถือแนวคิดแบบสำนักนิตินิยม(ฝ่าเจีย)ซึ่งยึดถือหลักตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ ไม่สนใจความสัมพันธ์ส่วนตัวและระบบอาวุโส ไม่สนใจว่าผู้ถูกบังคับตามกฎหมายจะเป็นผู้ใด แต่ถ้ากระทำตามที่กฎหมายบัญญัติ(ว่าควรจะได้รางวัล)ก็ควรจะได้รับรางวัล หากกระทำการในสิ่งที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าควรถูกลงโทษ ก็ต้องลงโทษทัณฑ์ตามกฎหมายบัญญัติไม่มีขัอยกเว้น เช่นนี้จึงจะเป็นพื้นฐานของความรุ่งเรืองของบ้านเมืองภายใต้การขับเคลื่อนของระบบราชการ (อาณาจักรฉินเป็นตัวอย่างอันดีของขับเคลื่อนด้วยระบบหลักการนี้ และที่ล่มสลายก็เพราะผู้มีอำนาจในเวลานั้นคือเจ้าเกาและหลี่ซือละเมิดหลักกฎหมายเสียเอง คือวางแผนฆ่าฝูซู องค์ชายใหญ่ที่สมควรเป็นรัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาล แล้วยกองค์ชายเล็กหูไฮ่ขึ้นแทน)


Worapong Keddit

...

พงศกร รอดชมภู ของไทยสะท้อนการใกล้ล่มสลายของชาติ เพราะราชการยึดถือระบบอุปถัมภ์ เหนือกว่าการสร้างความยุติธรรมตามกฎหมาย และการคัดเลือกคนเข้าทำงานหรือแต่งตั้งตามระบบคุณธรรมคือแข่งขันความรู้ทางโลก

ล้วนติดกับดักปรัชญาล้าหลัง ลัทธิ ความเชื่อ ไปจนถึงศาสนาที่ไม่สามารถแข่งขันกับใครได้ครับ

Worapong Keddit เรากำลังเดินซ้ำรอยเดียวกับราชวงศ์หมิงและชิงที่ล่มสลายไปเพราะปัญหาแบบเดียวกันนี้เลยครับท่าน นี่แหละคือสิ่งที่ผมอดวิตกไม่ได้ครับ

Worapong Keddit จริงๆปัญหาจากการยึดถือหลักคิดแบบขงจื่อในระบบราชการสมัยหมิงอีกขัอนึงที่นำมาสู่การเล่นพรรคเล่นพวก ก็คือการกราบขุนนางที่เคยเป็นพี่เลี้ยงที่สอนงานให้ขุนนางใหม่เป็นอาจารย์ครับ สิ่งนี้ทำให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวกโดยขุนนางที่ถูกกราบเป็นอาจารย์ก็จะคอยหาทางดันลูกศิษย์ตนให้มีตำแหน่งสูงๆ ลูกศิษย์ก็เลยมีหนี้บุญคุณที่ต้องชดใช้ให้อาจารย์ของตนผ่านการใช้อำนาจหน้าที่ทางราชการครับ

พงศกร รอดชมภู ระบบอุปถัมภ์ ของเราคือพวกร่วมทำมาหากิน ส่งส่วยกันมาครับ

"จาตุรนต์" เชื่อเหตุคว่ำ 7 กกต.เป็นเกมสืบทอดอำนาจ เตรียมจัดตั้ง รบ.หลังเลือกตั้ง ซัดผู้มีอำนาจอยากได้ กกต.คุมได้




"จาตุรนต์" เชื่อเหตุคว่ำ 7 กกต.เป็นเกมสืบทอดอำนาจ เตรียมจัดตั้ง รบ.หลังเลือกตั้ง ซัดผู้มีอำนาจอยากได้ กกต.คุมได้ ชี้ยิ่งยื้อเวลา ยิ่งสร้างความชอบธรรมเรียกร้อง ลต.


'จาตุรนต์' เชื่อเกมคว่ำ 7 กกต. หวังซื้อเวลา คสช.เตรียมจัดตั้งรัฐบาล


ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
25 ก.พ. 2561


เมื่อวันที่ 25 ก.พ.61 นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกฯ และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี สนช.มีมติไม่ให้ความเห็นชอบบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อเป็น กกต.ว่า เรื่องนี้อาจทำให้วันเลือกตั้งยืดออกไปอีกนาน เพราะต้องมีการสรรหา กกต.ชุดใหม่ ไม่แน่ว่าจะมีคนสนใจมาสมัครกันมากน้อยแค่ไหน แม้มีคนมาสมัครก็เป็นเรื่องยากที่ สนช.จะเห็นชอบ เพราะคุณสมบัติที่กำหนดไว้ทำให้หาคนมาเป็นได้ยาก ที่สำคัญคือคนที่ผู้มีอำนาจอยากวางตัวให้เป็น กกต.ไม่สามารถผ่านการสรรหาได้ เนื่องจากไม่ผ่านคุณสมบัติ ทำให้ กกต.ชุดที่ผ่านมาอาจไม่เป็นที่รู้จักของสังคม และไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะยอมอยู่ภายใต้การกำกับของผู้มีอำนาจ เรื่องโดยรวมยังเป็นเรื่องของการที่ผู้มีอำนาจต้องการให้มี กกต.ที่สามารถควบคุมได้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจ เพราะ กกต.ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มีอำนาจให้คุณให้โทษมาก โอกาสแข่งขันตั้งรัฐบาลระหว่างบุคคลภายนอกกับ ส.ส.จากพรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน สูสี กกต.อาจแสดงบทบาทชี้ขาดว่าใครจะได้เป็นนายกฯ ได้ การไม่เห็นชอบว่าที่ กกต.จึงสมประโยชน์ของ คสช.เพราะมีแนวโน้มจะทำให้การเลือกตั้งยืดออกไป เป็นการเพิ่มเวลาที่ คสช.จะเตรียมความพร้อมจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

เมื่อถามว่า กระบวนการสรรหาอาจสะดุดได้อีกหรือไม่ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เพราะกรรมการสรรหา กกต.มีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติและคัดเลือกบุคคล แต่ สนช.มีอำนาจหน้าที่ในการเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ถ้าเกิดมีใบสั่งมาอีกต้องเลื่อนออกไปอีก ส่วนกรณีที่กระบวนการในสภามักมีปัญหานั้น ถ้าติดตามการออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญหลายฉบับ จะพบความไม่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ เพราะการทำหน้าที่อยู่ต่อของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระก่อนรัฐธรรมนูญประกาศ มีการลักลั่นกัน กกต.เป็นแบบหนึ่ง ป.ป.ช.ก็อีกแบบหนึ่ง การเมืองโดยรวมมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่การจะทำอย่างไรให้ คสช.อยู่สืบทอดอำนาจต่อไปอีก 10-20 ปี

เมื่อถามว่า การยื้อกลไกต่างๆ จะเป็นการปลุกให้การเคลื่อนไหวเรียกร้องการเลือกตั้งมากขึ้นหรือไม่ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า มันก็ทำให้การเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งเร็ว หรือเลือกตั้งตามกำหนด มีความชอบธรรมมากขึ้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการอยู่ในอำนาจนานๆ ต่อไปของ คสช.จะเกิดการทำหน้าที่ที่เข้าตาประชาชน หรือเกิดความเสื่อม ในช่วงหลังๆ ยิ่ง คสช.อยู่นานก็ยิ่งเสื่อม เพราะฉะนั้นความไม่พอใจและการเคลื่อนไหวเรียกร้องต่างๆ อาจจะมากขึ้นและเข้มแข็งขึ้น เนื่องจากทั้งหมดเชื่อว่าเป็นเกมของ คสช.อยู่ในอำนาจนานๆ

โรดแมปการเมืองหลัง สนช.คว่ำ 7 กกต.สรรหา





โรดแมปการเมืองหลัง สนช.คว่ำ 7 กกต.สรรหา


25 ก.พ. 2018
ที่มา สำนักข่าวไทย


กรุงเทพฯ 25 ก.พ.-หลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติไม่เห็นชอบ กกต.ที่ได้รับการสรรหาทั้ง 7 คน มีการแสดงความคิดเห็นหลากหลาย รวมทั้งข้อกังวลว่า หาก กกต.ชุดปัจจุบันหยุดปฏิบัติหน้าที่จะกระทบโรดแมปการเลือกตั้ง โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญระบุว่า กฎหมายมีบทเฉพาะกาลเปิดทางให้มีการคัดเลือกผู้ที่มาทำหน้าที่แทนได้จนกว่าจะได้ผู้ดำรงตำแหน่งนี้





หลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติไม่เห็นชอบ กกต.ที่ได้รับการสรรหาทั้ง 7 คน ส่งผลให้ต้องเริ่มต้นกระบวนการสรรหาใหม่ จนมีการตั้งข้อสังเกตว่าจะกระทบโรดแมปการเลือกตั้งที่กำหนดไว้ในปีหน้าหรือไม่

แม้ยังไม่มี กกต.ชุดใหม่ แต่ กกต.ชุดปัจจุบันที่ทำหน้าที่แทนขณะนี้ ก็สามารถจัดการเลือกตั้งได้ แต่หาก กกต.ชุดปัจจุบันลาออกจนเหลือ 3 คน ก็จะขาดความเป็นองค์คณะ ประชุมไม่ได้ จึงมีคำถามต่อว่าจะยังเดินหน้าจัดการเลือกตั้งต่อไปได้หรือไม่





โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญให้คำตอบว่า ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง มาตรา 17 วรรค 3 กำหนดบทเฉพาะกาล ในกรณีที่ กกต.ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และมี กกต.เหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ให้ประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดร่วมกันแต่งตั้งบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติตามกำหนด ให้ครบ 7 คน ทำหน้าที่ กกต.ได้





ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า กรธ.กำหนดคุณสมบัติผู้ที่จะมาทำหน้าที่ กกต.สูงเกินไป โฆษก กรธ.ระบุว่า คุณสมบัติผู้ที่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ กกต.ถูกกำหนดตามรัฐธรรมนูญ หากต้องการแก้คุณสมบัติก็เท่ากับว่าต้องไปแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่ง กรธ.ออกแบบให้คนที่มีความรู้ทางกฎหมาย และไว้วางใจได้มาทำหน้าที่ กกต. เพราะต้องทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ชี้เป็นชี้ตายพรรคการเมือง กระบวนการสรรหาจึงต้องรัดกุมรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง





แต่หากกระบวนการสรรหา กกต.ยังติดขัด หลายคนมองว่ามีโอกาสที่ คสช.จะนำมาตรา 44 มาประกาศตั้ง กกต.ได้เลยหรือไม่ โฆษก กรธ.มองว่าการใช้มาตรา 44 สามารถทำได้ แต่คงไม่ถึงขั้นตั้ง กกต. เพราะนั่นเท่ากับเป็นการปรับแก้รัฐธรรมนูญ แต่อาจนำมาใช้ในการปรับกลไก ลดทอนขั้นตอนเพื่อให้กระบวนการสรรหาเดินหน้าไปได้





ตามบทเฉพาะกาลของกฎหมาย กกต. ระบุให้การสรรหาแล้วเสร็จภายใน 90 วัน กระบวนการสรรหา กกต.ใหม่ จึงน่าจะเทียบเคียงเวลาภายใน 90 วันเช่นเดียวกัน โดยจะเริ่มนับเมื่อประธานศาลฎีกาได้รับจดหมายแจ้งจากประธาน สนช.ให้ดำเนินการสรรหา จากนั้น สนช.จะตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติ ใช้เวลา 45 วัน ซึ่งตามกระบวนการจะได้ กกต.ชุดใหม่ ราวเดือนสิงหาคม





ระหว่างที่ยังไม่มี กกต.ชุดใหม่ กกต.ชุดปัจจุบันจะทำหน้าที่ต่อไป โดยไม่มีผลกระทบกับการเลือกตั้งทุกประเภท และการเลือกตั้งยังคงเป็นไปตามโรดแมปคือ เดือนกุมภาพันธ์ หรือมีนาคมปีหน้า.-สำนักข่าวไทย


วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 26, 2561

ข้อคิดแย้งฮ้าร์คอร์ ทำไมต้องเอาเลือกตั้ง กับทางเลือกใหม่ ‘ที่ดีกว่าเดิม’

น่าจะเป็นที่ยอมรับกันถ้วนหน้าในฟากประชาธิปไตยว่า การเคลื่อนไหว หรือ ‘movement’ ของคนรุ่นใหม่ในนาม คนอยากเลือกตั้ง ปีนี้นั้น เริ่มแตกกระเส็นเป็นดอกไม้ไฟ จุดประกายให้กับการสกัดกั้น คสช. ยื้อยึดอำนาจต่อไป ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

แม้นว่าจะมีกลุ่มที่เรียกตนเอง (หรือใครต่อใครตั้งชื่อให้) ว่า เสื้อแดง ฮ้าร์ดคอร์ หรือ แก่นแข็งพยายามทัดทาน “ประมาณว่าเลือกตั้งแล้วไง” ถึงชนะเลือกตั้งก็ยังมี สว.ลากตั้งค้ำคออยู่ คสช. ก็ยังครองอำนาจต่อไป ซ้ำอาจเป็นนายกฯ คนนอกด้วยซ้ำ

ผู้ใช้นาม Baramee Chaiyarat พูดแทนไว้บนเฟชบุ๊คว่า “เลือกตั้งแล้วก็กวาดล้างเผด็จการ และสร้างสรรประชาธิปไตยไง” เขาย้ำ “โดยเนื้อหาคือต้องโค่นล้มขับไล่ คสช.ได้

และถ้าไล่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นประชาธิปไตยในทันที การเสนอคำว่า ประชาธิปไตยจงเจริญ ก็เป็นการเล่นคำอีกว่า ต้องร่วมกันสร้างประชาธิปไตยขึ้นมา”

เขาคงหมายถึงการ สร้าง สิ่งที่สมบูรณ์ถูกต้องมากยิ่งกว่า ประชาธิปไตยไทยๆ แบบที่เคยมีมา “กลุ่มคนอยากเลือกตั้งก็ไม่ได้คาดหวังแค่คนเสื้อแดง ยังคาดหวังคนกลุ่มอื่นด้วย ยังคาดหวังคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อด้วย และก็ไม่ได้มองว่าจะต้องได้ชัยชนะในการชุมนุมครั้งเดียวสองครั้งด้วย”


มันสะท้อนไปถึงความคิดเห็นของคนรุ่นกลางเก่ากลางใหม่ ที่สอดประสานไปได้อย่างดีกับประกายไฟพะเนียงที่คนรุ่นใหม่กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ‘DRG’ พากันจุดขึ้นมา ในที่นี้ใคร่เอ่ยถึงสองท่าน

หมอเลี้ยบ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสมัยรัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้ข้อคิดไว้ว่า คนหนุ่มสาวควรตั้งพรรคการเมือง ใหม่ของตนขึ้นมา โดยการขับเคลื่อนของคนรุ่นใหม่ “เพื่อนำพาสังคมไทยไปสู่อนาคตที่พวกเขาใฝ่ฝัน”

หมอเลี้ยบยกตัวอย่างการก่อเกิดในลักษณะเดียวกับพรรคไทยรักไทย ที่ “เปลี่ยนการเมืองไทยและสังคมไทยในทศวรรษ ๒๕๔๐ โดยสิ้นเชิง” แต่ไม่ใช่ให้พรรคไทยรักไทยเมื่อปี ๒๕๔๔ กลับมาเสนอตัวรับเลือกตั้งในปี ๖๑ หรือ ๖๒ ใหม่

“เพราะระบบนิเวศของสังคมเมื่อเกือบ ๒๐ ปีที่แล้วกับปัจจุบันนี้แตกต่างกันมาก” เนื่องจาก “คนหนุ่มสาววันนี้รับแรงกดดันจากปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาส

ความบีบคั้นจากการแข่งขันและเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI, Blockchain, IOT, EV ฯลฯ กำลังรื้อถอนสิ่งที่เขาเคยชินอย่างดุดันด้วยความเร็วแบบยกกำลัง ส่งผลให้เขาเหล่านั้นเรียกร้องหาพรรคการเมืองที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่นี้ ซึ่งแน่นอน...พรรคไทยรักไทยยุค ๒๕๔๔ ทำไม่ได้”

หมอเลี้ยบยังแนะอีกว่า “พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคการเมืองอื่นๆ ที่อาสาเข้ามาบริหารประเทศในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อรับความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแค่การซ่อม (Fix), ปรับปรุง (Renovate) หรือใหญ่ขนาด รื้อถอน (Disrupt) ก็ตาม”
หมอเลี้ยบยกเอาคำของ อจ.ปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการกฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาเสนอไว้เป็นข้อคิด เช่น “การเมืองเป็นเรื่องของเรา หากเราไม่ทำคนอื่นก็จะเข้ามาทำ” แน่ๆ

“หากเราต้องการให้การเมืองเป็นแบบใด เราต้องลงมือทำเอง เราต้องสร้าง ทางเลือกใหม่ ให้สำเร็จให้จงได้ ทางเลือกใหม่อาจไม่ชนะในวันนี้ แต่อย่างน้อยต้องทำให้ผู้คนมี ความหวัง กับการเมือง...

การเมืองแบบใหม่ ประชาชนสร้างได้”


ขณะที่ ดร.ปิยบุตรเองก็ได้เขียนเอาไว้หลายครั้งเกี่ยวกับความหวังที่คนรุ่นใหม่จะสร้างการเมืองทันสมัย ตอบสนองความต้องการของคนหนุ่มสาวเวลานี้ และปูรากฐานให้กับการปกครองในศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ อันเป็นสากล ซึ่งเคารพในสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนเป็นเอกอุ

อย่างเช่นประเด็นที่ว่า ความสำคัญของการตั้งพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ใหม่ อยู่ที่การสร้าง ทางเลือก ให้กับสังคมได้รับรู้ว่ามีทางเลือกใหม่ ที่ดีกว่าเดิม ในขณะที่นอกจากจะเสนอทางเลือกใหม่แล้ว “พวกเขายังสามารถอธิบายได้ว่า หากยังเลือกทางเลือกแบบเดิมๆ อะไรจะเกิดขึ้นตามมา”

นั่นเป็นส่วนที่ ดร.ปิยบุตรเอ่ยถึงคำของ Íñigo Errejón นักวิชาการรัฐศาสตร์ชาวสเปน รองหัวหน้าพรรคโพเดโมสฝ่ายซ้าย ได้กล่าวไว้ระหว่างร่วมเสวนาที่อาร์เจ็นติน่าเมื่อสิงหาคม ๒๕๖๐ ว่า
 
“การแพ้การเลือกตั้งเป็นเรื่องปกติอย่าไปกังวล แน่นอนเมื่อเราตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาก็หวังว่าจะชนะเลือกตั้ง เพื่อผลักดันความคิดและนโยบายให้สำเร็จ

แต่ถ้าหากแพ้การเลือกตั้ง ก็ไม่ต้องท้อถอย การแพ้การเลือกตั้งไม่ใช่การแพ้สงครามทางการเมือง ตรงกันข้าม มันทำให้เรารู้ว่าเรายังขาดประชาชนมาสนับสนุนอีกเท่าไร เพื่อที่จะลงมือทำงานหนักต่อไป”


และที่น่าใส่ใจยิ่งกว่านั้นเป็นตอนที่กล่าวถึงข้อผิดพลาดของฝ่ายซ้ายดั้งเดิม (พอจะเทียบเคียงกับพวกฮ้าร์ดคอร์ ได้ไหม) ก็คือ ชวนฝันเรื่องปฏิวัติทุกวันทุกเวลา” หมายถึงผู้นำทางการเมืองและผู้นำทางความคิดในการเปลี่ยนแปลงประเทศ

“แต่ต้องยอมรับว่า ประชาชนคนทั่วไปไม่มีใครฝันถึงปฏิวัติทุกวัน ประชาชนคนทั่วไปต่างหาเช้ากินค่ำ ต้องดำเนินชีิวิตประจำวัน หากฝ่ายซ้ายดั้งเดิมพูดแต่ ปฏิวัติๆๆๆ คงไม่สามารถเอาชนะใจคนได้”

หลักคิดและอุดมการณ์จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นการกระทำ เช่นเดียวกับประชาธิปไตยที่กินได้ นั่นคือ “เราต้องลงไปทำงานกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง วาดฝันอนาคตใหม่ ชี้ชวนให้เขาเห็นถึงอันตรายผลร้ายที่จะเกิดขึ้นหากให้พรรคเดิมครองอำนาจ”

ดังที่ พริษฐ์ ชิวารักษ์ ชลธิชา แจ้งเร็ว กาณฑ์ พงษ์ประพันธ์ ณัฏฐา มหัทธนา สกฤษณ์ เพียรสุวรรณ สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ รังสิมันต์ โรม และอีกหลายๆ คน กำลังทำกันอยู่

"เหตุการณ์ที่ดอนเมืองในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่เกี่ยวข้องกับสล้าง บุนนาค และป๋วย อึ๊งภากรณ์ จาก "บันทึกความรุนแรงและรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519" ของป๋วย อึ๊งภากรณ์





เหตุการณ์ที่ดอนเมืองในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่เกี่ยวข้องกับสล้าง บุนนาค และป๋วย อึ๊งภากรณ์ จาก "บันทึกความรุนแรงและรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519" ของป๋วย อึ๊งภากรณ์ ข้อ 33 วรรค 3

"32. ในตอนบ่ายมีเพื่อนฝูง อาจารย์หลายคน แนะให้ผู้เขียนเดินทางออกไปจากประเทศไทยเสีย ยานเกราะก็ดี ใบปลิวก็ดี ได้ยุยงให้มีการลงประชาทัณฑ์อธิการบดีธรรมศาสตร์ ในฐานที่เป็นผู้ยุยงส่งเสริมนักศึกษาให้ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้เขียนเห็นว่าอยู่ไปก็ไม่เป็นประโยชน์ ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ระวังกระสุน จึงตัดสินใจว่าจะไปอยู่กัวลาลัมเปอร์ ดูเหตุการณ์สักพักหนึ่งเพราะขณะนั้นยังไม่มีการรัฐประหาร

33. เครื่องบินไปกัวลาลัมเปอร์จะออกเวลา 18.15 น. ผู้เขียนได้ไปที่ดอนเมืองก่อนเวลาเล็กน้อย ปรากฏว่าเครื่องบินเสีย ต้องเลื่อนเวลาไป 1 ชั่วโมง จึงนั่งคอยในห้องผู้โดยสารขาออก

ต่อมาปรากฏว่ามีผู้เห็นผู้เขียน นำความไปบอกยานเกราะ ยานเกราะจึงประกาศให้มีการจับกุมผู้เขียน และยุให้ลูกเสือชาวบ้านไปชุมนุมที่ดอนเมือง ขัดขวางมิให้ผู้เขียนออกเดินทางไป

เวลาประมาณ 18.15 น. ได้มีตำรวจชั้นนายพันโทตรงเข้ามาจับผู้เขียน โดยที่กำลังพูดโทรศัพท์อยู่ ได้ใช้กิริยาหยาบคาย ตบหูโทรศัพท์ร่วงไป และบริภาษผู้เขียนต่างๆนานา บอกว่าจะจับไปหาอธิบดีกรมตำรวจ ผู้เขียนก็มิได้ตอบโต้ประการใด เดินตามนายตำรวจนั้นออกมา

บรรดา สห. ทหารอากาศ และตำรวจกองตรวจคนเข้าเมืองได้ออกความเห็นว่า ไม่ควรนำตัวผู้เขียนออกไปทางด้านห้องผู้โดยสารขาออกเพราะมีลูกเสือชาวบ้านอู่เป็นจำนวนมาก เกรงว่าจะมีการทำร้ายขึ้น จึงขออนุญาตทางกองทัพอากาศจะขอนำออกทางสนามกอล์ฟกองทัพอากาศ

ระหว่างที่คอยคำสั่งอนุญาตนั้น ตำรวจทั้งหลายได้คุมตัวผู้เขียนไปกักอยู่ในห้องกองตรวจคนเข้าเมืองทางด้านผู้โดยสารขาเข้า

34. เมื่อถูกกักตัวอยู่นั้น ตำรวจกองปราบฯได้ค้นตัวผู้เขียนก็ไม่เห็นมีอาวุธแต่อย่างใด มีสมุดพกอยู่เล่มหนึ่งเข้าก็เอาไปตรวจและกำลังอ่านหนังสือ Father Brown ของ G.K. Chesterton อยู่เขาก็เอาไปตรวจ กระเป๋าเดินทางก็ตรวจจนหมดสิ้น

35. นั่งคอยคำสั่งให้เอตัวไปคุมขังอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างนั้นได้ทราบและว่ามีการปฏิวัติรัฐประหารขึ้น ก็นึกกังวลใจว่าเพื่อนฝูงจะถูกใส่ความได้รับอันตรายหลายคน ส่วนตัวของตัวเองนั้นก็ปลงตกว่า แม้ชีวิตจะรอดไปได้ก็คงต้องเจ็บตัว

ประมาณ 20 น. ตำรวจมาแจ้งว่าสมีคำสั่งจากเบื้องบนให้ปล่อยตัวได้ และให้เจ้าหน้าที่จัดหาเครื่องบินให้ออกเดินทางไปต่างประเทศ"

ที่มา FB

ooo





#ถึงตายแล้ว_แต่คนตุลาหลายคนก็ยังไม่ลืม

"สล้าง บุนนาค" เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 1976 "ได้รับคำสั่ง" ให้ไปปฏิบัติการที่สำคัญ หลังจากที่กลุ่มฝ่ายขวาเสร็จสิ้น "การฆ่าฟันนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์" สถานีวิทยุยานเกราะ ก็ได้สั่งการต่อให้กลุ่มลูกเสือชาวบ้านเดินทางไปที่สนามบินดอนเมือง เพื่อทำร้าย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ แต่เจ้าหน้าที่สนามบินไม่ให้เข้าไป
อย่างไรก็ตาม
สล้าง ได้เดินทางไปที่ดอนเมืองตามคำสั่งของสถานีวิทยุยานเกราะ โดยที่ไม่ได้รับคำสั่งจากกรมตำรวจ
สล้าง ได้เข้าไปด่าว่า ดร.ป๋วย ขณะที่พูดโทรศัพท์อยู่ และตบหู จนโทรศัพท์ออกจากมือของ ดร. ป๋วย


Sa-nguan Khumrungroj


Thailand's culture of impunity for the powerful causes backlash - สื่อญี่ปุ่น มองคดี นาฬิกาหรู-ล่าเสือดำ บ่งชี้ชนชั้นนำไทยทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย




สื่อญี่ปุ่น มองคดี นาฬิกาหรู-ล่าเสือดำ บ่งชี้ชนชั้นนำไทยทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย


ที่มา Hilight Kapook.com


สำนักข่าวนิกเคอิ ยกคดี นาฬิกาหรู-ล่าเสือดำ และบิ๊ก ตร.ยืมเงินเสี่ยกำพล 300 ล้าน บ่งชี้ชนชั้นนำไทยทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย สุดท้ายก็เอาผิดใครไม่ได้


วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 สำนักข่าวนิกเคอิ สื่อชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น รายงานข่าว คดีนาฬิกาหรูของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งสื่อต่างประเทศขนานนามว่า "นายพลโรเล็กซ์" ได้นำมาซึ่งกระแสตื่นตัวต่อสังคมที่ออกมาโจมตีให้เหล่าผู้มีอำนาจที่กระทำผิดลาออกจากตำแหน่ง หรือตั้งคำถามว่าสมควรได้รับโทษหรือไม่





ขณะเดียวกัน สื่อดังกล่าวยังกล่าวถึงกรณีที่คล้ายคลึงกัน ทั้งคดีที่ พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืมเงินเจ้าของธุรกิจอาบอบนวดเป็นเงิน 300 ล้านบาท และคดีที่ นายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานบริหารบริษัทอิตาเลียน-ไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ถูกจับในข้อหาล่าสัตว์ป่าคุ้มครองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ซึ่งถือเป็นกรณีที่มีบางอย่างคล้ายคลึงกัน

สื่อจากญี่ปุ่น มองว่า 3 คดีดังกล่าว เป็นการแสดงให้เห็นว่า หากผู้ที่กระทำความผิดในไทยนั้นมีอิทธิพลหรือเป็นมหาเศรษฐี ก็มักจะได้รับสิทธิพิเศษในกระบวนการยุติธรรม เช่นเดียวกับเหล่าลูกหลานของอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้ ก็มีพฤติกรรมทำตัวเหนือกฎหมายด้วยเช่นกัน แม้บางคดีจะเกี่ยวเนื่องกับการเสียชีวิตของบุคคลอื่นก็ตาม

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นิกเกอิ ได้สัมภาษณ์ นายคิงส์ลีย์ แอบบอตต์ ที่ปรึกษากฎหมายอาวุโสของ International Commission of Jurists หรือ ICJ องค์กรระหว่างประเทศด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน โดยนายแอบบอตต์ กล่าวว่า วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดหยั่งรากลึกมานานในสังคมไทย และไม่ใช่แค่เรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับผู้กระทำผิดที่มีเงินหรือมีอำนาจมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการที่กระบวนการยุติธรรมดูจะยืดยาวไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับบางคดี จนทำให้สุดท้ายไม่มีผู้ถูกลงโทษแต่อย่างใด

ภาพจาก คนอนุรักษ์


ooo


Thailand's culture of impunity for the powerful causes backlash


A retired general's taste for expensive watches and bling stirs open public criticism


By MARWAAN MACAN-MARKAR, Asia regional correspondent
Nikkei Asian Review
February 21, 2018



Prime Minister Prayuth Chan-ocha, right, leaves Government House with Prawit Wongsuwan, his embattled deputy with expensive tastes in watches and jewelry. © Reuters


BANGKOK -- With its political future in the balance, Thailand's military government is digging in to protect one of its key figures, Prawit Wongsuwan, the deputy prime minister and defense minister who is among three prominent figures who have openly flouted laws. Public opinion is against them, but it remains to be seen if they will be held accountable for their actions.

The junta's portly second in command landed himself in hot water after evidently failing to declare among his assets a collection of 25 premium wrist watches worth some $1 million. Prawit's expensive tastes were exposed in December by an observant Thai Facebook user.

Prime Minister Prayuth Chan-ocha has not wavered in his support for the senior retired general -- both men are former army chiefs. The scandal places Prayuth in a difficult position as he courts public support to remain in power. An overdue general election has still not been scheduled.

Prawit has claimed the extravagant timepieces were loans from a deceased friend, but the brazen display of watches and rings has sparked outrage on social media. The furore suggests patience with the regime that seized power through a coup in 2014 is waning.

By Feb. 16, the start of Chinese New Year, an online petition calling for Prawit's removal had garnered 80,000 signatures. Cartoonists have openly lampooned him, and one columnist dubbed him the "Rolex General." The waves of ridicule have washed away the junta's claims to moral authority, a justification often cited by the military for staging coups and clinging to power.



CSI LA posted on Facebook photographs of Deputy Prime Minister Prawit Wongsuwon wearing a large number of luxury watches. (Photo by Takaki Kashiwabara)


The private habits of two other rich and famous men have also come under scrutiny. One is Somyot Poompanmpoung, a former national police chief, who admitted borrowing 300 million baht ($9.5 million) from a Bangkok brothel owner while he was still a serving officer. "We are friends and of course friends do help each other," he explained. Surveys have revealed the public is not impressed.

The other is business tycoon Premchai Karnasuta, president of Italian-Thai Development, a listed company and the country's largest construction conglomerate. Premchai was arrested this month leading a hunting party inside a national park. The kills in the protected forest included an endangered black leopard. Premchai is ranked by Forbes magazine among Thailand's richest. He has dropped from sight since the incident to the consternation of environmentalists. Police have threatened to issue an arrest warrant if he misses an appearance in court on Mar. 26.

The three cases support a common perception that the country's rich and famous are untouchable, and enjoy special treatment in the justice system. Sons and daughters of tycoons, the well-heeled, and influential public officials have frequently been held above the law, even when deaths have occurred.

According to Kingsley Abbott, a senior international legal adviser at the International Commission of Jurists, a global watchdog, this culture of impunity goes back many years in Thailand, and extends beyond police simply failing to arrest high-profile perpetrators. "Certain investigations have seemingly perpetual status -- of being 'ongoing,' sometimes for years, without anyone ever being held accountable," he told the Nikkei Asian Review.

Until recently, Bangkok's politically influential middle class, which largely backed the 2014 coup, acquiesced to this traditional throwback in the police and judiciary. There were, for example, only grumbles after a senior military figure was linked to corruption in the development of a park commissioned by the junta to honour former Thai monarchs.

According to Transparency International, corruption also continues to prosper in Thailand. In 2017, the anti-graft watchdog, ranked Thailand at 101 among 175 countries it had surveyed, a significant drop from 76 in 2015.

A new survey pours cold water on the idea that the junta can tackle corruption more effectively than elected governments. Conducted in December by the University of the Thai Chamber of Commerce, it concludes that graft and under-the-table payments for state projects have gobbled 25-30% of the state investment budget -- over 676 billion baht. Some foreign investors have meanwhile admitted to NAR that they paid up to 30% of a project's estimated value to win official approval.

Press commentaries have increasingly reflected the recent change in the political current, and openly question the junta's claims of moral authority to mask its lack of electoral legitimacy. The Prayuth government is "morally bankrupt," wrote Thitinan Pongsudhirak, a political scientist at Chulalongkorn University, in an op-ed last week in the Bangkok Post, an English language daily. The scandals have eroded whatever remains of the military government's credibility and legitimacy, he said. The Prawit scandal is "the last straw in a long line of other graft scandals since the coup."

Military insiders expect Prayuth to stand by Prawit. The traditional military contention is that "soldiers love and protect the country more than civilians." There is also an esprit de corps among senior officers. "The military mentality is to stay together and not cut your buddy loose," a military insider told NAR. "But if one goes, they will fall like dominoes."

กล้าคิด กล้าพูด [EP.2] - ทำไมต้องเลือกตั้ง?




https://www.facebook.com/sukguproduction/videos/1812624362121933/


แชร์ Human rights photos — มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


































ที่มา FB

Kittybo Pantapak

ooo




..







เมื่อวานผมขึ้นปราศรัยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถึงเหตุผลที่เราเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ในทัศนะของผมการเลือกตั้งจะต้องมีขึ้นภายในปีนี้เพราะ

1. เมื่อเรามีการเลือกตั้งและได้คณะรัฐมนตรีใหม่ จะทำให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สิ้นสภาพลงทันที ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 265 นี่คือ “ก้าวแรก” ในการหยุดการใช้อำนาจเผด็จการทหาร

2. การเลือกตั้งเพื่อให้ได้รัฐบาลใหม่ยังไม่พอ เราต้องช่วยกันเลือก ส.ส. และพรรคการเมืองที่มีนโยบายในการหยุดการใช้อำนาจตามประกาศคำสั่งของคสช. ด้วย นั่นคือเราต้องช่วยกันเลือกตัวแทนของพวกเราเข้าไปยกเลิกบรรดาประกาศคำสั่งที่ คสช. ออกมาก่อนหน้านี้ให้หมดไปจากระบบการเมืองไทย ร่วมกันกดดันให้บรรดาพรรคการเมืองร่วมกันแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญที่เป็นเผด็จการให้กลับมาเป็นประชาธิปไตย และให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มากขึ้น

“การเลือกตั้ง” จึงเป็นส่วนหนึ่งของการหยุดการสืบทอดอำนาจเผด็จการและถือเป็นบันไดก้าวที่สำคัญยิ่งในการที่จะบรรลุเป้าหมายคือการคืนประชาธิปไตยให้กับประเทศ



อานนท์ นำภา

#คลิบ เปิดนาที พล.ต.อ.สล้าง ปีนกระจกกั้น กระโดดลงจากชั้น 7 ห้างดัง ดับสลด + จดหมายของ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค




#คลิบ เปิดนาที พล.ต.อ.สล้าง ปีนกระจกกั้น กระโดดลงจากชั้น 7 ห้างดัง ดับสลด

25 ก.พ. สภ.ปากเกร็ด นนทบุรี แจ้งเหตุชายพลักตกจากที่สูง ภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่าน แจ้งวัฒนะ รับแจ้งเหตุวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 เวลาประมาณ 11.30 น. พบผู้เสียชีวิต คือ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อายุ 81 ปี อยู่หมู่ 5 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ โดยพนักงานสอบสวนได้รับแจ้งเหตุชายพลัดตกจากที่สูง ภายในห้างสรรพสินค้า จึงเดินทางตรวจสถานที่เกิดเหตุ เมื่อเดินทางถึงสถานที่เกิดเหตุ พบว่าเจ้าหน้าที่นำส่ง รพ.ชลประทาน

จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ตรวจสอบกล้องวงจรปิด และสอบปากคำพยาน น.ส.วาสนา กราดทั่ง พยานที่เห็นเหตุการณ์ พบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียชีวิตเดินอยู่บนชั้น 7 ตามปกติ จากนั้นได้เดินไปที่กระจกทางกั้น จากนั้นได้ปีนข้ามและพลัดตกลงไปที่ร้าน Krispy Kreme (ชั้น 1) จากนั้นเจ้าหน้าที่ห้างสรรพสินค้าได้ช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลชลประทาน โดยได้ตรวจสอบเอกสารของชายคนดังกล่าว ไม่พบเอกสารยืนยันตัวบุคคล และพบกระดาษเขียนด้วยลายมือ ปรากฏข้อความลาตาย ลงชื่อ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นพยานหลักฐาน

ทั้งนี้ได้ปรากฏภาพวงจรปิดระหว่างเกิดเหตุซึ่งพบว่า พล.ต.อ.สล้าง ได้เดินมาบริเวณชั้น 7 ก่อนที่จะปีนกระจกกั้นเพื่อกระโดดลงไปต่อหน้าคนที่เดินอยู่ในห้างดังกล่าว

ขอบคุณคลิป : มติชน

...

จดหมายของ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค 

ร้านกาแฟชั้นบน
เพื่อนๆลูกหลานที่รัก

พ่ออยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี ขอจากไปอย่างเกิดประโยชน์ ขอให้ทุกคนที่ทราบเรื่อง ช่วยกันคัดค้าน

รางคู่ขนาด 1.000 ม.
รถไฟฟ้ายกระดับ
ผลักดันให้สร้างถนน AUTO BAHN
ช่วยกันทำหนังสือนี้แจกกันให้มากๆ
พ่อนับ 1-1,000 แล้ว วิธีการนี้ จะเป็นประโยชน์

ขอให้คนที่รักทุกคนด้วย

พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค
อย่าตำหนิ ขอให้ภูมิใจ
ถ้าไม่ทำอย่างนี้จะไม่มีใครรู้เรื่อง

“งานพิธี พ่อขอแต่งชุดสากล รูป เครื่องแบบปกติสีกากี เอาทั้งปกหนังสือ ขอร้องให้พิมพ์เอกสารนี้แจกจ่าย เพื่อประชาชนจะได้ทราบและเรียกร้องสิทธิของตนเอง”

สล้าง บุนนาค กับ 6 ตุลา





สล้าง บุนนาค กับ 6 ตุลา

เท่าที่ผมอ่านจดหมายฆ่าตัวตายของคุณสล้าง สรุปว่า คุณสล้างรู้ตัวว่าจะมีชีวิตอีกไม่ถึง 2 ปี จึงฆ่าตัวตาย เพื่อหวังจะผลักดันประเด็นเกี่ยวกับระบบทางด่วนแบบเยอรมัน (ที่เรียกกันว่า Autobahn) และเรื่องขนาดรางคู่ของรถไฟฟ้า (ไม่แน่ใจจากตัวจดหมายว่า คุณสล้างคิดในแง่ว่า ต้องการให้เป็นประเด็นว่า "ฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องประเด็นเหล่านี้" หรือว่า จริงๆ เพียงแต่คิดในแง่ว่า ถ้าเขาฆ่าตัวตาย พร้อมแสดงความเห็นเรียกร้องในกรณีเหล่านี้ อาจจะทำให้คนสะเทือนใจ ร่วมผลักดัน)

ภาพจดหมายฆ่าตัวตายเอามาจาก "มิตรสหายท่านหนึ่ง" ขอขอบคุณ

....................

ข้างล่างนี้* ผมโพสต์บางตอนของบทความผม "ใครเป็นใครในกรณี 6 ตุลา" ที่รวมอยู่ในหนังสือ "ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง" ส่วนที่ผมเขียนถึงบทบาทของสล้างในเหตุการณ์ 6 ตุลา รวมถึงกรณีว่า สล้างมีการ "ตบ" โทรศัพท์จากมือ ป๋วย หรือไม่ และถ้าทำเพราะอะไร

เฉพาะกรณีนั้น ป๋วยเล่าในบันทึกหลังหตุการณ์ไม่นานว่า สล้างแสดงกิริยาหยาบคาย ตบโทรศัพท์จากมือ และบริภาษเขา

ในปี 2534 สล้าง นำเสนอเวอร์ชั่นของเขา ทำนองว่า เขาไป "ปัด" โทรศัพท์จากมือป๋วย แต่ทั้งหมดที่ทำไปเป็นการเล่นละคร หลัง "ปัด" โทรศัพท์ เขาพาป๋วยเข้าไปในห้องแล้วกราบป๋วย อธิบายให้ฟัง

ผมได้วิเคราะห์แยกแยะให้เห็นว่า สล้างโกหก พูดกลับไปกลับมา เวอร์ชั่นปี 2534 ที่ว่าเล่นละครให้คนอื่นดูแล้วกราบป๋วยทีหลัง เชื่อไม่ได้

จริงๆแล้ว สล้างโกหกเกี่ยวกับบทบาทของเขาในกรณี 6 ตุลา หลายเรื่อง พูดโกหกในลักษณะมั่วต่อศาลทหาร แม้แต่เรื่อง "พบอาจารย์ธรรมศาสตร์ 3 คน" ที่สนามหลวง (ในคำให้การต่อเจ้าพนักงานสอบสวน ที่มีการเปิดเผยเมื่อเร็วๆนี้ และมติชนนำมาเผยแพร่ซ้ำหลังการฆ่าตัวตาย สล้างเล่าเรื่อง "อาจารย์ธรรมศาสตร์" ได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวหน่อย ดู https://goo.gl/oXT3Va แสดงว่า เขาพูดมั่วในศาลทหาร)

ในบทความ ผมยังชี้ให้เห็นว่า สล้าง "วิ่งรอก" ทั้งวันในวันที่ 6 ตุลา ในลักษณะที่เห็นได้ชัดว่า เขาไม่ใช่เพียงแค่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่ง ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่เป็นกำลังหลักสำคัญของพลังขวาจัดที่ระดมกันออกมาเพื่อ "ปราบนักศึกษาใน มธ. ให้สิ้นซาก" (คำของเจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน กำลังสำคัญของพวกนี้อีกคนหนึ่ง)

....................

* เพิ่มเติม: ผมเพิ่งจำได้ (ขอบคุณมิตรสหายที่เตือน) ว่า บทความ "ใครเป็นใครในกรณี 6 ตุลา" ของผม รวมทั้งตอนที่ว่าด้วยบทบาทสล้าง มีเอาขึ้นเว็บด้วย ใครสนใจหรือสะดวกจะอ่านจากเว็บ ที่นี่ครับ เขาแบ่งโพสต์เป็นตอนๆ ดูหัวข้อด้านซ้ายมือของจอ https://goo.gl/NWAvF2



Somsak Jeamteerasakul added 5 new photos.

ooo




หลายปีก่อน มิตรสหายท่านหนึ่งเคยขอให้ผมไปพบพล.ต.อ.สล้าง บุนนาค

แน่นอนว่าในหัวผมมี 2 เรื่องที่จดจำได้เกี่ยวกับนายตำรวจผู้นี้ คือ เรื่อง อ.ป๋วยในเหตุการณ์ที่สนามบินดอนเมืองช่วง 6 ตค และเรื่องที่แกอาสาจะบุกทำเนียบโดยใช้กองกำลังไปจัดการกับ พธม ที่ยึดไว้

ผมไปพบแกที่บ้าน ซึ่งปรับพื้นที่เป็นที่ทำงานเกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูง ผมได้พบกับอดีตอัยการคนหนึ่ง อดีต อ.มหิดล อีกท่านหนึ่ง ทั้งสองเป็นคนที่ผมเคยรู้จักส่วนตัว ซึ่งมีหน้าที่ศึกษาทั้งด้านข้อกฏหมายและรวบรวมข้อมูลทางเทคนิคเพื่ออธิบายว่าทำไมประเทศไทยควรเปลี่ยนระบบรางรถไฟจากขนาด 1 เมตรมาเป็นขนาด 1.435 เมตร ผมเห็นความดื่มด่ำในเรื่องนี้ของแกชนิดที่ทำให้ผมงงว่านี่แกไปรับงานผลักดันโปรเจคนี้มาจากใคร หรือเป็นความคลั่งไคล้ส่วนตัวที่แกมีต่อประเด็นนี้ ไม่นานจากนั้นผมมีโอกาสกินกาแฟพูดคุยกับ อ.พันศักดิ์ วิญญรัตน์ คนที่เป็นคีย์แมนสำคัญในเรื่องรถไฟความเร็วสูงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งสองมีความคลั่งใคล้ในเรื่องรถไฟความเร็วสูงในระดับที่เหมือนกัน

จดหมายลาตายของ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ที่ระบุเกี่ยวกับการยกเลิกระบบราง 1 เมตรนั้น ทำให้ผมต้องเขียนเล่าเรื่องนี้

แน่นอนว่าการที่ผมพบแกครั้งนั้น(เพียงครั้งเดียว) ผมได้มีโอกาสพูดคุยเรื่องทางการเมืองอยู่บ้าง นั้นคือเหตุการณ์ที่สนามบินดอนเมือง ที่แกไปตบหน้า อ.ป๋วย แกอธิบายว่าแกทำไปเพื่อช่วย อ.ป๋วย เพราะขณะนั้นหากแกไม่ทำเช่นนั้น พวกกระทิงแดงคงไม่ยอมปล่อยตัว อ.ป๋วยไป คือแกพูดในลักษณะการเล่นละครตบตากระทิงแดง ซึ่งยากที่ลูกศิษย์อ.ป๋วยท่านใดจะยอมเชื่อเหตุผลนี้

ก่อนกลับแกบอกผมว่า สายตาคุณเหมือนคนที่มีอุดมการณ์คนหนึ่งที่ผมรู้จักตอนที่เขาเป็นนักข่าวตอนหนุ่มๆ สนธิ ลิ้มทองกุล แล้วแกก็เตือนผมที่นั่งไขว้ห้างกระดิกเท้า ผมอธิบายว่ายุงมันเยอะและขออภัย


สมบัติ บุญงามอนงค์

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 25, 2561

เพราะประยุทธ์สับปรับ 'จมูกยาว’ จึงถึงคราวคนรุ่นใหม่ต้องออกมาไล่

ความที่มูมมาม หมายอยู่ยาวอีกสี่ซ้าห้าปี ทั้งที่อยู่มาแล้วเกือบสี่ปียังไม่ เสียของ แต่ได้นาฬิกา ๒๕ เรือน เงินเดือนคนละสิบล้าน เลยทำให้ฟากประชาชนคนรุ่นใหม่ไม่ต้องการเสียของเหมือนกัน

พวก อยากเลือกตั้ง เขาเลยไปจัดรายการ ปากปราศรัย น้ำใจเชือดเผด็จการกันที่ลานโพธิ์ ท่าพระจันทร์ แถมภายในงานมีตลาดนัด ช้อปช่วยทาส’ อีกด้วย ทว่าสาระสำคัญอยู่ที่คนรุ่นใหม่ออกมาเรียกร้องเลือกตั้งปีนี้ ไม่เอาปีไหน ไม่รอยืดยาด

แล้วเขาทำกันได้ดีอย่างที่ อจ.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ว่า “นี่คือสิ่งที่อยากเห็นมานานแล้ว และก็ได้เห็น” มิหนำซ้ำยัง “มีพัฒนาการอย่างใหม่ ที่สำคัญตั้งเวทีปราศรัย จัดรายการสลับ

มี นักปราศรัย-ดาวไฮด์ปาร์ค รุ่นใหม่หลายคนน่าประทับใจมาก ปราศรัยได้เป็นระบบ มีข้อมูลชัดเจน หนักแน่น มีพลัง เชือดเฉือน เร้าใจ เป็นแม่เหล็กดึงดูดคนฟังมีความรู้สึกร่วม มีกิจกรรมร่วม (เช่น สวมหน้ากาก) ได้ทั้งความรู้และกำลังใจ”


นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ขึ้นกล่าวปราศรัยว่า การปะทะครั้งนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าที่อยู่ในสภา จะเห็นได้ว่าในคสช.และสนช.ไม่มีคนรุ่นใหม่เลย อนาคตเราไม่มี เพราะเขาไม่ได้เข้ามาสร้างอนาคต เขาฝืนธรรมชาติเพราะกลัวว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เรากำลังสู้กับศัตรูของประชาชน เขาไม่ยอมให้เรามีชีวิตที่ดีกว่านี้ แต่เราจะเอาคุณภาพชีวิตของเรากลับคืนมา”
 
และนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิวอภิปรายว่า สี่ปีแล้วที่ คสช. กัดกินประเทศชาติมา ข้อเรียกร้องเราวันนี้เป็นขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย คือการเลือกตั้งภายในปีนี้ อันเป็นสิทธิ์ที่ประชาชนพึงมีพึงได้เสมอมา
โดยคสช.บอกว่าขอเวลาไม่นาน หลายคนบอกว่าเลือกตั้งไปแล้วไม่ได้อะไร แต่อยากถามว่าอยากจะอยู่กับคสช.ไปอีกชาติหนึ่งเหรอ
การเลือกตั้งจะนำประชาชนออกจากเผด็จการไปสู่ทางเลือกที่ดีกว่า ไม่ใช่ให้แม่น้ำห้าสายมาเลือกแทน ถ้านับการโกหกของพล.อ.ประยุทธ์และคณะคสช. จมูกคงทะลุไปดาวอังคารแล้ว” 
เป็นประเด็นควรคิดตามการ์ตูนฝรั่งเรื่อง พิน็อคคิโอที่ชอบโกหกเพื่อให้ตัวเองได้ แบบเดียวกับหัวหน้า คสช. ไม่มีผิด โกหกทีไรจมูกก็ยาวออกไป
พวกเขาถึงได้ทำหน้ากาก ประยุทธ์จมูกยาวออกมาเตือนว่าคนแบบนี้เชื่อได้ไหม เป็นแบบนี้มากี่ปีแล้ว พูดปดด้วยความเคยชินที่ได้รับการอบรมสั่งสอนกันมา
บีบีซีไทยเขาเก็บข้อมูลสถิติไว้มานำเสนอเรื่องประยุทธ์พูดกลับไปกรอกมา ดังล่าสุดพูดที่นครปฐมเมื่อ ๒๑ กุมภาพันธ์นี้ โฆษณา ไทยนิยมยั่งยืนว่า ผมเป็นทหารไม่ใช่นักการเมือง เป็นทหารที่เข้าใจปัญหาของประชาชน
 
ทั้งที่หมาดๆ เมื่อ ๓ มกรา ๖๑ ยังพูดอยู่เลยว่า “ผมไม่ใช่ทหาร เข้าใจไหม เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร” แล้วเมื่อตอนยึดอำนาจมาใหม่ๆ ๓ ธันวา ๕๗ บอกว่า “ผมไม่ใช่นักการเมือง เป็นนักการทหาร ถึงเป็นนายกฯ ก็เข้ามาทำเพื่อคนไทย

ก่อนนั้นอีกตั้งแต่ ๓ และ ๘ กันยา ๕๘ กับ ๑๘ มกรา ๕๙ และ ๒๒ สิงหากับ ๑๕ พฤศจิกา ปีเดียวกัน จนกระทั่ง ๒๘ พฤศจิกา ๖๐ ก็พูดไว้ทุกครั้งคราวว่า “ผมไม่ใช่นักการเมือง”


ก็คนแก่สับปรับอย่างนี้จะไม่ให้เด็กถอนหงอกได้ไง ทั่วโลกเขารู้กันหมด องค์การนิรโทษกรรมสากล หรือ ‘Amnesty International’ เขาถึงต้องประกาศเรียกร้องให้พวกนักรัฐประหาร คสช. หยุดหาเรื่องดำเนินคดีกับกลุ่มเรียกร้องเลือกตั้ง MBK 39 เสียที

ฉะนี้เราจะไม่คิดสนับสนุนเด็กเหล่านี้ละหรือ ไม่สน ไม่แคร์ ไม่ยี่หระ ขอวางเฉยไม่เป็นไร แต่ถ้าออกมาห้ามปรามด้วยย่อมเรียกว่านั่นพวกขัดความเจริญของลูกหลาน

แต่ท่านใดยินดีที่จะช่วยส่งเสริม ขอเชิญไปร่วมกับกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย หรือ Democracy Restoration Group - DRG ที่ “เชิญชวนประชาชนผู้ต้องการเห็นการเลือกตั้งภายในปี ๒๕๖๑ และไม่ต้องการเห็น คสช. สืบทอดอำนาจอีกต่อไป

ร่วมสมทบทุนสนับสนุน กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ในการทำกิจกรรมเพื่อทวงสิทธิในการกำหนดอนาคตของประชาชนเอง
 
โดยผู้ต้องการมีส่วนร่วมในการระดมทุนสามารถโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว หมายเลขบัญชี ๐๒๖-๘-๒๔๐๘๐-

Pipob Udomittipong เปิดโปง ข่าวเท็จ (fake news) โพสต์ของ Siriwanna Jill เรื่อง ทางการอังกฤษจะยึดบ้านทักษิณ




Fake News นี่สังเกตได้ไม่ยากหรอก อันดับแรกเลย “ไม่มีที่มาที่ไป” ไม่มี “source” ไม่มีแหล่งอ้างอิง (2) เขียนจริงครึ่งเท็จครึ่ง กรณีนี้สิ่งที่เป็นความจริงคือกฎหมาย “Unexplained Wealth Order” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Criminal Finance Bill ที่เพิ่งผ่านการพิจารณาของสภาอังกฤษและประกาศใช้เมื่อกลางปีที่แล้วนี่เอง เอาไว้ยึดทรัพย์รวมทั้งของต่างชาติที่อาจเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม รวมทั้งจัดการกับการเลี่ยงภาษี เกิดจาการความผลักดันของ Transparency International UK #Thaipublica อธิบายเรื่องนี้ละเอียดดีมาก ไปอ่านครับ อยากอ่านข่าวจริง ต้องอ่าน #Thaipublica (https://thaipublica.org/2018/02/hesse004-94/)

ส่วนที่เป็นความเท็จคือ ทางการอังกฤษจะใช้กม.นี้ยึดบ้านของทักษิณ ไม่ปรากฏเป็นข่าวแต่อย่างใด ในเว็บไซต์ของ Transparency International UK (http://www.transparency.org.uk/uwo-consider-today/…) เองกล่าวถึงทรัพย์สินของผู้นำต่างชาติที่อาจถูกสอบสวนตามกม.ใหม่นี้ มีทั้งบ้านในอังกฤษของนักการเมืองจากอาร์เซอร์ไบจาน รัสเซีย ปากีสถาน ลิเบีย ไนจีเรีย แต่ไม่มีชื่อนักการเมืองไทยเลยครับ #ข่าวปลอมตรวจสอบไม่ยาก #SiriwannaJillเธอไม่เคยเปลี่ยน_โง่ยังไงก็ยังงั้น


Pipob Udomittipong




งงมั๊ย... "บิ๊กตู่" เปรียบ เลือกตั้งไทย เหมือน กินกล้วย




...




เลือกตั้ง"กล้วย" !
เลือกตั้ง "แอปเปิ้ล" !

"บิ๊กตู่" เปรียบ เลือกตั้งไทย เหมือน กินกล้วย รู้ว่า กล้วยเขียว เหลืองสุก หรือเปลือกดำ แต่ เลือกตั้งของต่างชาติ เหมือน กินแอปเปิ้ล ดูไม่ออก ดีไม่ดี กิน แต่ไม่เห็นต้น จึงแยกแยะไม่ได้ เตือน อย่าเลือกพรรค ที่ถูกครอบงำ หรือ เลือกเพราะ ความรัก ความชอบ ความคุ้นเคย ใช้อารมณ์ แต่ไม่พิจารณาด้วยเหตุด้วยผล/ ติง อย่าเร่งเปลี่ยนแปลง ประเทศ หากยังไม่พร้อม

พลเอกประยุทธ์ นายกฯ และหัวหน้า คสช. กล่าว ในรายการศาสตร์พระราชาฯ ว่า หากจะสอนแบบเปรียบเทียบ เช่น การเลือกตั้ง ถ้าเราเปรียบเทียบก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกกล้วย กล้วยที่เปลือกยังเขียวอยู่ ก็ยังไม่สุก ไม่พร้อมจะรับประทาน คุณสมบัติก็ไม่ครบ กล้วยเปลือกสีเหลือง คือ สุกงอม กินได้ เหมาะสม แต่ถ้ากล้วยเปลือกดำแล้ว คือ ไม่ดี ไม่ควรเลือกกิน

แต่ถ้าเราไปสอนโดยยกตัวอย่าง เป็นผลไม้อื่น เช่น แอปเปิ้ล ซึ่งก็ไม่เป็นผลไม้ประจำถิ่นของเรา บางคนเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นต้นแอปเปิ้ลเลย อาจจะเคยทาน แต่ไม่เคยเห็นต้น เด็กไทยคงไม่อาจแยกแยะด้วยสีของเปลือกได้ว่าแอปเปิ้ลผลไหน ดี สุก กินได้ ไม่ง่ายเหมือนกล้วย

"แก่นสารของเรื่องนี้คือ ทำอย่างไร ให้คนไทยสามารถแยกแยะว่า ถ้ามีการเลือกตั้งแล้วควรเลือกใคร และเลือกจากอะไร ไม่ใช่ใช้ความรัก ความชอบ ความคุ้นเคย ใช้อารมณ์ แต่ไม่พิจารณาด้วยเหตุด้วยผล เช่น ดูที่นโยบายพรรค ดูที่ประวัติการทำงาน เหล่านี้ เป็นต้น

ทั้งนี้ในการเข้าคูหาเลือกตั้งนั้น ก็ต้องคำนึงถึงการเลือกนักการเมืองที่มีคุณภาพ ไม่มีประวัติเสื่อมเสีย หรือทุจริตมาก่อน เลือกพรรคการเมืองที่น่าเชื่อถือ ดูจากนโยบาย จากการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝง หรือถูกครอบงำ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกฯเตือนกลุ่มเคลื่อนไหวว่า "ไม่ใช่ให้เอาเยี่ยงอย่าง การล้มล้างสถาบัน การเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยที่ประชาชนยังไม่พร้อม จนต้องบาดเจ็บ ล้มตาย ตามที่หลายประเทศล้มเหลวมาก่อน เราก็ได้รู้ เราได้เห็นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้ประวัติศาสตร์เหล่านั้นซ้ำรอยอีก หรือเจ็บแล้วลืม จนต้องล้มแล้วล้มอีก

ลองสอนเด็กง่าย ๆ แบบไทย ๆ แบบนี้ได้หรือไม่ หรือปูพื้นฐานให้เขาก่อน ก่อนที่จะเอาตัวอย่างจากที่อื่นมาสอนต่อ ไม่อย่างนั้นก็ไปสอนให้คิดนอกกรอบกันไปหมด กรอบที่ว่าก็คือกรอบคำว่า สงบ สันติ ให้ได้เสียก่อน


Wassana Nanuam