
"ได้เรื่องเดียวคือไม่ได้ร่วม ครม." พรรคประชาชนจะรักษา 5 ข้อตกลงกับภูมิใจไทย ไม่ให้ถูกฉีกได้หรือไม่
วศินี พบูประภาพ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) แถลงเมื่อเช้าวานนี้ (3 ก.ย.) ว่า ปชน. มีมติสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาลคนใหม่
ในการนี้ หัวหน้าของทั้งสองพรรคได้ลงนามข้อตกลงร่วมกัน โดยมีเงื่อนไข 5 ข้อ โดยข้อสำคัญคือการให้ ภท. คงสถานะรัฐบาลเสียงข้างน้อย, การยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย และการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ปชน. ยืนยันว่าจะดำรงสถานะเป็นฝ่ายค้าน และจะไม่ส่งบุคลากรเข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่งใด ๆ
ดร.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิวุฒิสภาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า การตัดสินใจของ ปชน. สร้างคำถามในหมู่ผู้สนับสนุน “ฝ่ายก้าวหน้า” อย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อ ภท. มีจุดยืนอนุรักษนิยมสุดขั้ว และเคยมีบทบาทขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงมีคดีที่ดินเขากระโดงและข้อกล่าวหาเรื่องการเลือกตั้ง ส.ว.
"พรรคประชาชนนำเอา 14 ล้านเสียงของผู้ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล ไปสนับสนุนให้พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมี 1 ล้านเสียง เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ถือเป็นการขัดเจตจำนงทางการเมืองที่ผู้เลือกตั้งให้มาหรือไม่?" อดีตนักวิชาการด้านสื่อสารการเมืองที่ปัจจุบันเป็น สว. ตั้งคำถาม
ด้าน เบญจา แสงจันทร์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความเปรียบเทียบสถานการณ์การเมืองหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องใหญ่ที่ "มีผู้กำกับ" แต่ก็ระบุถึงอดีตเพื่อน สส. ด้วยว่า "ดิฉันยังคงเชื่อมั่นเหลือเกิน จนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ เพื่อนรักของดิฉันจะทบทวนหาทางออก ที่ดีที่สุด ไปจนถึงอาจจะไม่ไปทำสัญญาเป็นนักแสดงประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้"
ก่อนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนถัดไปจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (5 ก.ย.) บีบีซีไทยพูดคุยกับสองนักวิชาการ ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี และ ดร.สติธร ธนานิธิโชติ จากภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงความเป็นไปได้ที่พรรคภูมิใจไทยจะเป็น "พรรคอุ้มบุญ" ใหม่ของกลุ่มชนชั้นนำในสังคมไทย รวมถึงประเมินโอกาสที่ "ข้อตกลง" ที่ทั้งสองพรรคลงนามร่วมกัน อาจถูกฉีกเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคสีส้มมาก่อนหน้านี้
ภูมิใจไทย พรรคอุ้มบุญใหม่ของอนุรักษนิยม ?
ศ.ดร.สิริพรรณ อธิบายว่า กลุ่มทหารและชนชั้นนำไทยพยายามมีตัวแทนในระบบพรรคการเมืองมาโดยตลอด เธอกล่าวว่า หากพิจารณาย้อนหลังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จะพบว่าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เคยทำหน้าที่เป็นตัวแทนของกลุ่มดังกล่าว หลังการเลือกตั้งปี 2562 พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองสายอนุรักษนิยม และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จในที่สุด
ศ.ดร.สิริพรรณ อธิบายว่า ความร่วมมือระหว่าง พท. กับกลุ่มอนุรักษนิยมเป็นความพยายามที่ไม่ลงตัว เนื่องจาก พท. ไม่ใช่พรรคที่มีอุดมการณ์อนุรักษนิยมโดยเนื้อแท้
"หลังเลือกตั้ง [กลุ่มชนชั้นนำ] ก็ลองมาใช้บริการของเพื่อไทย แต่ว่าแน่นอน เพื่อไทยโดยตัวเขาเองไม่ได้เป็นพรรคอนุรักษ์[นิยม] ดังนั้นมันจึงเหมือนการจับคู่ที่ไม่ลงล็อกกัน" เธอกล่าว
เธอเปรียบเทียบบทบาทของพรรคเพื่อไทยในช่วงเวลาดังกล่าวว่าเป็น "พรรคคั่นเวลา" ในแผนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่วางไว้อย่างเป็นระบบ พร้อมสรุปว่า "ตอนนี้พรรคอุ้มบุญเลยเปลี่ยนมาเป็นภูมิใจไทย"
ด้าน ดร.สติธร ให้ความเห็นกับบีบีซีไทยว่า ภท. วางตนเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายชนชั้นนำมาโดยตลอด เขาอธิบายว่า จุดเด่นของพรรคภูมิใจไทยคือการไม่ยึดถืออุดมการณ์ทางการเมืองแบบแข็งตัว แต่เลือกดำเนินแนวทางแบบ "pragmatism" หรือการเมืองเชิงปฏิบัติ
"จะสังเกตเห็นว่าเขาพยายามทำตัวเป็นสีน้ำเงิน... เหมือนเป็นทางเลือกหลักของฝ่ายอนุรักษนิยมในการทำการเมือง" ดร.สติธร กล่าว
ศ.ดร.สิริพรรณ วิเคราะห์ต่อไปว่า เมื่อ ภท. สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภากลุ่ม "ส.ว.สีน้ำเงิน" ได้มากพอ พรรคนี้ก็มีความพร้อมที่จะกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอำนาจของกลุ่มอนุรักษนิยมในรัฐสภา แทนที่ พท. ซึ่งเป็นรัฐบาลในขณะนั้น
ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อดีตนักวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้า เสริมว่า จังหวะทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับ ภท. ซึ่งต้องอาศัย "สัญญาณ" ที่ชัดเจนก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ
เขาอธิบายว่า "ปกติถ้าเราสังเกตคุณอนุทิน มีคนถามหลายรอบแล้วตั้งแต่หลังเลือกตั้ง อย่างเช่นถ้าโหวตคุณพิธาไม่ได้ ถ้าโอกาสมันไหลมาถึงเขา เขาจะเอายังไง เขาก็จะพยายามบอกว่า ไม่ต้อง[ให้เขาเป็นนายกฯ] ให้โอกาสพรรคเพื่อไทยก่อน แปลว่าวันนั้นเขายังไม่ได้รับสัญญาณ เขาเป็นคนแบบนั้น"
ด้วยเหตุนี้ การเคลื่อนไหวของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หลังคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ส่งผลให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 จึงถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มชนชั้นนำแล้ว
"พอมารอบนี้มันเห็นชัดว่าพอศาลตัดสินเขาก็ออกตัวเลย แปลว่าต้องมีคนมาตบไหล่แล้วบอก ลุยหนู ลุย เอา" ดร.สติธร กล่าว
สว. เสียงข้างมากที่ถูกเรียกว่า "สว. สีน้ำเงิน" พร้อมใจกันทำสัญลักษณ์กากบาท เพื่อสื่อว่าไม่เอากาสิโนในระหว่างการแถลงข่าวเมื่อ 8 เม.ย. เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ ที่ผลักดันโดยรัฐบาลเพื่อไทย
พรรคประชาชน จะรักษาไม่ให้ข้อตกลงกับภูมิใจไทยถูกฉีกได้จริงไหม ?
แม้การที่ ปชน. ประกาศสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. เป็นนายกรัฐมนตรี จะสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่หัวหน้าพรรค ปชน. ยืนยันว่าจะดำเนินการเพื่อให้ ภท. ต้องแบกรับต้นทุนหากมีการ "บิดพลิ้ว" เกิดขึ้น
แต่นักวิชาการทั้งสองจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลับเห็นว่า แนวทางของ ปชน. ยากที่จะเป็นไปได้จริง
ดร.สติธร ประเมินว่าจะไม่มีประเด็นใดในข้อตกลง 5 ข้อที่จะบรรลุผลได้จริง เว้นเพียงเรื่องเดียว คือการที่ ปชน. จะไม่ได้เข้าร่วมคณะรัฐมนตรี
"ไม่น่าจะได้สักเรื่อง ได้เรื่องเดียวคือได้นายกฯ ชื่ออนุทิน ซึ่งมันอยู่ในข้อเรียกร้องไหม" เขาถามก่อนจะสรุปว่า "ได้เรื่องเดียวคือไม่ได้ร่วม ครม. สมหวังเรื่องนี้"
ด้าน ศ.ดร.สิริพรรณ แสดงทัศนะเช่นกันว่าการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้นเป็นไปได้ยากสำหรับ ปชน. ทั้งเรื่องการขอให้ ภท. ตกลงว่าจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย, การผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ และการยุบสภาภายใน 4 เดือน
ไม่สามารถวัดความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้จริง
เอกสารข้อตกลงที่ลงนามโดยหัวหน้าพรรค ปชน. และหัวหน้าพรรค ภท. ระบุว่า "พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใด ๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก"
ศ.ดร.สิริพรรณ ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อกำหนดดังกล่าวอาจมีช่องว่างในการตีความ
"คุณจะวัดเสียงข้างมากอย่างไร ถ้าทุกครั้งที่โหวตคุณดึงงูเห่ามาได้" เธอกล่าว
ศาสตราจารย์จากจุฬาฯ ผู้นี้ยังกล่าวถึงกติกาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งกำหนดให้ สส. ที่ลาออกจากพรรคระหว่างดำรงตำแหน่งจะต้องสิ้นสภาพการเป็น ส.ส. ทันที โดยเธอชี้ว่าในทางปฏิบัติ ไม่จำเป็นที่พรรคภูมิใจไทยจะต้องไปดึง สส. จากพรรคอื่นมาสังกัดพรรคตัวเองเพิ่ม
"คุณสังกัดพรรคอื่นตอนนี้ หากย้ายพรรคคุณก็ต้องสละสิทธิ์ ส.ส. ใช่ไหม ดังนั้นมันไม่ต้องมีความพยายามแบบดึงให้มาย้ายพรรค แต่ทุกครั้งที่มีการโหวตคุณก็ใช้วิธีแจกกล้วย มันก็จะกลายเป็นเสียงข้างมากโดยรูปธรรม"
ภูมิใจไทยไม่เคยมีท่าทีอยากแก้รัฐธรรมนูญมาก่อน-ต้องใช้กรอบเวลานาน
สำหรับข้อตกลงเรื่องการต้องช่วยกันผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ ยังคงมีอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะจากท่าทีของ ภท. ที่ไม่เคยสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาก่อน
ศ.ดร.สิริพรรณ ซึ่งเคยเป็นกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ในสมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ระบุว่า "ตัวแทนจากภาคภูมิใจไทยไม่เคยพูดอะไร ไม่เคยแสดงท่าทีสนับสนุน"
เธอระบุต่อไปว่าแม้แต่ "การทำประชามติสองชั้น" ก็เป็นแนวคิดที่มาจาก ภท. ซึ่งต่อมามีการลงคะแนนไปในทิศทางเดียวกับ สว.
นอกจากนี้ นักรัฐศาสตร์รายนี้ยังชี้ว่าหากจะดำเนินการแก้รัฐธรรมนูญตามแนวทางของ ปชน. จริง จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี
ทั้งนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2560 ยังต้องใช้เสียงรับรองอย่างน้อย 1 ใน 3 ของที่นั่งในวุฒิสภา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองเปรียบเทียบกล่าวว่าข้อเรียกร้องของ ปชน. จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ ปชน. ต้องสร้างเงื่อนไขให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยต้องตั้งคำถามที่เลี่ยงการแก้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2560
ศ.ดร.สิริพรรณ ยกตัวอย่างว่า "ต้องเป็นคำถามว่า หนึ่ง ท่านเห็นชอบหรือไม่ที่จะจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จัดทําโดย สสร. และข้อที่ 2 คือในระหว่างที่ไม่มีรัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่าจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 บังคับใช้ไปพลางก่อน"
"คำถามนี้ ไม่ใช่การเสนอแก้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ที่ต้องใช้เสียง สว. และ ถ้าประชามติผ่าน รธน. 2560 ก็จะถูกล้มโดยปริยายด้วยอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญใหม่ของประชาชน" เธออธิบายโดยชี้ว่าอาจเป็นแนวทางที่ "หักดิบ" แต่สามารถทำได้หากพรรคการเมืองหลักเห็นตรงกัน
พรรคประชาชน จะรักษาไม่ให้ข้อตกลงกับภูมิใจไทยถูกฉีกได้จริงไหม ?
แม้การที่ ปชน. ประกาศสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. เป็นนายกรัฐมนตรี จะสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่หัวหน้าพรรค ปชน. ยืนยันว่าจะดำเนินการเพื่อให้ ภท. ต้องแบกรับต้นทุนหากมีการ "บิดพลิ้ว" เกิดขึ้น
แต่นักวิชาการทั้งสองจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลับเห็นว่า แนวทางของ ปชน. ยากที่จะเป็นไปได้จริง
ดร.สติธร ประเมินว่าจะไม่มีประเด็นใดในข้อตกลง 5 ข้อที่จะบรรลุผลได้จริง เว้นเพียงเรื่องเดียว คือการที่ ปชน. จะไม่ได้เข้าร่วมคณะรัฐมนตรี
"ไม่น่าจะได้สักเรื่อง ได้เรื่องเดียวคือได้นายกฯ ชื่ออนุทิน ซึ่งมันอยู่ในข้อเรียกร้องไหม" เขาถามก่อนจะสรุปว่า "ได้เรื่องเดียวคือไม่ได้ร่วม ครม. สมหวังเรื่องนี้"
ด้าน ศ.ดร.สิริพรรณ แสดงทัศนะเช่นกันว่าการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้นเป็นไปได้ยากสำหรับ ปชน. ทั้งเรื่องการขอให้ ภท. ตกลงว่าจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย, การผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ และการยุบสภาภายใน 4 เดือน
ไม่สามารถวัดความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้จริง
เอกสารข้อตกลงที่ลงนามโดยหัวหน้าพรรค ปชน. และหัวหน้าพรรค ภท. ระบุว่า "พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใด ๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก"
ศ.ดร.สิริพรรณ ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อกำหนดดังกล่าวอาจมีช่องว่างในการตีความ
"คุณจะวัดเสียงข้างมากอย่างไร ถ้าทุกครั้งที่โหวตคุณดึงงูเห่ามาได้" เธอกล่าว
ศาสตราจารย์จากจุฬาฯ ผู้นี้ยังกล่าวถึงกติกาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งกำหนดให้ สส. ที่ลาออกจากพรรคระหว่างดำรงตำแหน่งจะต้องสิ้นสภาพการเป็น ส.ส. ทันที โดยเธอชี้ว่าในทางปฏิบัติ ไม่จำเป็นที่พรรคภูมิใจไทยจะต้องไปดึง สส. จากพรรคอื่นมาสังกัดพรรคตัวเองเพิ่ม
"คุณสังกัดพรรคอื่นตอนนี้ หากย้ายพรรคคุณก็ต้องสละสิทธิ์ ส.ส. ใช่ไหม ดังนั้นมันไม่ต้องมีความพยายามแบบดึงให้มาย้ายพรรค แต่ทุกครั้งที่มีการโหวตคุณก็ใช้วิธีแจกกล้วย มันก็จะกลายเป็นเสียงข้างมากโดยรูปธรรม"
ภูมิใจไทยไม่เคยมีท่าทีอยากแก้รัฐธรรมนูญมาก่อน-ต้องใช้กรอบเวลานาน
สำหรับข้อตกลงเรื่องการต้องช่วยกันผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ ยังคงมีอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะจากท่าทีของ ภท. ที่ไม่เคยสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาก่อน
ศ.ดร.สิริพรรณ ซึ่งเคยเป็นกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ในสมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ระบุว่า "ตัวแทนจากภาคภูมิใจไทยไม่เคยพูดอะไร ไม่เคยแสดงท่าทีสนับสนุน"
เธอระบุต่อไปว่าแม้แต่ "การทำประชามติสองชั้น" ก็เป็นแนวคิดที่มาจาก ภท. ซึ่งต่อมามีการลงคะแนนไปในทิศทางเดียวกับ สว.
นอกจากนี้ นักรัฐศาสตร์รายนี้ยังชี้ว่าหากจะดำเนินการแก้รัฐธรรมนูญตามแนวทางของ ปชน. จริง จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี
ทั้งนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2560 ยังต้องใช้เสียงรับรองอย่างน้อย 1 ใน 3 ของที่นั่งในวุฒิสภา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองเปรียบเทียบกล่าวว่าข้อเรียกร้องของ ปชน. จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ ปชน. ต้องสร้างเงื่อนไขให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยต้องตั้งคำถามที่เลี่ยงการแก้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2560
ศ.ดร.สิริพรรณ ยกตัวอย่างว่า "ต้องเป็นคำถามว่า หนึ่ง ท่านเห็นชอบหรือไม่ที่จะจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จัดทําโดย สสร. และข้อที่ 2 คือในระหว่างที่ไม่มีรัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่าจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 บังคับใช้ไปพลางก่อน"
"คำถามนี้ ไม่ใช่การเสนอแก้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ที่ต้องใช้เสียง สว. และ ถ้าประชามติผ่าน รธน. 2560 ก็จะถูกล้มโดยปริยายด้วยอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญใหม่ของประชาชน" เธออธิบายโดยชี้ว่าอาจเป็นแนวทางที่ "หักดิบ" แต่สามารถทำได้หากพรรคการเมืองหลักเห็นตรงกัน

4 เดือนนานพอต่อการฝังรากในองคาพยพในรัฐธรรมนูญ 60
แม้ ปชน. จะเสนอกรอบเวลา 4 เดือนในการดำเนินการยุบสภาหลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ศาสตราจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า เงื่อนไขดังกล่าวยังเปิดช่องให้ ภท. สามารถยืดระยะเวลาออกไปได้
เธออธิบายกับบีบีซีไทยในช่วงก่อนที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะกำหนดวันเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นวันที่ 5 ก.ย. นี้ ว่า "4 เดือนของพรรคประชาชนนับตั้งแต่แถลงนโยบาย ซึ่งกว่าจะแถลงนโยบายก็ประมาณเดือนตุลาคม"
ศ.ดร.สิริพรรณ ยังวิเคราะห์ด้วยว่า ระยะเวลา 4 เดือนดังกล่าวอาจเพียงพอให้วุฒิสภาใช้เวลาในการรับรองและแต่งตั้งบุคคลในองค์กรอิสระ ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะดำรงตำแหน่งยาวนานถึง 7 ปี
เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า "ถ้าถึงจุดนั้นแล้ว ภูมิใจไทยอาจจะยอมผ่อนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญก็เป็นได้"
ในประเด็นเดียวกัน ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ศาสตราจารย์พิเศษจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ตั้งสมมุติฐานว่า หากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องยุบสภาภายในสี่เดือนหลังแถลงนโยบาย รัฐบาลใหม่จะต้องเข้าแถลงนโยบายภายในเดือนกันยายน
เขาระบุว่า "หากเริ่มนับระยะเวลาสี่เดือนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ก็จะครบกำหนดในช่วงสิ้นเดือนมกราคม 2569"
ศ.ธงทองอธิบายเพิ่มเติมว่า "ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งเพราะเหตุยุบสภา จะต้องมีในกำหนดเวลาไม่น้อยกว่า 45 วันแต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันพระราชกฤษฎีกายุบสภาใช้บังคับ" ซึ่งหมายความว่า การเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม หรืออย่างช้าต้นเดือนเมษายน 2569
เขาเขียนต่อไปว่า "กว่าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะประกาศผลการเลือกตั้ง กว่าที่จะมีการเจรจาเพื่อจัดตั้งรัฐบาล จากประสบการณ์ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2566 ต้องใช้เวลาช่วงนี้อีกสองเดือน"
จากการวิเคราะห์กรอบเวลาดังกล่าว ศ.ธงทองสรุปว่า "สมมุติว่านับปฏิทินตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน รัฐบาลชุดใหม่น่าจะเข้ารับหน้าที่ได้ต้นเดือนมิถุนายน 2569" ซึ่งหมายความว่า หากไม่มีปัจจัยแทรกซ้อน รัฐบาลที่อาจเกิดขึ้นในเดือนกันยายนปีนี้ จะอยู่ในหน้าที่เป็นเวลาประมาณ 8–9 เดือน
กลไกใหม่แทนรัฐประหาร
ในภาพรวมของการเมืองไทยยุคหลังรัฐประหาร ศ.ดร.สิริพรรณ ชี้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของกลุ่มอนุรักษนิยมและทหาร ที่หันมาใช้กระบวนการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจ แทนการใช้กำลังโดยตรง
"เพื่อหลีกเลี่ยงการรัฐประหาร เวลาที่ชนชั้นนํารู้สึกเป็นภัยถูกคุกคามหรือไม่พอใจ ก็ใช้เครื่องมือทางการเมืองอื่นที่มีอาวุธทางการเมืองที่ได้ฝังฝังนิวเคลียร์เอาไว้ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว"
เธออธิบายว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ได้ฝังกลไกควบคุมการไหลเวียนของอำนาจผ่านวุฒิสภาและองค์กรอิสระ เช่น กกต. และ ป.ป.ช. ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของ "องคาพยพหลักทางการเมือง" ที่ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระบบ และ ภท. กลายเป็นศูนย์กลางของกลไกนี้
ดร.สติธร เห็นตรงกับ ศ.ดร.สิริพรรณ ว่าการรัฐประหารในปัจุบันมีต้นทุนสูง และเครื่องมือสำคัญของผู้มีอำนาจอย่างรัฐธรรมนูญยังทำหน้าที่ได้ดี อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งยังเป็นปัจจัยที่ท้าทายในการกระชับอำนาจภายใต้กลไกลนี้
เขาอธิบายต่อว่า "สมมุติว่าไม่รัฐประหารโดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือ แต่ยังไงเสียก็ต้องเปิดไปสู่การเลือกตั้ง สิ่งที่ยังคุมยากก็คือผลการเลือกตั้ง แปลว่าก็ต้องพึ่งพาพรรคการเมืองที่ไปสู้เลือกตั้งแล้วก็กลับเข้ามาอยู่ในกรอบที่เขาตีเส้นเอาไว้"
คล้ายกับที่ ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าวเปรียบว่า ภท. ในปัจจุบันมีสถานะคล้ายกับพรรคพลังประชารัฐในอดีต ดร.สติธร อธิบายในทิศทางเดียวกันว่าหลังจากความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลดลง กลุ่มอนุรักษนิยมจึงขาดศูนย์รวมจิตใจ และจำเป็นต้องหาพรรคใหม่ที่จะมาเป็นแกนกลางทางการเมือง
แม้จะมีความพยายามในการสร้างพรรคใหม่หลายแห่ง แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มผู้มีอำนาจได้เท่ากับ ภท. ซึ่งมีฐานเสียงจาก "บ้านใหญ่" และโครงสร้างที่มั่นคงอยู่แล้ว
เขาทำนายต่อไปว่าจากนี้ไปภารกิจขององคาพยพฝ่ายอนุรักษนิยม คือการพยายามผลักดันให้ภท. ได้รับคะแนนปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มขึ้นจากเดิมที่อยู่เพียง 2-3% ให้เทียบเท่ากับพรรครวมไทยสร้างชาติในการเลือกตั้งครั้งก่อน
สองนักวิชาการที่บีบีซีไทยได้สนทนาด้วยชี้ตรงกันว่าการสร้าง "พลังขวา" ส่งผลอย่างมากกับพัฒนาการทางการเมืองในระยะที่ผ่านมา
ศ.ดร.สิริพรรณชี้ชวนให้ทบทวนว่า "ย้อนกลับไปเราจะเห็นว่ามันมีการวางแผนมาเป็นขั้นตอน แม้แต่เรื่องข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งด้วย"
ด้านดร.สติธร กล่าวตรงกันว่า "วันนี้มันมีประตูเปิดอีก มีประเด็นชายแดนไทย มีชาตินิยมเปิดเกิดขึ้นมา คนรู้สึกว่าเหมือนพลังขวามันเกิด"
อย่างไรก็ตาม ดร.สติธร ชี้ว่าพรรค ภท. ก็ต้องพิสูจน์ตนเองในการเป็นเสาหลักให้กลุ่มการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยมผ่านการเป็นรัฐบาลและการเลือกตั้งครั้งหน้าเช่นเดียวกัน
"รอบนี้ก็คือพูดง่าย ๆ เลือกภูมิใจไทยมาให้โอกาสเป็นรัฐบาล แล้วคุณก็ไปพิสูจน์ว่าคุณจะเป็นเสาหลักได้หรือเปล่าในการเลือกตั้งสำหรับฝ่ายอนุรักษนิยม" ดร.สติธร สรุป
.webp)
ทางเลือกที่ต้องแลกของพรรคประชาชน
ศ.ดร.สิริพรรณ แสดงความคิดเห็นต่อกระแสการตั้งคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของ ปชน. โดยระบุว่า การตัดสินใจของพรรคประชาชนเป็นการดำเนินการเชิงยุทธศาสตร์มากกว่าการสนับสนุนเชิงอุดมการณ์
"คิดว่าต้องให้ความเป็นธรรมพรรคส้ม เขาโหวตยุทธศาสตร์เพราะต้องการบีบให้เพื่อไทยยุบสภา" เธอกล่าวกับบีบีซีไทยในวันที่ 3 ก.ย. ก่อนที่เพื่อไทยจะประกาศข้อเสนอให้โหวต นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ พร้อมยุบสภาหลังจากนั้นทันทีโดยไม่ต้องรอ 4 เดือน แต่ ปชน. ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว
ดร.สติธรวิเคราะห์ว่า หาก ปชน. ไม่เลือกผู้ใดเลย แต่ผลลัพธ์ทางการเมืองกลับนำไปสู่การกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนนอกตามมาตรา 5 แห่งรัฐธรรมนูญ ปชน. อาจถูกวิจารณ์ว่าไม่เลือก พท. หรือ ภท. ในช่วงเวลาที่มีโอกาสเลือกได้
อย่างไรก็ดี ศ.ดร.สิริพรรณ ตั้งคำถามถึงความสมเหตุสมผลของความกังวลว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า อดีตนายทหารผู้ทำรัฐประหารได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรีแล้ว และไม่ได้ควบคุมกลไกหลักของรัฐธรรมนูญอีกต่อไป ต่างจาก ภท. ที่ยังอยู่ในศูนย์กลางอำนาจ
"[การเลือกครั้งนี้] จะทําให้พรรคประชาชนต้องตอบคําถามประชาชนเยอะมาก กับคะแนนนิยมที่แลกหรือจะได้รับความไว้วางใจความเชื่อมั่นอย่างที่คาดหวังไว้จริง ๆ หรือเปล่า" เธอกล่าว
ดร.สติธรเห็นด้วย โดยชี้ว่าการตัดสินใจเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล สร้างความผิดหวังให้กับฐานเสียงบางส่วนของ ปชน. และอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า
เขาอธิบายว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เคยสนับสนุน ปชน. และไม่ต้องการเลือกพรรคภูมิใจไทย อาจเผชิญกับทางเลือกที่จำกัดมากขึ้น และต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากการเลือกพรรคที่ชอบที่สุด มาเป็นการเลือก "ทางเลือกที่เลวน้อยที่สุด" สำหรับพวกเขา
https://www.bbc.com/thai/articles/c78z82j2l1yo