
Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส
19 hours ago
·
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 คือวันครบรอบการรัฐประหารที่รัฐบาลพลเรือนถูกโค่นล้ม และอำนาจการปกครองตกไปอยู่ในมือของกลุ่มอำนาจนิยมและขุนศึก ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในยุคมืดแห่งเผด็จการยาวนาน และร่องรอยความขัดแย้งในวันนั้นยังส่งผลสืบเนื่องให้ทหารมีอิทธิพลทางการเมืองจนถึงทุกวันนี้
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยเผชิญหน้าความเปลี่ยนแปลงภายในประเทศต่อเนื่อง กลุ่มคณะราษฎรที่นำโดย ปรีดี พนมยงค์ ต้องรับแรงกดดันหลายด้าน โดยเฉพาะภายใน ที่เกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ คือการสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีปรีดีอย่างหนัก เป็นต้นว่า กล่าวหาว่าปรีดีอยู่เบื้องหลังการปลงพระชนม์ ไปจนถึงการให้คนไปตะโกนในโรงหนังว่า “ปรีดีฆ่าในหลวง”
ขณะเดียวกัน รัฐบาลที่มี พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หรือ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการเมืองไวได้
เมื่อรัฐบาลอ่อนแอ กลุ่มอำนาจฝ่ายทหารก็เริ่มเดินเกมรุก โดยโจมตีว่ารัฐบาลพลเรือนไม่สามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ เกิดการทุจริตคอร์รัปชันในวงกว้าง สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน จึงเปิดช่องว่างให้กลุ่มนายทหารเข้ายึดอำนาจ กลายเป็นจุดเริ่มต้น ‘ยุคขุนศึก’ ที่ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมืองเรื่อยมาจนปัจจุบัน
รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ‘คณะทหารแห่งชาติ’ ภายใต้การนำของ พลโทผิน ชุณหะวัณ ร่วมด้วย พันเอกกาจ กาจสงคราม, พันเอกเผ่า ศรียานนท์ และ พันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้ามามีส่วนร่วมในภายหลัง ได้นำกำลังพลเข้ายึดอำนาจอย่างรวดเร็ว
หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคนสำคัญหลายคนถูกจับกุมตัวไว้ จากนั้นคณะรัฐประหารได้เข้าควบคุมสถานีวิทยุและสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ อย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อประกาศแถลงการณ์ยึดอำนาจ โดยอ้างเหตุผลสำคัญคือความวุ่นวายทางการเมือง ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต ปัญหาปากท้อง ข้าวยากหมากแพง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การกอบกู้พระเกียรติในคดีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ที่เกิดขึ้นในปี 2489 และรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์สืบสวนล่าช้า ซึ่งประเด็นอ่อนไหวนี้กลายเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับการรัฐประหารอย่างมาก
นอกจากนี้ คณะทหารผู้ยึดอำนาจยังระดมยิงปืนใส่ทำเนียบท่าช้างวังหน้า ซึ่งเป็นทำเนียบที่รัฐบาลให้ปรีดีกับครอบครัวอาศัยอยู่ แล้วบุกเข้าไปเพื่อจับกุมปรีดี แต่ปรีดีหลบหนีไปได้ก่อน โดยอาศัยตามบ้านเพื่อนที่ไว้วางใจ และไปอาศัยที่กรมนาวิกโยธินที่สัตหีบ
เมื่อปรีดีพิจารณาเห็นว่ายังไม่พร้อมที่จะต่อต้านคณะรัฐประหารได้ ปรีดีจึงเดินทางไปอาศัยอยู่ที่สิงคโปร์ชั่วคราว แล้วเดินทางไปอาศัยอยู่ในประเทศจีน และไม่เคยได้กลับมามีบทบาททางการเมืองในประเทศไทยอีกเลย นับเป็นการสิ้นสุดยุคสมัยแห่งอิทธิพลทางการเมืองของคณะราษฎรสายพลเรือนอย่างสมบูรณ์
กำเนิดยุคขุนศึกทหาร
รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ไม่ได้เป็นเพียงแค่การยึดอำนาจจากพลเรือนไปสู่กลุ่มทหารฝ่ายขวาเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยที่อำนาจทางการเมืองถูกครอบงำและสืบทอดโดยทหารอย่างเบ็ดเสร็จ
การรัฐประหารครั้งนี้ถือเป็นการปิดฉากยุคสมัยที่อิทธิพลของคณะราษฎร โดยเฉพาะสายพลเรือนอย่าง ปรีดี พนมยงค์ และแนวคิดประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่กำลังอ่อนแรง แทนที่ด้วยกลุ่มอำนาจนิยมที่อยู่ภายใต้การนำของทหาร หลังจากนั้นการรัฐประหารกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้อย่างง่ายดายจนแทบกลายเป็นเรื่องปกติ แม้กระทั่งการรัฐประหารตัวเองเพื่อล้มกระดานใหม่ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
หลังรัฐประหาร คณะทหารได้เชิญ ควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อสร้างความชอบธรรมชั่วคราว แต่ 6 เมษายน 2491 คณะรัฐประหารกลุ่มเดิมก็บีบให้ควงลาออก ซึ่งเรียกกันว่าเป็น ‘รัฐประหารเงียบ’ และเปิดทางให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 จึงนำพาประเทศไทยเข้าสู่ ‘ยุคขุนศึกทหาร’ ยาวนานเกือบ 30 ปี โดยมีผู้นำเป็นทหารทั้งหมด คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม, จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ จอมพลถนอม กิตติขจร กระทั่งถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 จึงถึงจุดสิ้นสุดยุคเผด็จการทหารจากการชุมนุมขับไล่ของประชาชน
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 คือวันครบรอบการรัฐประหารที่รัฐบาลพลเรือนถูกโค่นล้ม และอำนาจการปกครองตกไปอยู่ในมือของกลุ่มอำนาจนิยมและขุนศึก ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในยุคมืดแห่งเผด็จการยาวนาน และร่องรอยความขัดแย้งในวันนั้นยังส่งผลสืบเนื่องให้ทหารมีอิทธิพลทางการเมืองจนถึงทุกวันนี้
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยเผชิญหน้าความเปลี่ยนแปลงภายในประเทศต่อเนื่อง กลุ่มคณะราษฎรที่นำโดย ปรีดี พนมยงค์ ต้องรับแรงกดดันหลายด้าน โดยเฉพาะภายใน ที่เกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ คือการสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีปรีดีอย่างหนัก เป็นต้นว่า กล่าวหาว่าปรีดีอยู่เบื้องหลังการปลงพระชนม์ ไปจนถึงการให้คนไปตะโกนในโรงหนังว่า “ปรีดีฆ่าในหลวง”
ขณะเดียวกัน รัฐบาลที่มี พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หรือ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการเมืองไวได้
เมื่อรัฐบาลอ่อนแอ กลุ่มอำนาจฝ่ายทหารก็เริ่มเดินเกมรุก โดยโจมตีว่ารัฐบาลพลเรือนไม่สามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ เกิดการทุจริตคอร์รัปชันในวงกว้าง สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน จึงเปิดช่องว่างให้กลุ่มนายทหารเข้ายึดอำนาจ กลายเป็นจุดเริ่มต้น ‘ยุคขุนศึก’ ที่ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมืองเรื่อยมาจนปัจจุบัน
รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490วันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ‘คณะทหารแห่งชาติ’ ภายใต้การนำของ พลโทผิน ชุณหะวัณ ร่วมด้วย พันเอกกาจ กาจสงคราม, พันเอกเผ่า ศรียานนท์ และ พันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้ามามีส่วนร่วมในภายหลัง ได้นำกำลังพลเข้ายึดอำนาจอย่างรวดเร็ว
หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคนสำคัญหลายคนถูกจับกุมตัวไว้ จากนั้นคณะรัฐประหารได้เข้าควบคุมสถานีวิทยุและสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ อย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อประกาศแถลงการณ์ยึดอำนาจ โดยอ้างเหตุผลสำคัญคือความวุ่นวายทางการเมือง ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต ปัญหาปากท้อง ข้าวยากหมากแพง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การกอบกู้พระเกียรติในคดีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ที่เกิดขึ้นในปี 2489 และรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์สืบสวนล่าช้า ซึ่งประเด็นอ่อนไหวนี้กลายเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับการรัฐประหารอย่างมาก
นอกจากนี้ คณะทหารผู้ยึดอำนาจยังระดมยิงปืนใส่ทำเนียบท่าช้างวังหน้า ซึ่งเป็นทำเนียบที่รัฐบาลให้ปรีดีกับครอบครัวอาศัยอยู่ แล้วบุกเข้าไปเพื่อจับกุมปรีดี แต่ปรีดีหลบหนีไปได้ก่อน โดยอาศัยตามบ้านเพื่อนที่ไว้วางใจ และไปอาศัยที่กรมนาวิกโยธินที่สัตหีบ
เมื่อปรีดีพิจารณาเห็นว่ายังไม่พร้อมที่จะต่อต้านคณะรัฐประหารได้ ปรีดีจึงเดินทางไปอาศัยอยู่ที่สิงคโปร์ชั่วคราว แล้วเดินทางไปอาศัยอยู่ในประเทศจีน และไม่เคยได้กลับมามีบทบาททางการเมืองในประเทศไทยอีกเลย นับเป็นการสิ้นสุดยุคสมัยแห่งอิทธิพลทางการเมืองของคณะราษฎรสายพลเรือนอย่างสมบูรณ์
กำเนิดยุคขุนศึกทหารรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ไม่ได้เป็นเพียงแค่การยึดอำนาจจากพลเรือนไปสู่กลุ่มทหารฝ่ายขวาเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยที่อำนาจทางการเมืองถูกครอบงำและสืบทอดโดยทหารอย่างเบ็ดเสร็จ
การรัฐประหารครั้งนี้ถือเป็นการปิดฉากยุคสมัยที่อิทธิพลของคณะราษฎร โดยเฉพาะสายพลเรือนอย่าง ปรีดี พนมยงค์ และแนวคิดประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่กำลังอ่อนแรง แทนที่ด้วยกลุ่มอำนาจนิยมที่อยู่ภายใต้การนำของทหาร หลังจากนั้นการรัฐประหารกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้อย่างง่ายดายจนแทบกลายเป็นเรื่องปกติ แม้กระทั่งการรัฐประหารตัวเองเพื่อล้มกระดานใหม่ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
หลังรัฐประหาร คณะทหารได้เชิญ ควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อสร้างความชอบธรรมชั่วคราว แต่ 6 เมษายน 2491 คณะรัฐประหารกลุ่มเดิมก็บีบให้ควงลาออก ซึ่งเรียกกันว่าเป็น ‘รัฐประหารเงียบ’ และเปิดทางให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 จึงนำพาประเทศไทยเข้าสู่ ‘ยุคขุนศึกทหาร’ ยาวนานเกือบ 30 ปี โดยมีผู้นำเป็นทหารทั้งหมด คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม, จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ จอมพลถนอม กิตติขจร กระทั่งถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 จึงถึงจุดสิ้นสุดยุคเผด็จการทหารจากการชุมนุมขับไล่ของประชาชน
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1165499405714920