วันอาทิตย์, มกราคม 05, 2568
อาจารย์สุลักษณ์มี“เดช”ในฐานะนักวิพากษ์สังคมชั้นนำอย่างยั่งยืนได้ ก็เพราะมี“ศรี”ภรรยาหรือ“ศักติ”คู่บารมีอย่างพี่นิลฉวีคอยเกื้อหนุนอยู่เบื้องหลัง - พี่นิลฉวีของพวกเราออกเดินทางไกลในเช้าวันที่ 3 มกราคม 2568 สิริอายุ 88 ปี 8 เดือน
ภาพจาก The Tiger.com
.....
Rosana Tositrakul
17 hours ago
·
พี่นิลฉวี กุลสตรีอย่างไทยรุ่นสุดท้าย
ดิฉันรู้จักอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ตั้งแต่เป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์เมื่อ ปี2517 นับถึงปัจจุบันก็ 5 ทศวรรษ การรู้จัก อ.สุลักษณ์ ก็พลอยให้ได้รู้จักภรรยาของท่านที่พวกเราเรียกขานอย่างญาติสนิทว่า
พี่นิลฉวี
พี่นิลฉวีเป็นผู้หญิงใจดี อารีอารอบกับทุกคนที่เข้าพบปะพูดคุยกับอาจารย์สุลักษณ์ที่บ้านในซอยสันติภาพ บ่อยครั้งที่พวกเราคนหนุ่มคนสาวจะมาพูดคุยถกเถียงเรื่องต่างๆจนดึกดื่นเที่ยงคืน พี่นิลฉวียังคอยหาน้ำร้อนน้ำชา ของว่างมาให้รับประทาน โดยมิเคยแสดงอาการปั้นปึ่งไม่พอใจแต่อย่างใดในการที่บุคคลภายนอกมารบกวนชีวิตครอบครัวของเธอและสามี บ่อยครั้งที่เธอก็มานั่งฟังด้วยอย่างเงียบๆ
ช่วงวิกฤติการเมือง 6 ตุลาคม 2519 อาจารย์ต้องระหกระเหินอยู่ต่างประเทศถึง 2ปี ในช่วงนั้นพี่นิลฉวีต้องดูแลบ้าน ดูแลลูกๆที่ยังเล็ก และกิจการบริษัทสายส่งเคล็ดไทย และร้านหนังสือศึกษิตสยามสามย่านซึ่งถูกเจ้าหน้าที่รังแก เอารถยีเอ็มซีมาขนหนังสือจนหมดโกดัง โดยไม่สามารถฟ้องร้องเอาคืนได้ พี่นิลฉวีเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งภายใต้ความสงบเสงี่ยม ขี้อายของเธอ ที่ต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวในการดูแลครอบครัว และกิจการของบริษัทที่มีพนักงานจำนวนมาก
มรสุมลูกแรกนั้นทำให้พี่นิลฉวีกลายเป็นผู้หญิงแกร่ง แต่ยังคงสงบเสงี่ยมเรียบร้อยแบบกุลสตรีไทยได้เหมือนเดิม ภายหลังเมื่ออาจารย์โดนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอีกหลายครั้ง พี่นิลเลยไม่ทุกข์ร้อนอะไรมากนัก ทั้งยังเรียกร้องให้อาจารย์กลับมาสู้คดีพิสูจน์ความบริสุทธิ์อีกด้วย
พวกเราลงความเห็นว่า การที่
อาจารย์สุลักษณ์มี“เดช”ในฐานะนักวิพากษ์สังคมชั้นนำอย่างยั่งยืนได้ ก็เพราะมี“ศรี”ภรรยาหรือ“ศักติ”คู่บารมีอย่างพี่นิลฉวีคอยเกื้อหนุนอยู่เบื้องหลังนั่นเอง
พี่นิลฉวีมีความเมตตาต่อดิฉันและคุณสันติสุขเป็นพิเศษ โดยเต็มใจรับเป็นเถ้าแก่ร่วมกับคุณแม่ของคุณสันติสุขมาสู่ขอดิฉันแทนอาจารย์สุลักษณ์ที่ลี้ภัยอีกครั้งช่วงรัฐประหารสมัย รสช. และพี่นิลฉวีได้ช่วยเหลือจัดการงานแต่งให้เราทั้งสองจนลุล่วงไปด้วยดี โดยมีคุณยายท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์และท่านอาจารย์สมศรี สุกุมาลนันทน์ให้ความเมตตาเป็นประธานร่วมในพิธีมงคลสมรสของพวกเรา ศรีกุลสตรีทั้งสามท่านนี้เป็นแบบอย่างในการครองเรือนของพวกเราเสมอมา
อาจารย์สุลักษณ์ได้ขอให้ดิฉัน และคุณสันติสุขแปลวรรณกรรมพุทธประวัติของท่านติช นัท ฮันห์ ชื่อ Old Path White Cloud : Walking in the Footsteps of the Buddha (คือเมฆสีขาว ทางก้าวเก่าแก่)เพื่อเป็นของขวัญ ในวาระที่พี่นิลฉวีมีอายุครบ 5 รอบนักษัตร ในปี2539
นอกจากเขียนคำนำจากใจผู้แปลแด่พี่นิลฉวีแล้ว เรายังพิมพ์ข้อความในปกรองของหนังสือว่า“แด่พี่นิลฉวี กุุลสตรีอย่างไทยรุ่นสุดท้าย” ซึ่งได้พิสูจน์ให้ประจักษ์อย่างชัดเจนในช่วงใกล้วาระสุดท้ายของเธอ แม้กำลังป่วยหนักอยู่โรงพยาบาล น้องขวัญข้าวลูกสาวคนโตได้เล่าว่าคืนวันที่ 1 มกราคม ราวตี 4 คุณแม่โทรศัพท์มาหาบอกว่าให้ไปดูพ่อสิ พ่อล้มเป็นอะไรหรือเปล่า ทั้งที่อาจารย์ไม่ได้ล้ม แสดงว่าพี่นิลฉวีอาจจะฝันด้วยความรักห่วงใยในสามีที่ฝังแน่นอยู่ใจกลางจิตใต้สำนึกของเธอ นี้แลคือแบบฉบับของกุลสตรีไทยโบราณที่หาไม่ได้อีกแล้ว หากจะมีเหลืออยู่ก็แต่ในวรรณกรรมปรำปรา
ของภารตะที่พรรณนาถึงความรักภักดีต่อสามีของสตรี ว่ามีอานุภาพยิ่งใหญ่เหนือกว่าฤทธานุภาพของมหาเทพบุรุษทั้งปวง
ในวันที่พวกเราไปเยี่ยมพี่นิลฉวีที่โรงพยาบาล ยังเห็นดวงพักตร์ของเธอสดชื่นยิ้มละไม
ตามบุคลิกภาพปกติของเธอ
ไม่คิดเลยว่าอีกเพียงไม่กี่วัน
พี่นิลฉวีจะด่วนจากสามี ลูกๆ
อันแสนรักและพวกเราทั้งหลายที่รักเธอไปอย่างสงบเงียบ โดยไม่ทิ้งภาระให้ใครๆต้องลำบากในการดูแลประคับประคองเธออีกต่อไป
พี่นิลฉวีของพวกเราออกเดินทางไกลในเช้าวันที่ 3 มกราคม 2568 สิริอายุ 88 ปี 8 เดือน
ขอให้เธอเดินทางสู่สัมปรายภพโพ้น
โดยสวัสดิภาพเทอญ ฯ
รสนา-สันติสุข
3 มกราคม 2568
https://www.facebook.com/rosana.tsk/posts/9391252960919125