30 มกราคม 2568
ประชาไท
พิชญ์สินี ชัยทวีธรรม รายงาน
ภาพ สภาพพื้นที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองโปแตชถ่ายเมื่อปี 2565
ในขณะที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากเหมืองโปแตชในอ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ยังไม่รู้ว่าจะได้รับการแก้ไขเพียงไร แต่หน่วยงานรัฐกลับออกใบอนุญาตให้บริษัทเอกชนรายเดิมอย่าง “ไทยคาลิ” ภายใต้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่าง “บางจาก” ในการเปิดอุโมงค์ขุดเจาะใหม่
จากผลกระทบของเหมืองที่ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อมแต่ยังทำให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบไร่นาเสียหายไปด้วยจนต้องมาชุมนุมกันที่กรุงเทพเพื่อเรียกร้องให้ระงับใบอนุญาต จนกว่าการตรวจสอบปัญหาเดิมจากคณะกรรมการที่รัฐเองก็เป็นตั้งขึ้นมาเสร็จสิ้น
เกลือเกาะบนกิ่งไม้จากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองโปแตชของบริษัทที่ถูกนำมาจัดแสดงในส่วนหนึ่งของการชุมนุม
เมื่อวานนี้(29 ม.ค. 2568) กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดยังคงปักหลักชุมนุมเป็นวันที่ 3 เพื่อเรียกร้องให้ชะลอการระเบิดเปิดอุโมงค์เพื่อทำเหมืองโปแตชที่อ.ด่านขุดนทด จ.นครราชสีมา ที่กรมการเหมืองแร่และอุตสาหกรรม แม้ว่าทางราชการจะยังไม่ให้คำตอบหรือสัญญาณในการแก้ปัญหาร่วมกับประชาชน
การมาชุมนุมที่กระทรวงอุตสาหกรรมในครั้งนี้ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดต้องการให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรมต้องมีคำสั่งระงับการเจาะอุโมงค์อันใหม่ เพื่อทำการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อมนุษย์ รวมถึงเยียวยาประชาชนในพื้นที่ และทำงานคู่กับผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เพื่อตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการทำลายทรัพยากรธรรมชาติจากปัญหาเกลือที่ไหลออกจากดินและน้ำจน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบไปมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันกรณีบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เข้าครอบครองกิจการเหมืองแร่โปแตชของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด ซึ่งเดิมทีบริษัทไทยคาลิถูกตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแล้วแต่ยังไม่มีผลตรวจสอบออกมา
รัฐยังตรวจสอบไม่เสร็จแต่ยังออกใบอนุญาตใหม่
ภาพจากกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดขณะลงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเมื่อปี 2565
จุฑามาศ ศรีหัตถผดุงกิจ ที่ปรึกษากลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดอธิบายว่า คณะกรรมการที่จังหวัดและ กพร.ร่วมกันตั้งขึ้นมาเมื่อพฤษภาคม 2567 คณะกรรมการชุดนี้ไม่ได้เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วยสัดส่วนคณะกรรมการมีแต่ทางฝั่งของเหมือง ส่งผลให้ขาดความคิดเห็นและข้อเท็จจริงจากฝั่งประชาชนที่ได้รับผลกระทบทำให้ทางกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดร้องเรียนไปทางจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนนำมาสู่การชุมนุมวันที่ 20 มีนาคม 2567 และได้ข้อตกลงร่วมกันว่าจะต้องมีคณะกรรมการของจังหวัดและ กพร.จะต้องมีประชาชนที่เป็นผู้เสียหายร่วมเป็นกรรมการด้วยตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. 2567
ที่ปรึกษาของกลุ่มกล่าวว่า แม้จะมีคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบปัญหาของเหมืองแห่งนี้แล้ว แต่ กพร.กลับไม่รอผลการตรวจสอบและอนุมัติแผนผังการเปิดอุโมงค์ของเหมืองจึงทำให้กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดต้องเดินทางมาเพื่อยื่นหนังสือแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นบนพื้นที่ตน และต้องการให้กระทรวงอุตสาหกรรมและ กพร.ระงับการอนุญาตให้ทางบริษัทดำเนินการต่อจนกว่าผลการศึกษาผลกระทบจะสำเร็จเรียบร้อย
ตัวอย่างเกลือที่เกาะอยู่บนผิวดินของกลุ่ม ฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด
จุฑามาสกล่าวถึงผลกระทบที่ประชาชนในพื้นที่ต้องประสบว่า เจอทั้งดินเค็ม ดินแห้ง และน้ำที่เอ่อล้นออกจากอุโมงค์เก่าที่เหมืองเจาะและดูดน้ำออกมาไว้ที่บ่อพักน้ำ โดยไม่มีการป้องกันไม่ให้น้ำรั่วซึมลงไปในชั้นผิวดินจึงทำให้สารโลหะหนักและมลพิษต่างๆ กระจายออกไปทั่วบริเวณ ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับความเสียหาย ทั้งภาคการเกษตรและปศุสัตว์ รวมถึงคุณภาพชีวิตและสุขภาพเช่นกัน
ที่ปรึกษาของกลุ่มย้ำข้อเรียกร้องว่าจากกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด บริษัท บางจาก จำกัด มหาชนจะต้อง หยุดใช้แผนผังอุโมงค์อันใหม่ที่เป็นแนวดิ่ง แล้วไปสืบสวนหาต้นตอของปัญหาน้ำรั่วซึมจากบ่อพักน้ำของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด และแก้ปัญหาให้เสร็จ รวมถึงชดเชยระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม รวมถึงสุขภาพและคุณภาพชีวิตของพี่น้องที่ได้รับผลกระทบ ก่อนที่จะตัดสินใจใช้แผนผังอุโมงค์อันใหม่แนวดิ่งที่ต้องใช้ระเบิดในพื้นที่ชุมชน
น้ำท่วม ดินเค็ม จนนาล่ม
ภิรมย์ มืดขุนทด สมาชิกกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด กับกองเกลือบนผิวดินในพื้นที่ที่ทางกลุ่มผู้ชุมนุมนำมา
“เสียหายทั้งรายได้ ความสมบูรณ์ของธรรมชาติ และเสียความรู้สึกที่ต้องได้รับความไม่ยุติธรรม” ภิรมย์ มืดขุนทด สมาชิกกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดได้เล่าทั้งน้ำตา
ภิรมย์เล่าต่อว่า ตนเองได้ปลูกข้าวขายมาตลอด บนที่ดินของปู่ ได้ข้าวสารปีละ 30-40 กระสอบ จนกระทั่งเหมืองได้เข้ามาและเริ่มมีการปล่อยน้ำเสียให้รั่วซึมออกมาท่วมที่นาของตนในปี 2558
“ปีนั้นตอนที่กลับบ้านไปเกี่ยวข้าว เราน้ำตาไหลเลย ข้าวมันลีบแบน เอาไปสีก็ไม่ได้เป็นข้าวสาร” เธอเล่าว่าเมื่อเหมืองของบริษัท ไทยคาลิปล่อยน้ำเค็มจากบ่อแล้วบริษัทก็ไม่สามารถควบคุมน้ำที่ล้นออกจากเหมืองจนมาท่วมที่ดินโดยรอบของประชาชน และทำให้ปู่ของภิรมย์และเจ้าของที่รอบๆเหมืองทยอยขายที่ดินตน
“กลับไปเกี่ยวข้าว น้ำสูงถึงเอวเรา ต้องใช้กาละมังค่อยๆ เก็บเกี่ยว” ภิรมย์เล่าให้เห็นภาพว่าน้ำที่เข้าท่วมที่นาสูงถึงประมาณ 1 เมตรเศษ จนไม่คุ้มค่าที่จะลงทุนทำนาต่อจากนั้นมีตัวแทนจากเหมืองมาเสนอให้ขาย โดยจะซื้อราคาไร่ละ 10,000 บาท โดยครอบครัวภิรมย์มีที่นา 7 ไร่ แต่ก็ต้องจำใจขาย เพราะตัวแทนเหมืองอ้างว่า หากไม่รีบขาย จะไม่รับซื้อและไม่รับผิดชอบผลที่จะตามมา
“ทุกวันนี้เวลากลับไปดูที่เรา มันแห้งแตก บางจุดเป็นโคลน บางจุดมีน้ำเดือดซึมออกมาจากดิน” ภิรมย์กล่าวทิ้งท้ายพร้อมน้ำตา
จุฑามาศอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่เหมืองโปแตช จังหวัดนครราชสีมา ตอนนี้ดินได้เปลี่ยนไป เกิดการก่อตัวของเกลือบนชั้นผิวดิน เนื่องจากการสูบน้ำใต้ดิน ทำให้ดินแปรปรวนไม่สามารถเพาะปลูกได้และเกลือจำนวนมากขึ้นมาอยู่บนผิวดินและยังไม่มีวิธีการที่จะทำให้เกลือหยุดแพร่กระจายออกมาบนดินได้และยังส่งผลต่อบ้านเรือนของประชาชนในพื้นที่มีสะเก็ดเกลือเกาะอยู่ตามผนังบ้านที่เป็นปูนและไม้ สัตว์เลี้ยงเช่นวัวและ ควาย ทยอยลงตาย ต้นไม้และดินเกิดการจับตัวของเกลือ และยังเกิดการแทรกซึมของเกลือจากบ่อพักน้ำของบริษัท ไทยคาลิ จำกัดซึ่งไม่มีแผ่นยางปูรองเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำที่ดูดออกจากอุโมงค์รั่วซึมออกไปด้านนอก รวมถึงโลหะหนัก จึงส่งผลให้ไม่สามารถใช้น้ำได้ตามปกติแทน
สามเหลี่ยมลิเทียมในอเมริกาใต้อาจเป็นภาพอนาคตของด่านขุนทด
เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้อำนวยการโครงการกฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อชุมชน (G'law) และเป็นที่ปรึกษากลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดได้ยกตัวอย่างถึงกรณี เหมืองโปแตชในโบลิเวีย ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่ถูกเรียกว่าสามเหลี่ยมลิเทียมในที่ราบสูงบนเทือกเขาแอนดีสซึ่งครอบคลุมไปถึงอีก 2 ประเทศคือ ชิลี และอาร์เจนตินาที่สร้างผลกระทบต่อผิวดินและใต้ดิน
เลิศศักดิ์อธิบายว่า เหมืองได้แย่งชิงน้ำในชั้นใต้ดินมาสกัดเอาแร่ลิเทียมที่ปะปนอยู่กับโปแตชโดยการตากทำให้เกลือปริมาณมากออกมาจากชั้นใต้ดินมาเกาะบนผิวดินเป็นปริมาณที่มากเกินกว่าชนเผ่าพื้นเมืองจะสามารถใช้ที่ดินทำการเกษตรและเพาะปลูกได้ ไปจนถึงทำให้ผิวดินแห้งแล้วและดินทรุดตัวไปจนถึงมีโลหะหนักปนเปื้อนทั้งบนดินและน้ำทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปจนชาวบ้านไม่สามารถใช้ชีวิตตามเดิมได้อีกผอ. G'law กล่าวว่า บริษัท บางจาก เองยังเข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทที่ทำเหมืองในสามเหลี่ยมลิเทียมนี้ด้วย แม้ตัวบริษัทจะพยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นองค์กรสีเขียว มีธรรมภิบาล แต่กลับลงทุนในอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม และยังเข้ามาครอบครองกิจการเหมืองแร่โปแตชของบริษัท ไทยคาลิ จำกัดต่อ
เลิศศักดิ์ได้ตั้งคำถามทิ้งท้ายไว้ว่า การกลับมาซื้อหุ้นครอบครองกิจการของ บริษัท ไทยคาลิ ในราคา 3,300 ล้านบาทของบริษัทบางจาก ด้วยการซื้อสัมปทานและใช้ผลรายงาน EIA ฉบับเดิม จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าจริงๆ แล้ว บริษัท บางจาก อาจต้องการมากกว่าแค่แร่โปแตช แต่อาจต้องการฟอกเขียวด้วยการสกัดแร่ลิเทียม และอาจตามมาด้วยอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น โรงงานแบตเตอรี่ จนอาจซ้ำรอยสามเหลี่ยมลิเทียมในอเมริกาใต้ และเป็นการเอาทรัพยากรธรรมชาติสาธารณะไปเป็นกำไร และให้ประชาชนสาธารณะรับต้นทุนคือความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมแทน
เลิศศักดิ์ กล่าวว่าบริษัท บางจาก จำกัด มหาชนได้ออกตัวว่าจะเป็นบริษัทที่สร้างพลังงานสีเขียวแต่กลับซื้อหุ้น 65% ของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด ทำให้สถานะของบริษัท บางจาก จำกัด มหาชนคือเจ้าของธุรกิจ ตลอดเวลาที่บริษัท บางจาก จำกัด มหาชนได้ถือหุ้นของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด ไม่เคยมีการผลิตปุ๋ยเพื่อเกษตรกร แต่กลับพยายามใช้ระเบิดเปิดอุโมงค์เพื่อทำเหมืองแร่ลิเทียม จึงมองว่าการทำธุรกิจที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ต้องตรวจสอบและต้องถูกลงโทษทางสังคมอย่างรุนแรงเพื่อชดใช้ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่
ชาวอาเจนตินาที่กับตัวอย่างเกลือจากกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด
ระหว่างที่กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดทำกิจกรรมเดินทางไปที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท บางจาก คอเปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่อาคารเอ็ม ทาวเวอร์ ถนนสุขุมวิทย่านพระโขนง ได้มีกิจกรรมแจกตัวอย่างแผ่นเกลือที่เกาะอยู่บนผิวดินให้กับประชาชนที่ให้ความสนใจ
ชายจากอาร์เจนตินาคนหนึ่ง(ไม่ประสงค์ออกนาม) ที่พบบริเวณสถานีรถไฟฟ้าบางจากได้เข้ามาซักถามเกี่ยวกับกิจกรรมของกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดเมื่อได้ทราบถึงเรื่องราวของกลุ่ม เขากล่าวว่าเขารู้สึกตกใจที่ในไทยมีการทำเหมืองโปแตช เพราะที่สามเหลี่ยมลิเทียมซึ่งมีพื้นที่ส่วนหนึ่งอยู่ในประเทศของเขาได้สร้างผลกระทบเรื่องปัญหาดินทรุดและการขาดแคลนน้ำเป็นอย่างมาก และเขาได้ให้ความเห็นว่ารัฐบาลทุกประเทศควรตระหนักเรื่องภาวะโลกร้อนและหยุดการทำอุตสาหกรรมที่ทำให้ปัญหาโลกร้อนยิ่งหนักขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมลิเทียมตกใจ
ชายอาร์เจนตินาคนดังกล่าวยังบอกอีกว่า ที่ประเทศของเขา ชนพื้นเมืองและประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติบริเวณนั้นได้อีกต่อไป นอกจากจะทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ยังเป็นการทำลายสิทธิ์การมีที่อยู่อาศัยในฐานะประชาชนที่อยู่มาก่อนการเกิดเหมือง และที่สำคัญ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมาเป็นจังหวัดที่สวยงาม เขาเองได้เคยไปเที่ยวที่ด่านขุนทดมาก่อน จึงไม่คาดคิดว่าจะมีการทำอุตสาหกรรมที่สร้างมลพิษร้ายแรงเช่นนี้เกิดขึ้น
จากนั้นการชุมนุมของกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดเดินทางไปถึงสำนักงานใหญ่ของบริษัท บางจาก เพื่อยื่นหนังสือเล่าถึงผลกระทบและข้อเรียกร้องให้บริษัทบางจากถอนหุ้นออกจากบริษัทไทยคาลิทั้งหมด แต่ไม่มีตัวแทนจากบริษัทที่มีอำนาจและสามารถตัดสินใจได้มารับหนังสือ การยื่นหนังสือวันนี้ของฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดไม่สำเร็จ ทางกลุ่มจึงแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการเผาหนังสือแทน
ต่อมาในช่วงบ่ายกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดเดินทางไปต่อที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เพื่อเรียกร้องให้ตรวจสอบธรรมาภิบาลในการทำธุรกิจของบริษัทบางจากทาง กลต.ให้เลขาธิการกลต.เป็นผู้แทนมารับหนังสือและรับปากว่าจะนำไปตรวจสอบตามข้อเท็จจริง เมื่อตรวจสอบเสร็จจะออกหนังสือแจ้งกลับมาให้กับกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดทราบ
https://prachatai.com/journal/2025/01/112048