Ravisara Eksgool
Yesterday at 12:20 PM ·
ตอนที่ได้รับการบ้านให้ไปเขียนถึงชีวิตในเตรียม เรานั่งโง่ไปสองสามวัน คิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไร มองย้อนกลับไปไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่ากับความทรงจำแสนจางมาก ๆ (อาจจะเพราะจบมานานแล้ว555555555)
.
เอาจริง ๆ ชีวิตเราตอนอยู่เตรียมมันไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ และเอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่มีช่วงไหนที่มีความสุขมากเป็นพิเศษ สุขที่สุดก็น่าจะเป็นตอนที่รู้ว่ามีคนสละสิทธิแล้วเราได้เข้าเรียนนั่นแหละ
.
ด้วยความที่พื้นเพเป็นเด็กต่างจังหวัด หลังเลิกเรียนก็เดินกลับบ้านกับเพื่อนสนิท แวะกินน้ำปั่นแก้วละ 20 บาทหน้าสถานีรถไฟแล้วกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้าน แต่พอย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพใหม่ ๆ บอกตรง ๆ ว่าไม่ชินและกลัวมาก ๆ ไม่ชินสังคมเด็กกรุงเทพเลย
.
จำได้ว่าตอน ม.4 ได้เงินอาทิตย์ละ 1000 บาท พอหลังเลิกเรียนเพื่อน ๆ จะชวนกันไปกินข้าวในห้าง ตอนนั้นจำได้ว่าเราก็ทำได้แค่ต้องบ๊ายบายเพื่อน ๆ แล้วเดินกลับหอไปกินข้าวมันไก่ รู้สึกตกใจวัฒนธรรมการกินข้าวเย็นที่ห้างมาก ๆ เพราะตอนนั้นสำหรับเรามันดูหรูหรา มื้อละ 100+ ไม่กล้ากินเพราะกลัวตังหมด จะกล้ากินจริง ๆ คือวันศุกร์ เพราะรู้แน่ ๆ ว่าเดี๋ยวเงินอาทิตย์ของสัปดาห์หน้าจะเข้าพอดี
.
ตอนนั้นก็รู้สึกแย่นะ เหมือนใจก็กลัวไม่มีเพื่อน กลัวแปลกแยกจากเพื่อนคนอื่น ๆ แต่ก็บอกตัวเองว่ามึงจะไปแดกข้าวห้าง ไปแดกโคโค่อิชิบันย่า ไปแดกเฟรนฟรายแมคกับใคร ๆ ทุกวันไม่ได้
.
ตอนอยู่ม.4 เราคือคนที่แต่งตัวถูกระเบียบที่สุด (ตอนนั้นเพราะโง่ด้วย) แต่พอม.5 กระโปรงก็เริ่มสั้นขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่เพราะเรามองว่าสวย แต่เรามองว่าเพื่อน ๆ เขาใส่กัน แล้วเทรนตอนนั้นบอกว่าสวย เรากลัวการเป็นคนแปลก กลัวการเป็นคนเห่ย กลัวโดนหัวเราะเยาะว่าเนิร์ด ตอนแรกเราสะพายเป้ สุดท้ายพอขึ้นม.5 เราเอาเงินเก็บตัวเองไปซื้อกระเป๋าจาค็อบเพราะเพื่อนทุกคนมีจาค็อบ เราไม่อยากดูเป็นคนเอ๋อสะพายเป้ ทั้ง ๆ ที่จริงไอจาค็อบเหี้ยนี่ก็ไม่ได้เอาไว้ใส่อะไรเลย แถมยังต้องทับให้มันแบนเหี้ย ๆ อีก ไม่รู้ทำไปทำไม แล้วของทั้งหมดก็ต้องเอาไปใส่ในกระเป๋าเคียง แต่ตอนนั้นคนสวย ๆ ดัง ๆ เขาทำแบบนั้นกัน เราก็เลยเอาบ้าง
.
อยู่ไปอยู่มา เราไม่รู้ตัวเลยว่าเราเสียความเป็นตัวเองไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จนจบม.6 มาแล้วก็ยังไม่รู้ตัวเลย แต่พอได้มองย้อนกลับไปแล้วถึงเพิ่งเห็นว่าเราเปลี่ยนอะไรไปมากมายด้วยเพียงเพราะกลัวว่าสังคมจะไม่ยอมรับความเป็นเด็กบ้านนอกของเรา (ซึ่งเอาเข้าจริงก็มีแค่เราคนเดียวเนี่ยแหละมั้งที่ดูถูกความเป็นเด็กต่างจังหวัดของตัวเองหนักที่สุดแล้ว)
.
มีอยู่ช่วงนึงเราดาวน์กับตัวเองมาก ๆ รู้สึกว่าตัวเองอ้วน ร้องห่มร้องไห้ ไม่อยากส่องกระจกเพราะไปลองกางเกงยีนส์กับเพื่อนแล้วใส่ไม่ได้ เพื่อนหันมาถามว่า "ไปลดน้ำหนักไหมมึง" (ตอนนั้นสูงเท่าเดิมแต่หนักน้อยกว่านี้ 20 โล)
.
พอมองย้อนกลับไปแล้วเรากลับเสียดายอะไรหลาย ๆ อย่างที่เราไม่เคยได้ทำเพราะเราไม่กล้า กลับมานั่งนึกตอนนี้แล้วก็เสียดายจริง ๆ ชีวิตในเตรียมเราอาจจะมีสีสัน สนุกสนานและเต็มไปด้วยความทรงจำมากกว่านี้ถ้าเราไม่กลัวว่าจะไม่มีเพื่อน ไม่กลัวว่าจะโดนมองว่าเห่ยหรือประหลาด เสียดายที่ไม่เคยเล่นกีฬา เสียดายที่ไม่กล้าทำกิจกรรมเพราะเพื่อนไม่ได้ทำ เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้รู้จักกับใครอีกตั้งหลายต่อหลายคน
.
เราเสียใจ แล้วก็เสียดายที่เรามองตัวเองแบบนั้น แล้วก็เศร้าใจด้วยนิดหน่อยที่ค่านิยมในสังคมช่วงนั้นทำให้เราต้องกลัวการที่จะเป็นตัวเองมากมายขนาดนั้น เราแค่อยากได้รับการยอมรับในสังคมนั้น แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่พอเข้าอักษรไปแล้วได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ (จนอาจารย์แก่ ๆ หลายท่านไม่ค่อยพอใจ)
.
สิ่งที่อยากจะโทษมากที่สุดไม่ใช่เพื่อน ๆ รอบตัว แต่มันคือความทุเรศทุรังของระบบการศึกษาของประเทศไทย ถ้าโรงเรียนในแต่ละจังหวัดมีคุณภาพที่ดีพอ ๆ กัน คงไม่ต้องมีเด็กคนไหนต้องบอกลาพ่อแม่ญาติพี่น้อง บอกลาบ้านเกิดตัวเองตั้งแต่อายุ 14 มาใช้ชีวิตคนเดียวในเมืองหลวงเพื่อเข้ามาหาสิ่งที่ดีกว่า เพื่ออนาคตที่ดีกว่าในประเทศส้นตีนแบบนี้แล้วยังต้องเสียความเป็นตัวเองเพื่อให้เข้ากับสังคมกระแสหลักในเมืองหลวงได้ สูญเสียช่วงเวลาที่ควรเป็นช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตไปกับการกลัวว่าตัวเองจะถูก left out หรือกลัวว่าตัวเองจะดูเห่ย
.
ถึงทุกวันนี้เราจะสามารถ embrace ความเป็นตัวของตัวเองได้(เกือบ)ทั้งหมดแล้ว แล้วก็ยอมรับแล้วว่าเราที่เติบโตมาเป็นแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะชีวิตช่วงนี้ และเราก็ไม่ควรเกลียดชังตัวเองที่เคยเป็นคนแบบนั้น เพราะมันก็คือส่วนหนึ่งของตัวเรา แค่ใจหวังว่าไม่อยากให้มีเด็กคนไหนต้องทุกข์ใจแบบที่เราเคยเป็นอีก
.
เราสนใจการเมือง เราไปลงถนน จริง ๆ จุดเริ่มต้นก็เพราะอยากให้การศึกษาเท่าเทียมนี่แหละ ไปม็อบจนได้ 112 ส่วนหนึ่งก็เพราะฝันอยากให้การศึกษามันดี
.
อันที่จริงแล้ว เราไม่ได้อยากขอให้ทุกคนอย่าลืมเรา เราไม่ได้เป็นนักสู้หรือเป็นคนควรค่าแก่การจำขนาดนั้น เราแค่อยากขอให้ทุกคนอย่าเพิ่งละทิ้งหรือยอมแพ้ในอุดมการณ์ของเราก็พอ จะได้ไม่ต้องมีเดียร์ที่สูญเสียวัยรุ่นไปกับการกลัวเป็นตัวเอง และสูญเสียวัยผู้ใหญ่ไปกับการต่อสู้คดี 112 อีกเลย